Tip:
Highlight text to annotate it
X
เรื่อง: สวรรค์เป็นเพียงจุดเริ่มต้น
หมายเหตุ: การเดินทางบรรยายธรรม ที่ตะวันออกกลางและแอฟริกา
เรื่อง: จงเป็นผู้ถือคบเพลิงให้กับพระเจ้า
วันที่ ๒๕ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๒
สถานที่: โยฮันเนสเบอร์ก แอฟริกาใต้
ภาษาอังกฤษ
หมายเหตุ: การเดินทางบรรยายธรรม ตะวันออกกลางและแอฟริกา
ท่านสุภาพสตรีและสุภาพบุรุษ ถึงเวลาแล้ว ที่จะประสบกับ
ปัญญาอันส่งให้รู้แจ้ง ของท่านอนุตราจารย์ชิงไห่
ขอขอบคุณ ท่านอาจารย์
ขอบคุณ ๆ
ท่านเรียกฉันว่าอาจารย์ แต่ท่านทั้งหลายต่างก็เป็นอาจารย์
เพียงท่านลืมไป ท่านลืมไป
เมื่อเราประสานรวมกันแล้ว
เมื่อเราระลึกความเป็นหนึ่งเดียวกัน ของจักรวาลได้แล้ว
ซึ่งรวมเราเข้าไปด้วยนั้น
เมื่อนั้น เราจะจำได้ว่า เราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า
เป็นหนึ่งเดียวกันกับ ภูมิปัญญาอันแพร่ไปสู่ทุกที่นั้น
และเมื่อเราลืมสิ่งนี้ไปแล้ว เมื่อนั้น เราก็ลืมทุกสิ่งทุกอย่าง
แล้วเราก็จะพยายามจำให้ได้อีกครั้ง ด้วยวิธีที่แตกต่างกันไป
เช่น ด้วยการสวดภาวนา ด้วยพระคัมภีร์ ด้วยโยคะ ด้วยการทำสมาธิ
เหล่านี้ต่างก็ดีทั้งสิ้น เหล่านี้ต่างก็ดีสำหรับเราทั้งสิ้น
วันหนึ่ง เราต่างก็จะจำได้อย่างแท้จริงว่า เราต่างก็เป็นอาจารย์ทั้งสิ้น
ไม่มีใครในห้องนี้หรือที่ใดอื่น ที่มิใช่อาจารย์
เพราะเราไม่สามารถ แยกไปจากอาจารย์ผู้แพร่ไปสู่ทุกที่ได้
และเราอยู่ในความแพร่กระจายนั้น และเราเป็นหนึ่งกับมัน
และเราทำมาจากสิ่งนี้เพียงสิ่งเดียวเท่านั้น
ไม่มีอะไรอื่น ที่ทำขึ้นมาเป็นเรา
นอกจากเนื้อแท้ของพระเจ้า นอกจากสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
ที่เราเรียกกันว่าสัจธรรม ปัญญา พระเจ้า พระแม่เจ้า พุทธะ…
ชื่อใดก็ตาม ที่ท่านประสงค์จะใช้เรียก ตัวตนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในจักรวาลนี้
ซึ่งเป็นหนึ่งเดียวกับเรา กับเราทุกคนด้วย
ด้วยเหตุนี้ ณ เวลาตาย
สิ่งที่เรียกกันว่าตัวเรา หรือกายเนื้อของเรา
จะได้แต่นอนราบอยู่กับพื้น หรือที่ใดก็ตาม และไม่ขยับ
เพราะเนื้อแท้ของการขยับได้ทั้งหลาย ของกิจกรรมทั้งหลายนั้น
ได้เลือกที่จะ สละอุปกรณ์ทางกายภาพนั้นไปในเวลานั้น
บางทีอาจแสวงหาเครื่องมืออีกชิ้นหนึ่ง
เพื่อรับประสบการณ์อันไร้ขอบเขต อันกว้างใหญ่ไพศาล
ของตัวตนอันยิ่งใหญ่ ซึ่งเราเรียกว่าพระเจ้า
ซึ่งแท้จริงแล้ว เป็นหนึ่งเดียวกับเราต่อไป
ครั้นเราพบความเป็นหนึ่งเดียวนี้
รวมทั้งภูมิปัญญาอันแพร่ไปทุกที่นี้ ความรักอันแพร่ไปทุกที่นี้อีกครั้ง
เราจะเรียกมันว่า การรู้แจ้ง
เราเรียกมันว่า การตระหนักรู้ในพระเจ้า หรือการตระหนักรู้ในตนเอง
หรือการได้รับพุทธภาวะ
ประเทศที่แตกต่างกันไป
จะเรียกความเฉลียวฉลาดนี้ ปัญญานี้ ความรักอันยิ่งใหญ่สุดนี้
ด้วยศัพท์ที่แตกต่างกันไป เพราะพวกเขาต่างก็พูดภาษาแตกต่างกัน
กระนั้นแล้ว มันมีเพียงสิ่งหนึ่งสิ่งเดียว
ความเป็นหนึ่งเดียวนั้น ซึ่งโอบล้อมทุกสิ่ง รวมถึงตัวเราเองด้วย
และเราจะไม่เคยแบ่งแยกไปจาก ความเป็นหนึ่งเดียวนี้เลย ถึงแม้ว่าเราจะพยายาม
สาเหตุเดียวที่เรารู้สึก แบ่งแยกไปจากความเป็นหนึ่งเดียวนี้
เป็นเพราะ เราได้เลือกที่จะลืมความประสานกันนี้
เพื่อเราจะได้กลับมาประสบกับ ความยิ่งใหญ่นี้อีกครั้ง
และเราจะได้กลับมา สร้างตนเองขึ้นมาอีกครั้งด้วยการลืม
หรือ ด้วยการจำได้ถึงความสุขล้ำของสวรรค์ และความเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าอีกครั้ง
ซึ่งคือตัวเราเอง ตัวตนอันยิ่งใหญ่ของเราเอง
ด้วยเหตุนี้ เมื่อเราตาย…
ตัวอย่างเช่น คนจำนวนมากถามฉันตลอดเวลาว่า
“เมื่อเราตาย จะเกิดอะไรขึ้น?”
ฉันจะบอกเสมอว่า “ฉันยังไม่ตายเลย ฉันจึงไม่ทราบ”
แต่เราสามารถประสบ เราสามารถ ประสบกับความรู้สึกเสมือนตายได้
ระหว่างที่ เราภาวนาหรือเพ่งจิตอย่างลึกซึ้งสุด
เมื่อเราภาวนาอย่างลึกซึ้งที่สุด
เราจะไม่รับรู้ถึงสภาพแวดล้อม รวมถึงตัวเราเองด้วย
และความกังวลทั้งหมดก็จะจากเราไป
เวลาเช่นนี้คือ สิ่งที่โยคีอินเดียเรียกกันว่า “สมาธิ” ใช่
ระหว่างเวลาสมาธินั้น เราจะประสบกับ ความเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า
เกือบจะเหมือนกับ เมื่อเราตาย
ด้วยเหตุนี้ ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลจึงมีเอ่ยไว้ว่า
จงเรียนรู้ที่จะตาย เพื่อท่านจะได้เริ่มมีชีวิต
และมีนักบุญกล่าวไว้ด้วยว่า “ฉันตายทุกวัน”
“ผู้ใดก็ตามที่สละเนื้อให้วิญญาณ จะพบพระเจ้า” ฯลฯ ๆ
แล้วเราจะลืมหรือสละเนื้อได้อย่างไรเล่า?
ทุก ๆ วัน เรามีปัญหาเกี่ยวกับการมีชีวิต การเอาชีวิตรอดมากมาย
สิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ทุกอย่าง ที่เราเห็นรอบตัวเรา
ทุก ๆ อย่าง ที่เราเผชิญระหว่างช่วงชีวิตของเรา
จะคอยบอกเราเสมอว่า เราเป็นตัวตนที่เป็นกายภาพ
ว่า เราเป็นเพียงมนุษย์โลกธรรมดา อ่อนแอ บอบบาง
ไร้ทางต่อสู้ เมื่อเผชิญหน้ากับดวงชะตา
แล้วเราจะลืมได้อย่างไรเล่า? เราทำได้!
เราทำได้ หากเราฝึกฝน เราทำได้ หากเราทราบวิธี
มันเป็นเรื่องง่าย เราทุกคนทำได้
กลุ่มเรามีเด็กตั้งแต่อายุ ๖ ขวบ มีอายุน้อยกว่านี้ด้วยซ้ำ… ๕ ขวบ!
พวกเขาได้ประสบกับความ เป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าเรียบร้อยแล้ว
พวกเขาได้ประสบกับความรู้สึกอันยิ่งใหญ่
แห่งการสละเนื้อ แล้วประสานกับวิญญาณนั้น
หรือการเยี่ยมเยียนสวรรค์ขณะมีชีวิตอยู่
มันเหมือนกับว่า ฉันมาแอฟริกา เพื่อ เยี่ยมเยียนประเทศอันสวยงามของท่าน
แล้วพรุ่งนี้หรือวันต่อ ๆ มา ฉันก็จะไปประเทศอื่นต่อไป
หรือกลับไปบ้านของฉัน
ง่าย ๆ เช่นนี้เอง
เราสามารถเยี่ยมเยียนสวรรค์ และกลับมาโลกอีกครั้ง
ไม่ใช่ด้วยร่างกาย แต่ด้วยเนื้อแท้ของตัวตนเราเอง
เราเรียกมันว่าจิตหรือวิญญาณ ซึ่งเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าเสมอ
ร่างกายเป็นเหมือน จุดรวมความสนใจหนึ่ง ๆ
เพื่อที่วิญญาณจะได้ รวมความสนใจทั้งหมดไว้ที่จุดนั้น
เพื่อที่จะได้ รวบรวมประสบการณ์ทางโลกบางอย่าง
ที่มันต้องการจะประสบ เพื่อในระยะสั้น มันจะได้…
หากวิญญาณเป็นชายหรือหญิง รู้ไหม เราจะต้องเอ่ยถึงเรื่องนี้
โอเค เมื่อหล่อนหรือเขาต้องการจะประ- สบอะไรบางอย่างในสภาวะทางกายภาพนี้
วิญญาณหรือส่วนนั้น ของตัวตนที่ยิ่งใหญ่ของพระเจ้า
ก็จะต้องรวมศูนย์ไว้ที่จุดจุดหนึ่ง
รวมศูนย์มาก จนเขาสามารถลืมความ เป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าได้โดยสิ้นเชิง
ณ ขณะนั้น เราก็จะเกิด
เราจะกล่าวว่า เราเกิดในโลกวัตถุ แล้วเราก็จะมีร่างกาย
และตราบใดที่วิญญาณ หรือส่วนนั้นของจิตสำนึกพระเจ้า
ยังคงเพ่งอยู่ที่จุดศูนย์รวมนี้ของร่างกาย
หรือร่างกายใดก็ตาม ที่เขาเลือกจะเพ่งศูนย์ไว้นั้น
เราก็จะกล่าวว่า นั่นคือผู้ชาย นั่นคือผู้หญิง
นั่นคือมนุษย์ หรือนั่นคืออะไร ๆ
แท้จริงแล้ว ส่วนของวิญญาณนั้น ๆ หรือที่เรา เรียกกันว่า วิญญาณที่เป็นเอกเทศนี้นั้น
จะไม่เคยจากจิตสำนึกพระเจ้าทั้งอันนั้น
ดังนั้น เราไม่เคยเกิดมาจริง ๆ หรือไม่เคยตาย
แต่ เราสามารถเลือกที่จะลืมเกี่ยวกับพระเจ้า
เกี่ยวกับความรวมเป็นหนึ่งทั้งหมด ของเราเองได้โดยสิ้นเชิง
แล้วตั้งความสนใจไว้เพียงที่ ตัวตนทางกายภาพนี้ก็ได้
เมื่อนั้น เราจะไม่มีวันประสบกับความเป็นพระเจ้า
ถึงแม้ว่า พระเจ้าจะอยู่ทั่วเราไปหมดทุก ๆ ที่
แต่ถ้าเราเลือกที่จะปลุกตื่นเพื่อจดจำ เราก็จะทำได้
เราจะสามารถ สละความสนใจของเราไปสักครู่
แล้วไม่ตั้งความสนใจไว้ที่ ตัวตนที่เป็นกายภาพนี้สักระยะหนึ่ง
แล้วตั้งความสนใจ กลับไปสู่ความเป็นหนึ่งเดียว
เมื่อนั้น เราสามารถพบพระเจ้าได้
เราจะตระหนักว่า เราไม่เคยจากพระเจ้าไป
ว่า เราเป็นหนึ่งกับพระเจ้า
และเราไม่เคยแยกไปจากพระเจ้าเลย
นั่นก็คือความลับของจักรวาล
ไม่มีอะไรมากไปกว่าตัวเราเอง จิตสำนึกของเราเอง
จะเลือกอยู่ตลอดเวลา
เราเลือกที่จะเป็นมนุษย์
แล้วเราก็ตั้งความสนใจไว้ที่ร่างกายมนุษย์ เพื่อเราจะได้ประสบกับชีวิตมนุษย์
กับความโศกเศร้าทั้งหลาย กับความทุกข์ยาก ความสุข
และการผจญภัยของกายเนื้อ ความสนุก และความเจ็บปวด
เมื่อเรารู้สึกว่า เราประสบทางกายภาพเพียงพอแล้ว
เราก็จะอยากประสบอะไรอื่น
เมื่อนั้น เราก็จะเลือกทางเลือกอื่น
เราอาจเลือกที่จะเป็นเทพยดา
หรือเราอาจเลือก ที่จะประสบกับการเป็นดอกไม้
นั่นก็เป็นไปได้เช่นกัน!
และนั่นเป็นเหตุ ที่เกิดทฤษฎีการกลับชาติมาเกิดขึ้น
การกลับมาเกิด สู่ระดับการมีตัวตนที่แตกต่างกันไป
แต่จริง ๆ แล้ว เราไม่เคยไปไหนเลย
ไม่ทั้งขึ้นหรือลง
เราเพียง ว่าอย่างไร ไหลไปตลอดในพลังชีวิตของจักรวาล
อยู่ในความเป็นพระเจ้าตลอดไป
แต่ก็ประสบกับจุดสนใจที่แตกต่างกันไป ตลอดไป เพื่อความเพลินใจของเราเอง
เพื่อความสนุกสนานของเราเอง
แต่ในขณะที่เราอยู่ในกายเนื้อ
บางทีเราลืมปัญญาของเราเองไป
ดังนั้น
เราจึงลืมทางเลือก ที่เราได้เลือกไว้ ก่อนจะมาที่นี่
ดังนั้น ทางเลือกที่เราได้เลือกไว้ อาจนำพาเรามาสู่ความเจ็บปวด หรือความทุกข์บางประการ
แล้วเราก็พร่ำบ่น
เราพร่ำบ่นมาก เพราะเราไม่ชอบความทุกข์ยาก
ร่างกายไม่ชอบความทุกข์ยาก จิตคิดไม่ชอบความกดดัน
แต่นั่นคือ สิ่งที่วิญญาณต้องการจะประสบ
มันต้องการจะประสบกับความกดดัน
เพื่อมันจะได้เห็นคุณค่าของการมีอิสรภาพ ในจิตสำนึกของพระเจ้าอีกครั้ง
มันอยากเลือกที่จะมีทุกข์ เพื่อ มันจะได้สุขใจเป็นพันเท่าทวีคูณอีกครั้ง
เมื่อ มันก้าวเข้าสู่ความสุขล้ำนิรันดรอีกครั้ง
และนั่นคือเหตุ ที่เราอยู่ที่นี่
เพื่อเราจะได้รู้จักพระเจ้ามากขึ้น รู้จักเราเองมากขึ้น
เสมือน เราเป็นกษัตริย์ของชาติในสมัยโบราณ
บางครั้ง กษัตริย์ก็จะปลอมพระองค์เป็นชาวบ้าน
และเข้าไปปะปนกับประชาชน
เพื่อจะได้เข้าใจว่า การเป็นประชาชนจริง ๆ นั้น เป็นอย่างไร
แล้วเมื่อพระองค์กลับมา พระองค์ก็จะ รู้คุณค่าของตำแหน่งของพระองค์
รู้คุณค่าของพระราชวังอันสะดวกสบาย รู้คุณค่าของมหาดเล็กที่บริการพระองค์
และรู้คุณค่าของอำนาจ ที่พระองค์มี มากขึ้น
เมื่อ พระองค์ปลอมพระองค์เองเป็นสามัญชน
พระองค์จะต้อง ผ่านความยากลำบากทุกประการ
ผ่านความเป็นสามัญทุกอย่าง เช่นเดียวกับประชาชนทุกคนของพระองค์
พระองค์จะไม่สามารถเปิดเผยพระองค์ได้ ว่า พระองค์เป็นกษัตริย์
ที่จริงแล้ว พระองค์จะต้องแฝง ตัวตนที่แท้จริงของพระองค์อย่างมิดชิด
เพื่อพระองค์จะได้ประสานเข้ากับประชา- ชนในดินแดนของพระองค์ได้อย่างแท้จริง
และประสบได้ว่า ชีวิตประจำวันของพวกเขาเป็นอย่างไร
ในทำนองเดียวกัน เราเคยเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้ามาก่อน ฉันหมายความว่า ในจิตสำนึก ณ เวลานั้น
เราไม่เคยแยกจากพระเจ้ามาก่อน
แต่บัดนี้ในจิตสำนึก เราจำไม่ได้
ทีนี้ เรารู้สึกว่า เราทุกข์ยากมาพอแล้ว ในชีวิตทางวัตถุนี้
เรารู้สึกว่า เราประสบเรื่องทางโลกมาพอแล้ว
เราจึงเริ่มเบื่อ
เรารู้สึกว่า ที่นี่ไม่มีอะไรเหลือ ให้เราเพลินใจอีกต่อไปแล้ว
เราอยากทราบว่า เรามาจากไหน
ว่า มีอะไรอื่นในจักรวาลอันกว้างใหญ่ แห่งการสร้างสรรค์ของพระเจ้านี้
ที่เราควรจะประสบอีก
นั่นคือเวลาที่…
เมื่อเราถามปัญหานี้ เมื่อเราสงสัยเช่นนี้
นั่นคือเวลา ที่เราจะประสบกับการรู้แจ้ง
เราพร้อมแล้ว! เราพร้อมสำหรับมันแล้ว
เราจึงมาที่นี่ตลอดเวลามานี้ เพื่อมาเป็นมนุษย์
เป็นมนุษย์ที่แตกต่างไป
บางที ถ้าเราตั้งจุดสนใจไว้กับจุดสนใจ จุดหนึ่งหรือความเป็นมนุษย์หนึ่ง ๆ
และเราไม่รู้สึกว่า เราได้รับความเพลินใจทางกายเพียงพอ
หรือไม่ได้ผจญภัยทางกายเพียงพอ
เราก็จะหันไปตั้งเป้าสนใจ กับความเป็นมนุษย์อื่นอีกครั้ง
แล้วจากนั้น เราก็จะดำเนินเช่นนี้ต่อไป จนกระทั่งเราเหนื่อย
ดังนั้นจริง ๆ แล้ว ใครก็ตามที่พร้อม
สามารถประสบกับแสงของพระเจ้า กับความเป็นหนึ่งเดียวของพระเจ้า และการรู้แจ้งได้
ก็ง่าย ๆ เช่นนี้เอง มันเป็นเพียงทางเลือกของท่าน
ท่านเลือกที่จะลืม แล้วบัดนี้ท่านก็ได้เลือกที่จะระลึกได้
ดังนั้น ถ้าท่านคิดว่า บัดนี้ท่านได้เลือกที่จะจำได้อีกครั้ง
เมื่อนั้นก็แน่นอน ฉันอยู่ที่นี่เพื่อให้บริการท่าน
เพราะพระเจ้าได้ประทานอนุญาตฉัน และบัญชาฉันให้ทำเช่นนั้น
และบางทีสักวันหนึ่ง หลังจากที่ ท่านจำทุกอย่างเกี่ยวกับตัวเองได้แล้ว
พระเจ้าก็จะบอกสิ่งเดียวกันนี้กับท่าน
“จงไป บุตรของฉัน! จงไป ธิดาของฉัน!
จงให้บริการกับบุตรหลานของฉัน หรือกับตัวฉันเอง”
เพราะเราไม่เคยแยกไปจากพระเจ้า จงจำไว้
ถึงแม้ว่าท่านจำไม่ได้ ก็จงเชื่อฉันก็แล้วกัน
เราไม่มีที่ใดจะไป นอกจากภายในจิตสำนึกของพระเจ้า
ขณะนี้ เราไม่มีที่ใดอื่นจะไป นอกจากไปบ้านของพระเจ้า
พระองค์ได้โอบล้อมตัวตนทั้งหมด ในจักรวาลนี้อยู่ทุกหนทุกแห่ง
ดอกไม้ทั้งหมด ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาว
ดาวเคราะห์ทั้งหลาย ทางช้างเผือกทั้งหลาย ต่างก็อยู่ในพระเจ้า
ไม่มีอะไร ที่หนีพ้นไปจากความเป็นพระเจ้า
ดังนั้น ถึงแม้ว่าเราไม่รู้แจ้ง เราก็ไม่เป็นอะไรด้วย
จริง ๆ แล้ว ไม่มีนรกอะไรให้ไป
สำหรับวิญญาณที่รู้ตัวอยู่ มันไม่มีอะไรที่เรียกว่านรก
แต่เป็นเพียงประสบการณ์ ที่มันต้องผ่านเข้าไปชั่วคราว
ในการดำเนินไปแห่งอนันตกาล
เพราะมันได้เลือกที่จะประสบกับ สิ่งที่เรียกกันว่าความทุกข์ยากบางประการ
เพื่อจะได้เติบโต เพื่อจะได้เข้าใจความสุขอีกครั้ง
วิญญาณทุกดวง ทุกส่วนเล็ก ๆ ของพระเจ้า ได้เลือกที่จะเดินหนทางที่แตกต่างกันไป
เพื่อที่จะ ประสบแง่มุมที่แตกต่างกันไปของพระเจ้า
และประสบการณ์ทั้งหมด ของมวลมนุษยชาติหรือตัวตนทั้งมวลนั้น
ทำขึ้นจาก ความครบถ้วนสมบูรณ์ของพระเจ้า
ดังนั้น พระเยซูจึงตรัสไว้ว่า “จงรักเพื่อนบ้านของท่าน”
กระทั่งว่า “จงรักศัตรูของท่าน”
เพราะ… ทุก ๆ คนก็คือเราเอง!
พวกเขาเพียงได้เลือก ที่จะเล่นบทบาทนั้นเท่านั้นเอง
ไม่มีศัตรูใด ๆ
มีเพียงเรา เป็นเพียง จุดสนใจที่แตกต่างกันไปของพระเจ้า
เพื่อทำให้ชีวิตมีเรื่องมากล้น หลากหลายขึ้น
แตกต่างขึ้น มีสีสันขึ้น
ดังที่พระองค์ได้ทำให้เรา มีสีผิวที่แตกต่างกันไปด้วยซ้ำ
เพื่อเราจะได้สนุกกับกันและกัน
เช่น ฉันดูเหมือน เกล็ดแป้งข้าวโพดสีเหลือง …ข้าวโพด!
และท่านดูเหมือนช็อกโกแลต
ใช่แล้ว และเขาดูเหมือนเกล็ดหิมะ รู้จักไหม เกล็ดหิมะประดับช่วงคริสต์มาส ใช่ ๆ
ใช่แล้ว เพราะพระเจ้ามีสีสัน!
ดังที่พระองค์ได้ทำดอกไม้ต่าง ๆ ให้มีสีต่าง ๆ กันไป แม้กระทั่งผลไม้!
จากเนื้อดินอันเดียวกัน
เราสามารถได้ผลไม้และดอกไม้ มากมายหลายประเภทแตกต่างกันไป
มันต่างก็มีสีแตกต่างกันไปทั้งสิ้น!
ชาวแอฟริกาเลือก ที่จะใส่เสื้อผ้าที่มีสีสันฉูดฉาดเสมอ
เพราะฉันคิดว่า ภายใน พวกเขารู้สึกว่า พวกเขาใกล้ชิดกับพระเจ้ามาก
พวกเขาช่างมีความสุขเหลือเกิน! พวกเขาทราบว่า นี่คือ…
ดังนั้น มันไม่ได้มีอะไรลึกลับหรือยากเย็น
เกี่ยวกับการค้นหาพระเจ้า หรือการค้นหาตัวตนแท้ของเรา
เพราะเราไม่เคยเป็นอื่นใด นอกเสีย ไปจากพระเจ้า เป็นเนื้อแท้ของพระเจ้า
เป็นหนึ่งกับพระเจ้า หรือเป็น บุตรหลานของพระเจ้า เป็นลูกของพระเจ้า
เป็นรังสีวาบหนึ่งของพระเจ้า เป็นส่วนหนึ่งของพระเจ้า
มันก็เหมือนกับปลาในทะเล
มันเกิดในทะเล มันอาศัยอยู่ในทะเล
และเมื่อมันตายไป มันก็จะกลายเป็นทะเลอีกครั้งหนึ่ง
รู้ไหม อะไรอย่างนั้น
ดังนั้น เราไม่เคยวิ่งไปที่ไหนเลย
ฉันเพียงอยากจะเล่าข่าวดีให้ท่านว่า ฉันพบ
ว่า เราไม่มีนรกจะให้ไป
เราจะไม่เคยถูกตราให้ไปอยู่ใน ความมืดหรือความทุกข์ตรมนิรันดรนั่น
มันไม่มีอะไรที่เรียกว่า ความทุกข์นิรันดร
เพราะมันมีแต่ความรักนิรันดรเท่านั้น
ปัญหาของเราขณะนี้คือ เราจะต้องเปลี่ยนแปลงวิธีการคิดของเรา
เราจะต้องเปลี่ยน
เรามีความรู้สึกผิดมากเกินไป ความกลัวอันเกิดจาก ความรู้สึกผิดเกี่ยวกับทุก ๆ เรื่อง
เรารู้สึกผิด เมื่อเราประสบความสำเร็จ
ผู้คนทำให้เรารู้สึกผิด เมื่อเราร่ำรวยด้วยซ้ำไป!
หากพระเจ้าประทานความร่ำรวย ให้เรามาบ้าง หรือประทาน กิจการอันประสบความสำเร็จมาให้
ผู้คนก็จะทำให้เรารู้สึกผิด! ใช่แล้ว
หากท่านมีภรรยาสวย ผู้คนก็จะ ทำให้ท่านรู้สึกผิดเช่นกันเป็นบางครั้ง
ใช่แล้ว! พวกเขาจะเข้ามาถามท่านว่า
“ท่านรู้จักกับผู้หญิงสวยคนนี้ได้อย่างไร?”
หรือพวกเขาจะถามหล่อนว่า “คุณเห็นอะไรดีในตัวผู้ชายคนนี้หรือ หือ?
เขาอัปลักษณ์มากเลย!” อะไรอย่างนั้น
ใช่แล้ว มันไม่ใช่เรื่องอะไรของพวกเขาเลย! พวกเขาทำให้ท่านรู้สึกไม่ดี ใช่แล้ว!
พวกเขาทำให้ท่านรู้สึกผิด ถ้าท่านมีเงินจำนวนมาก
พวกเขาทำให้ท่านรู้สึกผิด ถ้าท่านประสบความสำเร็จ ทางการเมืองหรือทางธุรกิจ
มันก็เป็นเช่นนี้ เพราะ…
พวกเขายังทำให้ท่านรู้สึกผิดด้วย เกี่ยวกับ
เรื่อง ที่ท่านทำในห้องนอนกับคนรักของท่าน
ใช่แล้ว ฉันเสียใจ นี่ก็แย่เหลือเกิน
ท่านได้ลงกลอนประตูเรียบร้อยแล้ว ท่านได้ปิดม่าน
พวกเขาก็ยังคงทำให้ท่านรู้สึกผิดอยู่ในนั้น
ท่านเพียงแต่แสดงออกถึงความรัก ด้วยวิธีที่แตกต่างกันไป ใช่ไหม?
และโลกทั้งโลกก็ยังรู้สึกผิด เกี่ยวกับมากมายหลายเรื่องนัก
เพราะเราได้รับการเสี้ยมสอนมาอย่างนั้น
คำสอนแบบนี้ไม่มีวันถูกต้อง
ดังนั้น พระเยซูจึงต้องมา โมเสสจึงต้องมา เพื่อปล่อยเราให้เป็นอิสระ
ปล่อยเราให้เป็นอิสระ ไม่เพียงด้วย การเสียสละของพระองค์ แต่ด้วยคำสอน
ด้วยการบอกท่านว่า พระเจ้านั้นมีแต่ความรัก
“เคาะประตู แล้วมันก็จะเปิด ขอ แล้วมันก็จะถูกมอบให้กับท่าน”
แต่ท่านต้องเคาะที่ไหนเล่า? ใช่แล้ว
เราไม่สามารถเคาะได้ด้วยซ้ำไปแล้ว เราอ่อนแอเกินไป!
เราถูกทับถมด้วยความรู้สึกผิดและความ กลัว กลัวพระเจ้าผู้เจ้าคิดเจ้าแค้นผู้นี้
มันไม่มีอะไร ดังเช่นพระเจ้าผู้เจ้าคิดเจ้าแค้นหรอก
หากพระองค์เจ้าคิดเจ้าแค้น พระองค์ ก็จะเหมือนเรา เหมือนกับท่าน กับฉัน
พระเจ้าผู้ชอบทำสงคราม รู้ไหม? “ท่านต้องทำดีกับฉัน มิฉะนั้นละก็ ฮึ่ม!”
นั่นไม่ใช่พระเจ้า! ท่านสามารถจินตนาการ พระเจ้าแบบนั้นออกหรือไม่?
ถ้าเช่นนั้น เราก็ไม่จำเป็นต้องบูชาคนที่ ช่างจิตใจคับแคบเช่นนั้นอีกต่อไปแล้ว
หากพระองค์เป็นบุคคลจริง ๆ หากมีพระเจ้าเช่นนั้นจริง ๆ
เราก็ไม่ควรใส่ใจจะมาบูชาพระองค์แล้ว
เพราะพระองค์ก็จะเหมือนกับ คนที่ชอบใช้อำนาจในทางที่ผิดอื่น ๆ
แม้กระทั่งบนดาวดวงนี้ ลองคิดดูสิ
ท่านมีลูก หรือท่านมีภรรยาและมีสามี
บางครั้งภรรยาของท่านทำผิดพลาดไป สามีของท่านนอกใจสักเล็กน้อย
ท่านก็ยังให้อภัยเขา ท่านยังกอดเขาได้ และ
“โอเค ฉันให้อภัยคุณ อย่าทำเช่นนั้นอีก!”
หรือบางที ลูก ๆ สร้างปัญหาให้กับท่านมากมาย
เพราะพวกเขาดื้อรั้น พวกเขาไม่ฟังท่าน
พวกเขาทำให้ท่านปวดหัว
ท่านก็ยังให้อภัยพวกเขา ท่านยังคงรักพวกเขา
และมอบความรักที่ดีที่สุด ที่บิดามารดาอาจมอบได้ ให้กับเขา
แม้กระทั่งเงินทอง ทุก ๆ อย่างที่เสียสละได้!
ถ้าเช่นนั้นแล้ว พระเจ้าเล่า
ผู้ที่เป็นบิดาหรือมารดาที่ยิ่งใหญ่ที่สุด แห่งจักรวาลทั้งมวล
จะเจ้าคิดเจ้าแค้น
จะตราให้ท่านลงนรก เพียงเพราะท่านเป็นมนุษย์
เพราะท่านไม่รู้ดีไปกว่านี้ แล้ว ท่านจึงทำผิดไปเป็นบางครั้ง ได้อย่างไร
ดังนั้น ความกลัวประเภทนี้
ถูกถ่ายทอดมาสู่เรายุคแล้วยุคเล่า
นั่นคือสาเหตุ ที่เดี๋ยวนี้เราพบว่า ตัวเราเองนั้นอ่อนแอเกินไป
ที่จะแม้กระทั่งเชื่อว่า ยังมีพระเจ้า ผู้จะตอบคำภาวนาของเราด้วยซ้ำไป
นั่นคือสาเหตุ ที่เมื่อเราภาวนา เราไม่ได้ภาวนาหมดใจ
เราไม่เชื่อมั่นว่า คำภาวนาของเราจะได้รับการตอบสนอง
แต่ก็ยังมีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลว่า
“จงเคาะประตู แล้วมันจะเปิด จงขอ แล้วจะให้”
มันเป็นเช่นนั้น! มันเป็นเช่นนั้นจริง ๆ เกี่ยวกับพระเจ้า
ไม่สำคัญว่า ท่านทำอะไรไป ท่านกำลังทำอะไร พระองค์จะ ตอบสนองคำสวดภาวนาของท่านเสมอ
เพียงเราต้องฟัง
ฉันจะแสดงให้ท่านเห็นว่า จะฟังพระองค์ได้อย่างไร
นั่นคือวิธี ที่เราจะเปลี่ยนแปลงวิธีคิดของเรา
เราจะต้องเชื่อตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปว่า พระเจ้าล้วนให้อภัย ล้วนรัก
ถึงแม้ท่านไม่เชื่อว่า พระเจ้าก็ล้วนให้อภัย ล้วนรัก
ท่านเชื่อว่า พระเยซูได้มาที่นี่ และเสียสละพระชนม์ให้กับท่าน
และฉันจะแสดงให้ท่านเห็นว่า สิ่งที่พระองค์ตรัสนั้น เป็นความจริง
ฉันจะแสดงให้ท่านเห็นว่า ยังมีพระเจ้าอยู่จริง
พระพ่อเจ้า พระแม่เจ้า หรือพุทธะ ใครก็ ตาม ที่ท่านเชื่อถือ… กระทั่งพระอัลเลาะห์
ผู้ใดก็ได้ ที่ท่านเรียกนามของพระองค์ ด้วยความรักหมดใจ
ด้วยความงดงามทั้งหมด ด้วยศรัทธาทั้งหมดของท่าน
นั่นคือพระเจ้าผู้มีความรักเสมอไป
ไม่เคยเลย ที่จะวิพากษ์วิจารณ์ท่าน แม้สักเพียง ๑ เสี้ยววินาที
ทุกครั้งที่ท่านหันไปหาพระองค์
ไม่ว่าท่านจะเคยทำความเลวมาสักเท่าใด ในชีวิตของท่าน
พระองค์ก็จะเปิดประตู…ในทันที!
นั่นคือสาเหตุ ที่เราเรียกวิถีนี้ว่า การรู้แจ้งในทันที
เพราะมันเกิดขึ้นในทันที
ทุก ๆ วัน ท่านสามารถ ฝึกฝนใหม่ได้อีกครั้งและอีกครั้ง
จนกระทั่ง ท่านสามารถระลึกได้อย่างถ่องแท้ว่า
มันมีเพียงสิ่งเดียวในชีวิตนี้ นั่นคือพระเจ้า และพระองค์อยู่ทั่วทุกแห่ง
แล้วเมื่อนั้น ท่านก็จะมีความสุข
ท่านจะมีความสุข นับตั้งแต่วันที่ท่านเห็น แสงของพระองค์ นับตั้งแต่วันแรกแล้ว
บางทีอาจเป็นวันนี้
ถ้าท่านไว้ใจฉันเพียงพอ ให้ฉันเสนอบริการนี้ให้กับท่าน
ท่านสามารถมีมันได้ทันทีเลย ไม่มีปัญหา!
ท่านจะเห็นว่า สิ่งใดก็ตามที่มีกล่าวไว้ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล
เป็นความจริง ๑๐๐%
ดังที่โมเสสเห็นพระเจ้า
ดังที่พระเยซูเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า จนพระองค์กลายเป็น…
หรือพระองค์เป็นบุตรของพระเจ้าเสมอมา แต่ พระองค์ไม่ใช่บุตรองค์เดียวของพระเจ้า
เราต่างก็เป็นบุตรของพระเจ้า
พระเจ้าไม่ได้ไร้สมรรถภาพ! พระองค์ไม่ได้สร้างบุตรเพียงองค์เดียว
พระองค์สร้างบุตรหลายองค์
ก็เหมือนที่พระเยซูระลึกได้
พระองค์ระลึกได้ถึงตัวตนอันสูงสุด แห่งการเชื่อมต่อกับพระเจ้าของพระองค์
พระองค์ระลึกได้ถึงเรื่องราวทั้งหมด
ส่วนเรายังระลึกไม่ได้ ก็มีอยู่เพียงแค่นั้น
ยังมีโอรสของกษัตริย์ ๒ องค์
๑ นั้น พเนจรไปทั่วแผ่นดิน
และลืมไปว่า พระองค์เป็นเจ้าชาย
อีก ๑ นั้น อาศัยอยู่กับพระบิดา และจำได้ว่า พระองค์เองเป็นเจ้าชาย
ทั้ง ๒ ต่างก็เป็นเจ้าชาย ใช่ ไม่มีความแตกต่างอะไร!
วันหนึ่งพระองค์ก็จำได้และกลับมา ก็เหมือนกัน ใช่แล้ว!
ดังนั้น เราคือบุตรและธิดา ผู้ท่องเที่ยวพเนจรของพระเจ้า
และชั่วขณะที่ท่านอยากจะกลับบ้าน มันก็อยู่ตรงนั้นเลย
ทุกอย่างถูกสร้างขึ้นโดยความคิด เท่านั้นเอง
ตัวอย่างเช่น ขณะนี้เราอยู่ในกายเนื้อ
ดังนั้น ท่านไม่เข้าใจ คำสอนของพระเยซูหรือพุทธะเท่าใดนัก
เพราะมันมีกล่าวไว้ว่า
ไม่ว่าท่านขอสิ่งใดก็ตาม พระบิดาของท่านจะประทานให้
นั่นหมายความว่า ไม่ว่าท่านคิดว่า อะไรก็ตาม ท่านประสงค์สิ่งใดก็ตาม
มันจะได้รับการตอบสนอง
แต่เราไม่สามารถเชื่อได้
เพราะ เราถูกจองจำอยู่ในโซ่ตรวนวัตถุ ที่เรา เรียกว่าร่างกาย อย่างหนาแน่นเหลือเกิน
ดังนั้น เพื่อที่จะ ประสบกับความรักอันไร้พรมแดน
กับความรักอันไร้ขอบเขต อันแผ่ขยายไปทุกที่ อันไร้เงื่อนไข อันอยู่ชั่วนิรันดรของพระเจ้านั้น
เราจะต้องขึ้นเหนือร่างกาย
และฉันจะแสดงให้ท่านเห็นว่า ทำอย่างไร เป็นเรื่องง่ายมาก
ท่านสามารถทำ เมื่ออยู่บนรถโดยสารประจำทาง บนเครื่องบิน ในสวนสาธารณะ ที่ใดก็ได้
ไม่มีเงื่อนไขใด ๆ ฉันจะแสดงให้ท่านเห็นในไม่ช้านี้
และฉันสามารถ แสดงให้ท่านเห็นระดับที่ลึกกว่า
ระดับที่แตกต่างไปของการ… การสละร่างกาย
สำหรับบางท่านที่เพียงอยากทดลอง
รู้ไหม เช่น เหมือนเมื่อท่านเข้าไปในร้านค้า
และท่านอยากลองเนยแข็งสักเล็กน้อย เพื่อจะได้ชิมดูว่า เนยแข็งนี้ดีหรือไม่
ฉันก็จะให้ท่านคล้ายกับลอง สักไม่กี่นาที
หากท่านอยากลงลึกขึ้น ก็จะมีบางอย่าง ที่ท่านต้องทราบมากขึ้น
ดังนั้น จะใช้เวลา ๒, ๓ ชั่วโมง ที่จะอธิบายให้ท่านฟัง
แต่การรู้แจ้งเกิดขึ้นในเพียงไม่กี่วินาที
การอธิบายใช้เวลานานกว่า
ทำไมจึงต้องอธิบาย?
เพราะท่านจะต้องไปทำเองที่บ้าน
ดังนั้น ท่านจะต้องทราบทุกสิ่ง ใช่ไหม?
เพื่อจะได้ดูแลตนเอง และเป็นอาจารย์ของตัวท่านเอง
จากนั้น ท่านก็ไม่ต้องเรียกฉันว่าอาจารย์ อีกต่อไป
ท่านเรียกตนเองว่าอาจารย์ได้
หรือไม่ต้องใส่ใจจะเรียกด้วยซ้ำไป เราเป็นเพื่อนกัน ใช่!
พวกเราทุกคนต่างก็เสมอเหมือนกัน เสมอกัน เป็นเช่นนั้นจริง ๆ
เอาละ คราวนี้ เรา… โอเค ฉันพูดถึงไหน… ตรงไหน…
โอ มีมากมายหลายอย่างเกินไป อา โปรดช้าลงหน่อย!
พระองค์ตรัสเร็วเหลือเกิน
ปากของฉันขยับไม่ทัน
เพราะในมิติที่สูงขึ้นไป เราไม่พูดกันด้วยซ้ำ
และเราเข้าใจกันและกันเพียงด้วย…
เหมือนฉันพูดกับตนเองอยู่ในหัว
ท่านทราบไหม แล้วนี่คือ… ข้อความผ่านมาเร็วมาก
ดังนั้น บางทีฉันจะลืม และตามไม่ทัน
ฉันพูดถึงตรงไหนอยู่? ฉันพูดอะไรก่อนหน้านั้นหรือเปล่า?
ขึ้นไปเหนือร่างกายใช่ไหม? โอเค ๆ
เหตุที่เราไม่ทราบว่า เราเป็นหนึ่งกับพระเจ้า
และไม่ทราบว่า ทุกสิ่งที่เราปรารถนาและจำได้
จะอยู่เบื้องหน้าจมูกของเราเสมอนั้น
เป็นเพราะเราถูกจองจำอยู่ในกายเนื้อนี้
ดังนั้น การขึ้นไปเหนือร่างกายนั้น ยังมีวิธีอยู่
ดังนั้น เราสามารถถึงกับติดต่อกับพระเยซู ติดต่อ กับพุทธะ หรือติดต่อกับพระมะหะหมัด
อาจารย์ในอดีตท่านใดก็ตามได้ ที่ได้ลา จากสภาพแวดล้อมอันเป็นวัตถุนี้ไปแล้ว
และก้าวเข้าไปสู่อีกมิติ
ดังนั้น เพื่อที่จะเห็นท่าน เราต้อง เข้าไปสู่มิติของท่าน แล้วเราก็จะเห็นท่าน
มันเป็นเรื่องง่ายมาก โอเคไหม?
ถ้าฉันอยากจะเห็นชาวแอฟริกามากที่สุด ฉันก็จะมาที่นี่
และเมื่อฉันต้องการจะพบชาวอังกฤษ ฉันก็จะไปอังกฤษ ใช่แล้ว!
มีชาวอังกฤษบางคน ที่มาสถานที่ของฉันเป็นบางครั้ง
หรือมีพี่น้องชาวแอฟริกาใต้ มาสถานที่ของฉันเป็นบางครั้ง
แต่นั่นน้อยมาก เห็นไหม?
หากฉันต้องการพบชาวแอฟริกาทั้งหมด ฉันก็จะมาที่นี่ ก็เป็นเช่นนั้น!
หากท่านต้องการเห็นสวรรค์ทั้งหมด หรือความเป็นพระเจ้า หรือแดนสวรรค์บางแห่ง
เราจะต้องขึ้นสู่สถานที่ของเขา
และเราทำโดยใช้ความคิด ความคิดที่ลึก ๆ ๆ มาก
ฉันจะแสดงให้ท่านเห็น วิธีที่จะเสริมพลังความคิดของท่าน
เพื่อที่จะได้ออกไปจากประตูบานนี้ที่นี่
แล้วก้าวเข้าสู่อีกมิติหนึ่งได้ทุกเวลา ตามความพอใจ
เมื่อท่านฝึกฝน ท่านสามารถจะทำได้ทุกเวลา ทุกที่
เอาละ เกิดอะไรขึ้น…
เหตุใดนักบุญจึงกล่าวว่า เราจะต้อง เรียนวิธีตาย เพื่อจะได้เริ่มมีชีวิตอยู่
นั่นคือ เพราะหาก ท่านเรียนวิธีที่จะเพ่งจิตอย่างลึกมากนี้นั้น
เพ่งจิตกับการคิดภาวนาอย่างลึกมากนั้น
เราก็จะสามารถ ก้าวเข้าสู่มิติของตัวตนแห่งสวรรค์
และมันก็คล้ายกับชั่วขณะของการตาย
ของคนจำนวนมาก แม้กระทั่งคนทั่วไป
ไม่สำคัญว่า จะต้องเป็นการตาย ของผู้บำเพ็ญ โยคี หรืออะไรอย่างนั้นเลย
คนทั่วไป ถ้าจิตสำนึกของพวกเขาใสสะอาด
ชีวิตของพวกเขา จะเป็นตัวอย่างที่สมบูรณ์แบบของความดี
เมื่อพวกเขาตายไป พวกเขาจะพบว่า ตนหลุดพ้นมาก
พวกเขาจะพบว่า ตนเองล้วนแพร่อยู่ทุกที่ในขณะเดียวกัน
และไม่มีที่ไหน ที่พวกเขาไม่อยู่
และเมื่อใดก็ตาม เมื่อพวกเขาต้องการสิ่งใด
สิ่งนั้น ๆ ก็จะมาอยู่เบื้องหน้านั้นเลย
เมื่อใดที่พวกเขาคิดถึงใคร
คนคนนั้นก็จะมาปรากฏตรงหน้านั้นเลย
หรือกล่าวได้อีกอย่างว่า
พวกเขาจะไปปรากฏตนหน้าสิ่งนั้นทันที
สิ่งนั้นที่พวกเขาต้องการ หรือบุคคลที่พวกเขาอยากจะเห็น
ด้วยเหตุนี้ เมื่อเราเรียนรู้ที่จะตาย
มันหมายความว่า เราละจากกายเนื้อนี้ ไปแล้ว และตายไปชั่วคราว
พวกเรามีประสบการณ์เช่นนี้ด้วย
แล้วจากนั้น เราจะทราบอย่างถ่องแท้ว่า อะไรก็ตามที่เราต้องการนั้น
พระเจ้าจะประทานให้กับเราจริง ๆ พระเจ้าจะประทานเรา
เป็นเพียงว่า ในกายเนื้อนี้นั้น
เราช่างมืดบอดใบ้ต่อพรจากสวรรค์ ต่อความรักจากพระเจ้า
จนเราช่างรู้สึกไร้หนทาง
เราไร้หนทางช่วยตนเองที่สุด เมื่อเราอยู่ในกายเนื้อนี้
มันเป็นดั่งว่า ท่านถูกขังอยู่ในกล่อง
และกุญแจถูกทิ้งลงในแม่น้ำ
เป็นเหมือนอย่างนั้น ช่างไร้หนทางจริง ๆ !
ด้วยเหตุนี้ เราจึงต้อง เรียนที่จะขึ้นไปเหนือคุกทางวัตถุนี้
เพื่อที่จะประสบกับ ความรุ่งโรจน์ของความรักได้อย่างแท้จริง
เมื่อนั้น เราจะมีความสุขมาก ๆ ทุก ๆ วัน จนมันไม่สำคัญว่า เราอยู่ที่ไหน
ไม่สำคัญว่า เรามีทรัพย์สินหรือไม่มีอยู่เท่าใด
เราจะพึงพอใจอยู่เสมอ มีความสุขเสมอ
นั่นคือสาเหตุ ที่พระเยซูมิได้กระทำสิ่งใด เมื่อเผชิญหน้ากับความตาย
พระองค์ตรัสว่า “พระบิดา พระองค์ช่างได้ประทานความ รุ่งโรจน์ให้กับข้าพเจ้ามากมายเหลือเกิน”
พระองค์ได้ยอมรับการถูกตรึงกางเขน พระองค์มิได้วิ่งหนีไป
พระองค์สามารถทำได้ ทำได้ทุกเวลา
ชายที่มีอำนาจและความรู้มากเพียงนั้น สามารถทำได้ทุกสิ่ง!
แต่พระองค์ไม่ประสงค์ที่จะทำเช่นนั้น
พระองค์จะวิ่งหนีไปทำไม จากอะไร
ที่พระองค์ทราบว่า เพียงจะทำให้พระองค์รู้สึกรุ่งโรจน์ขึ้น
มีความสุขมากขึ้น เป็นอิสระขึ้น?
ทำไมพระองค์จะต้อง รู้สึกยึดติดอยู่กับคุกเล็ก ๆ นี้
เมื่อพระองค์ทราบ ถึงความกว้างใหญ่ไพศาลของสวรรค์?
ทำไมพระองค์จะต้อง ยึดติดอยู่กับพระญาติและพระสหาย
ในมิติทางกายภาพนี้
เมื่อพระองค์ทราบว่า พระองค์สามารถพบพระบิดาในสวรรค์ได้
และเมื่อพระองค์ทราบว่า ผองพี่น้องทั้งหลาย
และพระญาติและพระสหายทั้งหมดนั้น
ในท้ายที่สุด ต่างก็ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์อยู่แล้ว?
นั่นคือการเป็นอิสระอย่างแท้จริง
ไม่มีอิสรภาพใดเทียบเทียมได้กับ อิสรภาพในความตระหนักได้ถึงพระเจ้านี้
นั่นคืออิสรภาพแท้หนึ่งเดียว ที่เราควรแสวงหา
ฉันยินดีที่จะบริการท่านด้วยวิธีใดก็ตาม ที่ฉันพึงทำได้
หากท่านคิดว่าพร้อมแล้ว ที่จะเลือกทางเลือกนี้อีกครั้ง
ท่านรู้สึกว่า พอกันทีแล้วกับชีวิตนี้ ท่านอยากจะมีทางเลือกอื่น
แต่กระนั้น
เราจะไม่ทิ้งโลกนี้ไปเพื่อไปสวรรค์ เปล่า!
เรายังคงสามารถมีได้ทั้ง ๒ อย่าง
ตัวอย่างเช่น ฉันยังคงอยู่ที่นี่
ฉันเพลินใจกับสวรรค์ทุก ๆ วัน แต่ฉันก็เพลินใจกับชีวิตนี้ด้วย
เห็นไหม ฉันเพลินใจกับอัญมณีของท่าน และเสื้อผ้าของท่านมาก
บางครั้ง ผู้ที่บำเพ็ญทางจิตวิญญาณนั้น
หากพวกเขาเลือกที่จะ ประสบความสำเร็จในชีวิตนี้ด้วย
พวกเขาก็สามารถ ประสบความสำเร็จได้ด้วย
อาจารย์ที่แตกต่างกันไป ได้เลือกวิธีที่แตกต่างกัน
เพื่อที่จะ แสดงให้เห็นถึงความรักของพระเจ้า
อาจารย์บางท่าน ได้เลือกวิธีสละโลกโดยสิ้นเชิง
ดังเช่น พระเยซู ดังเช่น พุทธะ
แต่ อาจารย์บางท่านเลือกที่จะนำของขวัญ ที่ พระเจ้าประทานมา มาใช้ให้เป็นประโยชน์
หรือพระเจ้ากำหนดให้พวกเขาทำเช่นนั้น
มันขึ้นอยู่กับพระประสงค์ของพระเจ้าว่า ท่านควร
ว่าอย่างไร ร่ำรวยทางวัตถุมากพร้อมกันกับ ความก้าวหน้าทางจิตวิญญาณในชีวิตนี้
หรือเพียงร่ำรวยทางวัตถุ แต่ไม่ก้าวหน้าทางจิตวิญญาณ
หรือเพียงก้าวหน้าทางจิตวิญญาณ แต่ไม่ร่ำรวย
ทุกคนเดินหนทางที่แตกต่างกันไป
แต่เราต่างก็เดินกลับบ้าน ไปสู่มิติของพระเจ้า
และนั่นคือเหตุ ที่เรามาที่นี่
ในกรณีที่ท่านถามว่า เป้าหมายของการเป็นมนุษย์นั้น คืออะไร
มันก็คือเช่นนี้
และก็ขอขอบคุณ ที่ท่านตั้งใจฟัง
หากท่านมีคำถามใดอีก ฉันยินดีที่จะตอบ
แล้วจากนั้น ฉันก็จะแสดง ให้ท่านเห็นวิธีที่จะระลึกถึงพระเจ้า
ท่านเรียบร้อยดีไหม?
ฉันหวังว่า ฉันกล่าวไว้ชัดเจน
ใช่แล้ว ท่านช่างเฉลียวฉลาดยิ่งนัก โอ พระเจ้า!
ฉันไม่ประหลาดใจเลย ไม่ประหลาดใจเลย
ชาวแอฟริกา ให้ความสนใจทางจิตวิญญาณมาก
พวกเขาเข้าถึงธรรมชาติกว่ามากเลย… เข้าถึงเรื่องทางจิตวิญญาณมาก!
มีคำถามอะไรแล้วหรือยัง?
ท่านอาจารย์ที่รัก ประโยชน์ของ การติดตามอาจารย์ผู้หนึ่ง คืออะไร?
มันไม่ดีกว่าหรือ ถ้าจะเป็นคนที่มีความมุ่งมั่นด้วยตนเอง
และที่จะดำเนินตามหนทางของตนเอง สู่การรู้แจ้ง
และที่จะจัดการกับกรรมของตนเอง ด้วยตนเอง?
ประโยชน์ของการติดตามอาจารย์ คืออะไร? ใช่ไหม?
ใช่แล้ว รวมทั้ง… ว่า เราสามารถ จัดการกับกรรมของตนเองด้วยได้ไหม
หรือเราจำเป็นต้อง มีอาจารย์มาจัดการกรรมให้
เข้าใจ ๆ ๆ
จริง ๆ แล้ว ในการพูดจา ท่านเรียกฉันว่าอาจารย์
แต่ฉันบอกท่านแล้ว
ฉันจะย้ำเตือนท่านว่า ผู้ที่เป็นอาจารย์คือท่าน!
ก็มีอยู่เพียงแค่นั้น
และกรรมและอะไร ๆ เหล่านั้นก็จะหายไป
เมื่อท่านตระหนักได้ว่า ท่านเป็นอาจารย์ของจักรวาล
ว่า ท่านเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า
แต่ก่อนหน้านั้น หาก ท่านยังตระหนักในเรื่องนี้ได้ไม่สมบูรณ์
แน่นอน ฉันจะเป็นเพื่อนของท่าน
และช่วยท่าน จนกว่าท่านจะเข้าใจทุกสิ่ง
และท่านสามารถเรียกฉันว่าอาจารย์ได้ หรือติดตามฉัน…
ท่านไม่จำเป็นต้องติดตามฉัน เพราะฉันจะไม่ได้อยู่ในแอฟริกาไปตลอด
เพียงให้ปฏิบัติตามคำแนะนำ
เพื่อที่ทุก ๆ วัน ท่านจะได้ เพ่งจิตเข้าลึกภายใน และก็พบพระเจ้า
แล้วจากนั้น วันหนึ่งท่านก็จะเข้าใจอย่างถ่องแท้
ท่านอาจเข้าใจอย่างถ่องแท้วันนี้ด้วยซ้ำไป
มันขึ้นอยู่กับว่า การเลือกที่จะกลับไปหา พระเจ้าของท่านนั้น รุนแรงแค่ไหน
ดังนั้น ท่านไม่จำเป็นต้องตามใคร
ไม่กระทั่งตัวตนทางกายภาพ หรือทางสวรรค์ใด ๆ … ให้ท่านติดตามตัวท่านเอง!
ฉันเพียงแต่จะแสดงให้ท่านดูว่า ทำอย่างไร
แสดงให้ท่านเห็นวิธีการบางอย่าง เพื่อท่านจะได้…
เพราะมันไม่ใช่ว่า ท่านไม่ทราบ… ท่านเพียงลืมไป!
เพราะการใช้ชีวิตบนโลกนี้ เรายุ่งกับการเอาชีวิตรอดมากเหลือเกิน
และทุก ๆ อย่างก็พยายามฝังเราเอาไว้ ใต้ความวิตกกังวลและความทุกข์ยาก
แล้วก็ทำให้เรายุ่งวุ่นวาย จนเราลืมไป
ฉันออกมาจากโคลนตมนั่นแล้ว
ฉันสามารถโรยเชือกลงไป ดึงท่านขึ้นมา แล้วก็อาบน้ำให้กับท่านได้อีกครั้ง
เมื่อนั้น ท่านก็จะกลายเป็นเหมือนฉัน อีกครั้ง สะอาดและสวยงามไปหมด
การทำสมาธิวิถีสะดวก
ให้เรามากเท่ากับการประทับจิตหรือไม่?
มันก็เหมือนกัน! ใช่แล้ว วิถีกวนอิม…
วิถีสะดวกแสดงให้เราเห็นได้หรือไม่... (อ๋อ วิถีสะดวก)
ได้ มันแสดงให้ท่านเห็นได้…
แตกต่างกันไป แตกต่างไปเล็กน้อย
วิถีสะดวกนั้น มีไว้เพื่อความสะดวก ใช่แล้ว
คนบางคนไม่สามารถ…
ตัวอย่างเช่น พวกเขา ไม่สามารถรับประทานมังสวิรัติแท้ได้
หรือพวกเขาตัดสินไม่ได้ว่า จะปฏิบัติเป็นบางเวลาหรือเต็มเวลา
พวกเขาเพียงอยากทดลองดู เป็นช่วงสั้น ๆ ในแต่ละวัน ใช่ไหม?
ดังนั้น ประโยชน์ที่ได้รับ ย่อมไม่มากเท่าเมื่อบำเพ็ญเต็มเวลา ใช่
แต่วิถีสะดวก จะทำให้ท่านเองหลุดพ้นในชาตินี้
ในขณะที่ หากท่านบำเพ็ญวิถีกวนอิม และรับประทับจิตเต็มที่นั้น
ท่านจะสามารถ ช่วยคนอื่นอีกจำนวนมากได้
รวมทั้งญาติท่านจะหลุดพ้น ถึง ๕, ๖, ๗, ๙ ชั่วอายุคน
ใช่แล้ว ยิ่งท่านทำงานหาเงินได้มาก เพียงใด ท่านก็ยิ่งร่ำรวยขึ้นเท่านั้นนะ!
ท่านจะอธิบายเรื่องของอาดัมกับอีฟ ว่าอย่างไร?
ฉันควรจะอธิบายเรื่องของพวกเขาหรือ?
มองดูตัวเอง แล้วท่านจะทราบ!
จงมองดูตัวเราเอง!
ใช่แล้ว
หลังประทับจิตแล้ว หากเรา เลิกรับประทานมังสวิรัติ จะเกิดอะไรขึ้น?
จะเกิดอะไรขึ้นหรือ? ท่านก็จะ กลายเป็นคนรับประทานเนื้อสัตว์อีกครั้ง
หลังประทับจิต
เราจะติดต่อกับท่านได้อย่างไร หากท่านไม่อยู่ที่นี่?
ฉันอยู่ที่นี่เสมอ!
ฉันอยู่ที่นี่เสมอ แล้วท่านจะเห็น
บางทีท่านจะเห็นฉันอยู่ในบ้านของท่าน
หากท่านทำสมาธิดีพอ ใช่แล้ว!
นอกจากนี้ ท่านสามารถ เขียนจดหมายมาหาฉันได้ หือ? ส่งอีเมล์มาได้ เขียนจดหมายมาได้
ทุกวันนี้สะดวกมาก
แต่การติดต่อที่ดีที่สุดคือภายใน
เพราะเราจะกลับมา เชื่อมต่อกับทั้งจักรวาลอีกครั้ง
ดังนั้น ไม่ว่าท่านมีปัญหาอะไร ทั้งจักรวาลจะทราบ
และแน่นอน ฉันจะทราบ เพราะฉันก็ติดต่อในเครือข่ายอยู่เช่นกัน
ดังนั้น เมื่อใดก็ตามที่ท่านถามอะไร ท่านก็จะได้คำตอบทันที โอเคไหม?
แต่ในกรณีที่ท่านยังไม่แน่ใจนักในตอนต้น
ท่านเขียนมาหาฉันได้เสมอ
แต่คำตอบอยู่ภายในเสมอ ใช่แล้ว!
มันมีการเชื่อมต่ออยู่ภายใน เข้าใจไหม?
เป็นบริการโทรศัพท์ ๒๔ ชั่วโมง ไม่คิดเงิน!
ใช่แล้ว นั่นคือความมหัศจรรย์ของการรู้แจ้ง!
เพราะ เพราะหากผู้เป็นอาจารย์ หากผู้เป็น อาจารย์จะต้องอยู่ตรงนั้นด้วยกายเนื้อ
ตลอดเวลากับสานุศิษย์
มันจะไม่สะดวก ไม่มีพลังเพียงพอ
เพราะมันไม่สำคัญว่า อาจารย์จะมีพลังหรือเข้มแข็งแค่ไหน
เขาหรือหล่อน จะไม่สามารถคุ้มกันสานุศิษย์ได้ ตลอด ๒๔ ชั่วโมงโดยการอยู่ด้วยกายเนื้อ
แต่สามารถทำได้ด้วยพลังของจักรวาล
ซึ่งผู้เป็นอาจารย์ ไม่ว่าจะเป็นหล่อน หรือเขา ได้เชื่อมต่ออยู่เรียบร้อยแล้ว
ฉันไม่ใช่ตัวฉันเอง ขณะนี้มันไม่ใช่กายเนื้อ
ที่จะคุ้มกันท่าน
มันคือ การเชื่อมต่อกับพลังจักรวาลผ่านฉัน
ที่จะคุ้มกันท่าน เข้าใจไหม?
ด้วยเหตุนี้ ทุกที่ที่ท่านอยู่
พลังนั้นจะทราบ และคุ้มกันท่าน และจะตอบคำถามของท่าน
ท่านจะทราบว่า “เคาะประตู และมันจะเปิด
จงถาม แล้วจะได้คำตอบ”
คำภาวนาของท่าน จะได้รับการตอบสนองเสมอ
คำถามของท่านจะถูกตอบเสมอ โดยการติดต่อภายใน
และนั่นคือความมหัศจรรย์ ของการมีตัวตนอยู่ในวิถีชีวิตอันรู้แจ้งนี้
มิฉะนั้นแล้ว จะมีประโยชน์อะไรด้วยซ้ำไป
ที่จะฝ่าแม่น้ำและท่องมหาสมุทร แสวงหาอาจารย์อีก?
แล้วท่านจะอยู่กับเขาหรือหล่อนได้ นานเท่าไรกัน? ใช่แล้ว
ผู้เป็นอาจารย์ หลังประทับจิตแล้ว ก็จะคอยคุ้มกันและนำทางท่าน
กระทั่ง หลังจากที่ท่านอาจารย์จากโลกนี้ไปแล้ว
นั่นคือความหมายของการเป็นอาจารย์
มิฉะนั้น ท่านไม่ควรเป็นอาจารย์ งานมันหนักมาก!
เราจะมีความสามารถทาง ศิลปะการใช้ทิพจักขุด้วยตาที่ ๓ หรือไม่?
จะอะไรนะ ที่รัก?
เราจะมีความสามารถทางตาทิพย์หรือไม่?
โอ้ เราจะมีความสามารถทางตาทิพย์ หรือไม่อย่างนั้นหรือ?
โอ้ นั่นไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร!
นั่นเป็นเพียงของเล่นเด็ก เราจะไม่ตั้งเป้าหมายไปที่นั่น!
นี่ไม่ใช่เป้าหมายของเรา
แน่นอน ท่านจะเห็นสิ่งต่าง ๆ ท่านจะเห็นทุกอย่าง
แต่ท่านจะเห็นทั้งจักรวาล
ไม่ใช่เพียงสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ตรงนั้นตรงนี้
ไม่ใช่เพียงอนาคตและอดีตของท่าน
ท่านจะมีความสามารถ จัดการพลังชีวิตทั้งหมดได้ ท่านจะสามารถจัดการทั้งจักรวาลได้
นั่นคือเป้าหมาย
เข้าใจไหม?
สัตว์มีกรรมหรือไม่ และเป็นการ ถูกต้องหรือไม่ ที่จะให้มันกินเนื้อสัตว์?
สัตว์มีกรรมไหมหรือ? อ๊า มันมี
หากมันอยากกินเนื้อสัตว์ ก็ต้องให้มันกิน
มิฉะนั้น มันจะกินท่าน!
ฉันอยากจะเข้าใจพระคัมภีร์ไบเบิ้ล
แค่นั้นหรือ? (ใช่แล้ว)
ถ้าเช่นนั้น ก็ให้ไปศึกษามันเสีย!
ให้อ่านมัน!
ใช่ ๆ ฉันทราบ แต่มันเข้าใจยาก
เพราะมีหลายเรื่อง และศัพท์หลายคำในนั้น
ที่ออกจะลึกลับ ใช่ไหม?
นอกเสียจากว่า เรามีระดับจิตสำนึกเท่ากันกับมัน
เราก็จะพบว่า มันเข้าใจยาก
ดังนั้น แค่ไปรู้แจ้งเสีย เข้าใจไหม?
จงรออยู่ แล้วฉันจะแสดงให้เห็น
ว่า จะก้าวเข้าสู่ประสบการณ์ที่แท้จริง ของพระคัมภีร์ได้อย่างไร
เพราะพระคัมภีร์ไบเบิ้ลนั้น
เป็นการบันทึกหลาย ๆ ตอนของ ประสบการณ์ เป็นประสบการณ์การรู้แจ้ง
ของผู้บำเพ็ญในอดีต ผู้บำเพ็ญทางจิตวิญญาณ เข้าใจไหม?
มันก็เหมือนกับ ตัวอย่างเช่น
พระเยซูนั้น เมื่อพระองค์ ทำสมาธิเป็นเวลา ๔๐ วันในทะเลทราย
แน่นอน พระองค์ได้ติดต่อสื่อสารกับพระเจ้า
ใช่ แล้วมารก็มาหาพระองค์เช่นกัน
และล่อใจพระองค์ด้วยอำนาจแห่ง ๓ โลก
ท่านทราบไหมว่า ๓ โลกคืออะไร?
มันใหญ่มาก!
โลกนี้ก็นับว่าใหญ่เพียงพอแล้ว
หากมีใครมาเสนอ ให้ท่านเป็นกษัตริย์ของโลกนี้ทั้งโลก
ท่านจะชอบไหม?
แน่นอน ท่านก็ต้องชอบแล้ว
และมีคนมาเสนอ ให้ท่านเป็นกษัตริย์ของ ๓ โลก
สูงกว่าโลกนี้อีก ๒ โลก
แต่มารสามารถปกครองได้เพียงแค่นั้น
ดังนั้น มารจึงสามารถเสนอได้เพียงถึง ๓ โลก
แล้วพระองค์ก็ตรัสว่า “จงไปให้พ้นสายตาเรา”
นั่นคือ สิ่งที่พระเยซูตรัส ซึ่งหมายความว่า “ไปให้พ้น”
ใช่แล้ว มีการบันทึกประสบการณ์แบบนี้…
ฉันเสียใจ เราไม่สามารถเห็นมารได้ ด้วยซ้ำไป ถึงแม้ว่าเราอยากเห็น
เพราะ เรายังไม่สามารถมองได้ด้วยวิญญาณ
ดังนั้น เพื่อที่จะเข้าใจ สิ่งที่พระเยซูประสบนั้น
กระทั่งเพื่อที่จะบอกมารได้ว่า “ไปให้พ้น” นั้น
เราจะต้องศึกษา สิ่งที่พระเยซูสอนเรา
จงเดินไปตามทางของพระองค์! ทำสมาธิแบบพระองค์!
“จงเข้าไปในห้องเล็ก ๆ ” หมายความว่า ให้ไปทำสมาธิ ไป สวดภาวนาอย่างสงบ ภาวนาอย่างถูกต้อง
“จงปล่อยให้ดวงตาของท่านเป็นดวงเดียว เพื่อทั้งกายของท่านจะได้เต็มไปด้วยแสง”
ฉันจะแสดงให้ท่านดูว่า ทำดวงตาให้เป็นดวงเดียวนั้น ทำอย่างไร
ว่า จะหาตาดวงเดียวตรงนี้ได้อย่างไร เพื่อท่านจะได้เห็นสวรรค์
ท่านจะสามารถเห็นชีวิตที่แท้จริงได้
ซึ่งถูกโกงไปจากเรา เพราะลักษณะทางวัตถุทั้งหลายเหล่านี้
เราถูกโกง! เราไม่ได้เห็นชีวิตที่แท้จริง
แต่เราสามารถเห็นได้ ถ้าใช้ตาจริง
และนั่นคือเหตุ ที่ฉันมาที่นี่ ฉันจะแสดงให้ท่านดูทีหลัง เชิญ
ท่านอาจารย์ สำคัญด้วยหรือ ที่จะต้องรับประทานมังสวิรัติเพื่อรู้แจ้ง?
สำคัญ ๆ
อา เพราะก่อนอื่น เราจะต้อง บำเพ็ญความรัก เพื่อที่จะได้รักตอบ
เพื่อที่จะแผ่กระจายความรักไปได้ทุกที่ ดังพระบิดาของเรา
เราจะต้องรักตัวตนทั้งมวล
และนั่นคือความหมาย เบื้องหลังการรับประทานมังสวิรัติ
ไม่ใช่เพื่อให้สุขภาพดี
หรือไม่ใช่เพราะพระเยซูตรัสดังนั้น หรือเพราะพุทธะห้ามไว้
เพียง เราจะต้องเป็นความรักกลับชาติมาเกิด
เราจะต้องเป็นพระเจ้าเดินดิน บนดาวดวงนี้
เราจะต้องมีชีวิต เสมือนที่พระเจ้าพึงมี!
ดังนั้น เพื่อที่จะอยู่ใกล้พระเจ้า…
พระเจ้าไม่ได้ลงโทษเรา เป็นเพียงว่า สิ่งที่เหมือนกันก็จะสร้างสิ่งที่เหมือนกัน
หากเราอยากจะอยู่ใกล้อะไร เราก็จะต้องไปที่นั่น
ในทางเดียวกัน
ดังนั้น พระเจ้าสร้างสิ่งมีชีวิตทุกอย่าง แล้วก็ปล่อยให้มันตายไปโดยธรรมชาติ
เราก็ควรทำเช่นนั้น
ถ้าเราสร้างไม่ได้ อย่างน้อยเราก็ไม่ควรทำลาย
ข้อบัญญัติข้อแรกในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลคือ “เจ้าต้องไม่ฆ่า”
มันมิได้กล่าวว่า “เจ้าต้องไม่ฆ่าเฉพาะมนุษย์เท่านั้น”
มันกล่าวว่า “เจ้าต้องไม่ฆ่า”
อะไรก็ตามที่ถูกฆ่า ก็คือถูกฆ่า
ท่านมีความเห็นอย่างไร เรื่องผู้รักษาด้วยจิตวิญญาณ?
เราควรหรือสามารถทำได้ไหม เพื่อ เป็นการหาเลี้ยงชีพ เช่น คิดเงินลูกค้า?
ถ้าทำได้ เราได้รับอนุญาตไหม?
ใช่แล้ว การรักษาด้วยจิตวิญญาณนั้น ดีมาก ดีสำหรับคนไข้มาก
ไม่ค่อยดีนักสำหรับผู้รักษาในบางครั้ง
เพราะเขาหรือหล่อน จะต้องรับกรรมของคนไข้ผู้นี้
และบางครั้งมันมากล้น
เพราะการรักษาด้วยจิต
เป็นเพียงระดับหนึ่ง ของจิตสำนึกของพระเจ้า ใช่ไหม?
หากเราไปถึงที่นั่น เราสามารถรักษาคนได้
ใช่แล้ว คนเหล่านี้มีจิตที่เข้มแข็งมาก
เพื่อจะได้รักษาคนได้
นักรักษาด้วยจิต มีจิตที่เข้มแข็งมาก
แต่เพื่อที่จะรักษาโดยไม่ต้องรักษา ดังที่พระเยซูทำนั้น
เราสามารถขึ้นไปอีกสักนิด ขึ้นไปอีกสูงมาก
เมื่อนั้น เราจะรักษา… ท่านไม่ต้องวางมือลงบนตัวคน
เช่นเหมือน เมื่อมีใครสักคนแตะเสื้อผ้าของพระเยซู แล้วหล่อนก็หายป่วยไปเสียอย่างนั้น
แล้วหล่อนก็ขอบคุณพระองค์ พระองค์ก็ตรัสว่า “เปล่า มันเป็นศรัทธาของเธอ ที่รักษาเธอ”
พระองค์ไม่เคยอ้างเอาความดีเลย เพราะพระองค์ทราบว่า มันคือพระบิดาทำ และพระองค์ก็ตรัสว่า
“เราไม่ได้ทำ หากแต่เป็นพระบิดาทำ”
และนั่นคือระดับที่สูงที่สุด ของการรักษาทางจิต เข้าใจไหม?
เราสามารถอยู่ได้ ในหลาย ๆ ระดับแตกต่างกันไป ดังนั้น มันขึ้นอยู่กับท่านว่า ท่านอยู่ระดับไหน
ผู้ที่รักษาทางจิตที่ยิ่งใหญ่ที่สุดนั้น มิได้รักษา
พวกเขาหายป่วยเองเสียอย่างนั้น
หากมันเป็นพระประสงค์ของพระเจ้าว่า ให้บุคคลนั้นหายป่วยเพราะท่าน
เขาก็จะหายป่วยไปเอง
ผู้ที่เป็นอาจารย์หรือ ตัวอย่างเช่น พระเยซู ไม่ได้ทำอะไรเลย
ด้วยเหตุนี้ พระองค์ ไม่เคยอ้างเอาความดีความชอบเลย
ใช่แล้ว อาจารย์แท้เป็นเช่นนั้น ถ่อมตนมาก!
เราจะสอนบุตรหลานของเรา ให้ใช้ชีวิตแบบนี้
โดยไม่ถูกล้อเลียนอยู่ทุกวันอย่างไร?
ใช่แล้ว ฉันบอกท่านแล้วว่า ผู้คนจะต่อว่าท่าน
แม้ว่าท่านจะมีเพื่อนชายหล่อเหลา หรือมีภรรยาสวยงาม
ดังนั้น ท่านจะกลัวไปทำไม? ใช่ไหม?
ชีวิตนี้ถูกดำเนินมาในทิศทางที่ผิดมา เป็นเวลานานแล้ว
ด้วยเหตุนี้ เราจึงเป็น สิ่งที่เราเป็นทุกวันนี้
ดังนั้น หากเราไม่สามารถเปลี่ยนทั้งโลกได้
อย่างน้อย เราก็ควรเปลี่ยนแปลงตนเอง
เราเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมของเรา เปลี่ยนแปลงใครก็ตาม ที่เราสามารถเปลี่ยนแปลงได้
หากลูกหลานของเราอยากดำเนิน… ไปในทางนี้
มันก็เป็นหน้าที่ของเรา ที่จะนำทาง พวกเขา ไม่สำคัญว่า ใครจะพูดว่าอะไร!
ท่านจะต้องเดินทางของพระเยซู!
ผู้คน เอาก้อนหินปาใส่พระองค์ ด่าทอพระองค์ ตราหน้าพระองค์ ตรึงกางเขนพระองค์
พระองค์ล้มเลิกหนทางของพระองค์ไหม? เปล่า!
ทีนี้ เราคือชาวคริสเตียน เราคือใครก็ตาม
เราเดินสายทางแห่งพระเจ้า เข้าใจไหม?
และ เราจะต้องเป็นตัวอย่างให้กับตัวตนอื่น ๆ
เราไม่สามารถตามพวกเขาไป เพราะพวกเขาไปผิดทางเรียบร้อยแล้ว
พวกเขาเข้าใจผิดไป
ท่านจะต้องเป็นผู้ถือคบเพลิง! ท่านจะต้องเปลี่ยนแปลง!
แล้วคนอื่นบางคนก็อาจจะเปลี่ยนด้วย
ทีแรก พวกเขาอาจไม่ยอมรับ แต่พวกเขาจะกลับมาบ้าน แล้วมานึกดู
“โอ๊ ทางนี้ดูท่าจะดีกว่า”
แล้วภายหลัง พวกเขาก็จะกล่าวว่า “โอ้ มันดีกว่าแน่นอนเลย
โอเค ฉันจะลองทำดู” เห็นไหม?
ด้วยเหตุนี้ เราจึงยังคง ติดตามพระเยซูอยู่ทุกวันนี้ ๒ พันปีให้หลัง
เพราะมันเป็นหนทางเดียวเท่านั้น ที่จะใช้ชีวิต
เราติดตาม แต่เราไม่ฝึกฝน เราควรฝึกฝนมากขึ้น ใช่แล้ว
พระเจ้าอยู่ภายในเราหรือ? เป็นจิตใต้สำนึกของเราหรือ?
ถ้าไม่ใช่ จริง ๆ แล้วมันคืออะไร?
ใช่แล้ว พระเจ้าอยู่ภายในเรา มันคือจิตสำนึก
พระเจ้าอยู่โดยไม่มีเราด้วย
พระเจ้าอยู่ทุก ๆ ที่ พระเจ้าคือตัวท่านเอง
ฉันอยากจะรู้สึกถึงพลังของพระเจ้า แต่ฉันไม่ทราบว่า ต้องทำอย่างไร
ท่านช่วยฉันได้ไหม? ฉันอยากจะเข้มแข็งและเปี่ยมด้วยศรัทธา
ได้ เฉพาะเมื่อท่านเห็นพระเจ้า ท่านจึงสามารถเข้มแข็งและมีศรัทธาได้
ท่านไม่สามารถเชื่ออะไรบางอย่าง ที่ท่านยังไม่เคยเห็นได้ ฉันเสียใจ
ฉันจะแสดงให้ท่านเห็นว่า ทำอย่างไรจึงจะเห็นพระเจ้า แล้วท่านก็จะเชื่อพระองค์ ดีไหม?
พระเจ้าคือแสง พระเจ้าคือความรัก ที่ท่านจะรู้สึก
ในระหว่างที่ติดต่อกับพระองค์ ในระหว่างการทำสมาธิ
ในช่วงเวลาที่ท่านเก็บไว้ให้พระองค์
แล้วในภายหลัง ท่านก็จะรู้สึกถึงความรักของพระองค์
มากขึ้น ๆ ทุก ๆ วัน ทุก ๆ นาที
แม้เมื่อไม่ได้ทำสมาธิ
แม้เมื่อท่านเดินหรือขับรถ
ท่านจะรู้สึกว่า ท่านเป็นหนึ่งเดียวกับความรักนั้น
มันเป็นความรู้สึกที่มหัศจรรย์ และนั่นคือวิธี ที่ทำให้เราเชื่อได้
เข้าใจไหม? นั่นคือวิธี ที่ทำให้เราเชื่อได้
ท่านเห็นได้อย่างไรว่า พระเจ้าอยู่กับท่าน?
และท่านรู้สึกได้เมื่อไรว่า จิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์อยู่กับท่าน?
ฉันรู้สึกได้ตลอดเวลา อืม!
ฉันทราบได้อย่างไรนะหรือ?
ท่านเห็นได้อย่างไร?
ฉันเห็นได้อย่างไรนะหรือ?
สิ่งที่ฉันเห็น ฉันไม่สามารถบอกท่านได้
แต่ฉันสามารถแสดงให้ท่านเห็นได้ เพื่อท่านจะได้เห็นสิ่งเดียวกัน เข้าใจไหม?
เพราะสิ่งที่ฉันดื่ม ท่านไม่ทราบ
สิ่งที่ฉันดื่ม ท่านรับรสไม่ได้ สิ่งที่ฉันรับประทาน ทำให้ท่านอิ่มไม่ได้
แต่ฉันสามารถเสนออาหารแบบเดียวกัน น้ำผลไม้แบบเดียวกันให้กับท่านได้
เมื่อนั้น ท่านก็จะเข้าใจ เข้าใจไหม?
พระเจ้าไม่ใช่…
ฉันปรารถนาอยากให้พระเจ้าเป็นดอกไม้ ที่เป็นวัตถุ ฉันจะได้เอามาให้ท่านดูได้
แต่พระเจ้าก็อยู่ในดอกไม้ด้วย พระเจ้าอยู่ในนี้
ท่านจะเห็นได้ว่า นี่คือการปรากฏตน ทางกายภาพของความงดงามของพระเจ้า
นี่คือการปรากฏตนทางกายภาพ ของตัวตนของพระเจ้า
พวกท่านเป็น การปรากฏตนทางกายภาพของพระเจ้า
ดังนั้น ถ้าท่านอยากจะเห็นลักษณะ... รู้สึกถึงลักษณะที่เป็นวัตถุของพระเจ้า
ก็ให้แตะตัวคนข้าง ๆ ท่าน กอดเขา จูบหล่อน
นั่นคือพระเจ้าในแดนวัตถุ
แต่ถ้าท่านต้องการเห็นพระเจ้า ในลักษณะที่เป็นนามธรรม
เป็นแสงอย่างตระการตาในสวรรค์
เมื่อนั้น ฉันจะต้องแสดงให้ท่านดู ด้วยวิธีที่เป็นนามธรรม เข้าใจไหม?
มันมีอยู่ ๒ วิธี วิธีที่เป็นนามธรรมและวิธีที่เป็นวัตถุ
ทางวัตถุ ท่านเห็นเรียบร้อยแล้ว ทางนาม ธรรม ฉันจะแสดงให้ท่านดู เข้าใจไหม?
ในภายหลัง เมื่อเรามีเวลาอยู่ด้วยกัน และนั่งกันเงียบ ๆ ฉันจะแสดงให้ดู
ฉันจะบอกท่านว่า ทำอย่างไร และจะเห็นพระเจ้าได้ที่ไหน
มันเร็วมาก เข้าใจไหม?
ฉันจะทราบได้อย่างไร?
หากฉันรักใครสักคน ฉันจะทราบไหม?
หากฉันนั่งอยู่ที่นี่ในแอฟริกา ฉันจะทราบไหม?
การรู้จักพระเจ้า ก็เป็นเช่นนั้น
มันชัดเจนมาก ๆ ! ไม่อาจเข้าใจผิดไปได้
ฉันได้แต่แสดงให้ท่านเห็นได้ด้วยตนเอง
แต่ไม่สามารถ แสดงให้เห็นทางกายภาพได้
เพราะมันเป็นแง่มุมที่แตกต่างกันไป ของชีวิต เข้าใจไหม?
ท่านอาจารย์ อยากจะขอท่านให้แสดงให้เราเห็นว่า วิธี การสวดภาวนาอย่างถูกต้องนั้น คืออะไร
ได้ ฉันจะทำเช่นนั้น ๆ
หลังจากที่ตอบคำถามหมดแล้ว อา ถ้ามี…
โอเค ฉันจะเสนอบริการให้ ๓ อย่าง
อย่างแรกคือบริการสาธารณะ
หลังจากที่ตอบคำถามหมดแล้ว
ให้ท่านนั่งอยู่กับฉันที่นี่ แล้วก็ ประสบกับพระเจ้า โอเค สักระยะหนึ่ง
แล้วท่านทำต่อที่บ้านก็ได้ ถ้าต้องการ
สัก ๑๐ นาที ๕ นาที เวลาใดก็ได้ที่ท่านต้องการ
บริการที่ ๒ คือวิถีสะดวก
ท่านทำสมาธิวันละ ๑/๒ ชั่วโมง เข้าใจไหม?
บริการที่ ๓ คือ การตั้งใจอย่างเต็มที่ ที่จะตระหนักรู้ในพระเจ้า
นั่นคือการประทับจิต
ดังนั้น ให้ท่านเลือก ดีไหม?
ถ้าท่านอยากประทับจิต
ให้ออกจากห้องนี้เดี๋ยวนี้เลย แล้วไปลงทะเบียน
มันจะใช้เวลาอธิบายสัก ๒, ๓ ชั่วโมง
แต่การรู้แจ้งนั้นรวดเร็ว
และท่านสามารถประสบมันได้ทุก ๆ วัน เหมือน ๆ กัน หรือระดับสูงขึ้น ๆ อา
และบริการที่ ๒ วิถีสะดวก ท่านก็สามารถลงทะเบียนได้ข้างนอก
และหากท่านไม่ประสงค์ทั้ง ๒ อย่างนี้ ท่านเพียงอยากชิมรสสักเล็กน้อย
ก็ให้ท่านรอก็อยู่ที่นี่ เข้าใจไหม?
หลังจากที่ฉันตอบคำถามหมดแล้ว
หากท่านรู้สึกว่า สิ่งนี้เป็นที่น่าสนใจต่อท่าน ก็ให้ท่านรออยู่ ดีไหม แล้วฉันจะแสดงให้ท่านดู
ถ้าท่านยังไม่อยาก ก็กลับบ้านไปได้
ฉันมาที่นี่เพียงเพื่อผู้ที่พร้อม
คนเข้าถึงทางจิตวิญญาณ แตกต่างจาก วิถีของท่านมากน้อยเพียงไร?
พระเจ้าอยู่กับเรา หรือเป็นส่วนหนึ่งของเรา?
ประสบการณ์ของเราระหว่างประทับจิต จะเป็นอย่างไรหรือเป็นอะไร?
ท่านจะเห็นพระเจ้า
ท่านจะเห็นแง่มุมของพระเจ้าอันเป็นแสง
ซึ่งจะแตกต่างไป… มันเหมือนท่วงทำนองของจักรวาล
วิธีที่พระองค์ตรัสกับท่าน ไม่ใช่ด้วยภาษามนุษย์
พระองค์จะตรัสเป็นท่วงทำนอง ดังเสียงของน้ำ
มีกล่าวอยู่ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลว่า พระองค์ตรัสเหมือนเสียงฟ้าร้อง
เหมือนเสียงน้ำทั้งหลาย
นี่ ท่านจะประสบยิ่งกว่านี้และกว่านี้
เพราะ พระคัมภีร์ไบเบิ้ลไม่ได้บันทึกไว้ทุกอย่าง
ท่านจะได้รับประสบการณ์มากเกินไป!
ท่านไม่สามารถเขียนหนังสือได้ เป็นพันเล่ม มันไม่มีวันพอเลย!
ดังนั้น พระคัมภีร์ไบเบิ้ลเล่มเดียวนั้นไม่พอ
แต่อย่างน้อย ก็ยังพอมีอะไรให้อ้างอิงได้
ดังเช่น โมเสสเห็นพระเจ้า เหมือนเปลวไฟใหญ่ ใช่ไหม?
นักบุญจอห์นก้าวเข้าสู่สวรรค์ชั้นที่ ๓ แล้วได้ยินเสียงแตร
ท่านจะได้ประสบการณ์ อะไรอย่างนั้น ฯลฯ ๆ
แล้วท่านจะทราบ ๆ
นี่ไม่ใช่อะไร ที่เราจะอธิบายได้ด้วยภาษาสักเท่าไร
ท่านเพียงจะทราบ เมื่อพระเจ้าปรากฏอยู่ใกล้ ๆ
หรือเมื่อท่านติดต่อ เมื่อท่านจำได้อีกครั้ง
พระองค์อยู่ใกล้เสมอ! เพียงต้องจำได้ ใช่ไหม?
ทุกวันนี้ โลกอยู่ในภาวะภัยวิบัติ มีสงคราม ภาวะ แวดล้อมเป็นพิษ มีโรคภัยไข้เจ็บ ฯลฯ
เราต่างก็ร่วมกันสะสมให้เกิดภัยเหล่านี้
เพียงเพื่อเราจะได้ประสบกับ ความรุ่งโรจน์ที่ยิ่งใหญ่กว่าอย่างนั้นหรือ?
ใช่แล้ว
แต่เนื่องจากเดี๋ยวนี้เราทราบวิธีที่ดีกว่า แล้ว เราอาจทำให้มันดีกว่าได้
มันคือความผิดพลาด
บัดนี้เราต้อง อา ว่าอย่างไร ซ่อมแซมมัน ใช่ไหม?
เราไม่สามารถคอยแต่ทำความผิดพลาด อยู่ตลอดไปได้ และบอกว่า
“โอเค ฉันสร้างทั้งหมดนี้ขึ้นมา เพื่อฉันจะได้ประสบกับสวรรค์”
ใช่แล้ว! ส่วนหนึ่ง จะมีการสร้างความวุ่นวายปั่นป่วนขึ้น
แล้วส่วนหนึ่งก็จะมีการสร้างสวรรค์ ดังนั้น จะต้องนำมาทำให้สมดุลกัน
เราไม่สามารถคอยทำลายโลกของเรา อยู่ร่ำไป โดยทำให้สภาพแวดล้อมเป็นพิษ
โดยตัดไม้ทำลายป่า และโดยก่อสงครามกับกันและกัน
ถึงเวลาแล้วที่จะตื่นขึ้น! ถึงเวลาตื่นแล้ว
เราเป็นทุกข์มาเพียงพอแล้ว
ท่านอาจารย์ จะเกิดอะไรขึ้น เมื่อท่านจากโลกนี้ไปแล้ว?
จะมีคนอื่นสานสายทางของท่านต่อ หรือไม่?
ใครจะประทับจิตให้ผู้คน? จะมีใครคอยนำทางเรา?
พระเจ้า! ท่านกังวลไปไกลเกินไป ฉันยังคงเยาว์วัยและสวยงาม…
ถึงเวลานั้นแล้ว ท่านจะทราบ เข้าใจไหม?
โอเคไหม? พระเจ้าจะตัดสิน
พระเจ้าจะตัดสินว่า จะมีใครมาสานต่อหรือไม่
แล้วพระองค์จะหาทางให้ท่านทราบ
ถ้าท่านพร้อม ทุกอย่างจะเป็นที่รู้ของท่าน
ถ้าท่านไม่พร้อม
ถึงแม้ว่าจะมีอาจารย์มานับพันท่าน มันก็จะไม่มีประโยชน์อะไร ใช่ไหม?
ถ้าท่านพร้อม ทุกอย่างจะเป็นที่รู้ของท่าน
อย่ากังวล โอเคไหม?
ในระหว่างนี้ ก็ให้รับประทับจิตไป ขณะที่ฉันยังคงอยู่ที่นี่!
ท่านอาจารย์จะเสียชีวิตไป แต่วิญญาณไม่ตาย
ดังนั้น ท่านจะยังคงได้รับการนำทางอยู่ จนกระทั่งจบการเดินทางของท่าน ใช่
ใครที่ถูกประทับจิตโดยอาจารย์ ท่านหนึ่ง ๆ นั้น ก็จะดำเนินทางนั้นต่อไป
ไม่สำคัญว่า ท่านอาจารย์ได้เสียชีวิตไปแล้วหรือไม่
และอาจารย์ท่านใหม่จะมา หากพระเจ้าตัดสินใจเช่นนั้น เข้าใจไหม?
ในพระคัมภีร์ มีเขียนไว้ว่า
“จงสำนึกต่อบาปของท่าน แล้วคำภาวนาของท่านจะได้รับคำตอบ”
คำถามของฉันคือ พระเจ้าจะ ตอบคำภาวนาของผู้ทำบาปอย่างไร?
คำถามของท่าน ออกจะครบถ้วนน้อยเกินไป
นี่คือ ตอนที่พระเจ้าตรัสกับผู้คน
ที่ฆ่าสัตว์จำนวนมากเพื่อใช้สังเวยพระเจ้า
ดังนั้น พระองค์จึงตรัสว่า “ใครใช้ให้เจ้าฆ่าแกะและวัวเหล่านี้
เพื่อนำมาสังเวยให้กับเรา?
มือของเจ้าเต็มไปด้วยเลือด!
เจ้าควรหยุดฆ่าผู้ที่บริสุทธิ์
มิฉะนั้น เมื่อเจ้าสวดภาวนา เราจะไม่ตอบเจ้า
เมื่อเจ้าขอ เราจะเบือนหน้าหนี”
ในส่วนนั้นกล่าวไว้ว่าอย่างนั้น
ดังนั้นจริง ๆ แล้ว ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลมีเอ่ยไว้ด้วยว่า
เราไม่ควรฆ่าเพื่อนำมาเป็นของถวาย ด้วยซ้ำไป อย่าว่าแต่จะเพื่อนำมารับประทานเลย
ใช่แล้ว เพราะพระเจ้าสร้างมันขึ้นมา เพื่อความเพลิดเพลินใจของเรา ไม่ใช่ให้เอามาฆ่า
อย่างไรก็ตาม ถ้าเราสำนึก แน่นอน นั่นหมายความว่า เรา…
การสำนึกไม่ได้หมายความว่า เราควร รู้สึกผิด เกี่ยวกับสิ่งที่เราทำ เข้าใจไหม?
เราทำ สิ่งที่เราทำ เพราะมันเป็นส่วนหนึ่งของเกม
มันเป็นส่วนหนึ่ง ของกระบวนการรู้จักพระเจ้าของเรา
ดังนั้น บัดนี้เราได้ทำการกระทำ อันไม่เป็นดั่งพระเจ้ามามากพอแล้ว
บัดนี้ ถึงเวลาที่จะหันมาทำสิ่งอันเป็นดั่งพระเจ้า
ดังนั้น ครั้นเราตัดสินใจเช่นนี้ ที่จะ หยุดการกระทำอันไม่เป็นดั่งพระเจ้านั้น
แล้วหันมาทำสิ่งอันเป็นดั่งพระเจ้า
ณ เวลานั้น พระเจ้าก็จะให้คำตอบเราทันที เหมือนวันนี้
ไม่สำคัญว่า จะมีคนทำบาปมากเท่าใด
หรือท่านจะทำอะไรไว้ ท่านไม่ต้องบอกฉัน
ณ เวลาที่ท่านนั่งลงเพื่อรับประทับจิต
พระเจ้าก็จะมาหาท่านเสมอเหมือนกัน
ดังนั้น นั่นหมายความว่า หากท่านสำนึกบาป
หมายความว่า ท่านจะไม่ทำอีกต่อไป พระเจ้าก็จะปรากฏต่อท่าน
พระองค์จะมาวันนี้ ถ้าท่านนั่งลงสักระยะหนึ่งในภายหลัง
จริง ๆ แล้ว ท่านบางคนก็ได้ประสบกับแสงแล้วที่นี่
ไม่จริงหรอกหรือ?
ยกมือหน่อยได้ไหม หากใครเห็นแล้ว? ขอบคุณมาก…
โอ พระเจ้า! ท่านช่างเข้าถึง ทางจิตวิญญาณจัง! ขอบคุณมากเลย
เป็นครั้งแรกในแอฟริกา ฉันบอกแล้ว พระเจ้าไม่แบ่งแยก
พระองค์รักพวกเราทุกคน
ในทันทีที่ท่านต้องการพระองค์
ในทันทีที่ท่านถวิลหาพระองค์อย่างจริงใจ พระองค์ก็จะอยู่ที่นั่น
ถึงแม้ว่าท่านจะยังไม่ได้ทำสมาธิ ถึงแม้ว่าฉันจะยังไม่ทำให้ดูด้วยซ้ำไป
เห็นไหม? พระเจ้าเป็นความรักล้วน ๆ ไม่ใช่อื่นใด!
จงอย่ากลัวพระเจ้าเลย! พระองค์รักเราเสมอ
ตราบใดที่เราต้องการพระองค์ พระองค์ก็จะมา
พระองค์รักเรา พระองค์ให้พรเรา
พระองค์ให้พรเรา ด้วยการมอบทุกอย่างในชีวิตให้กับเรา ทั้งชีวิตนี้และต่อจากนั้น
เราควรฆ่าแมลง เช่น แมลงวัน แมลงสาบ หมัด ฯลฯ หรือไม่?
ใช่แล้ว ท่านฆ่าได้ เจ้าตัวเล็ก ๆ แต่…
แต่จะมีหนี้สินที่ต้องชำระหน่อย เข้าใจไหม?
มันดีกว่า ถ้าจะดูแลบ้านให้สะอาด
และ และทำการป้องกันบางอย่างภายนอกบ้าน
เพื่อจะได้มีกลิ่น กันไม่ให้มันเข้ามาใกล้
ดังนั้นจริง ๆ แล้ว ท่านไม่จำเป็นต้องฆ่ามัน เข้าใจไหม?
เพราะพระเจ้าจะไม่ลงโทษท่าน แต่จิตสำนึกของท่านจะรู้สึกไม่ดี
เมื่อท่านฆ่า ท่านจะรู้สึกว่า
“โอ พระเจ้า มันช่างตัวเล็กเหลือเกิน ช่วยตัวเองก็ไม่ได้ และฉันก็ฆ่ามันไปเสียอย่างนั้น”
ถึงแม้ว่าท่านจะไม่ค่อยรู้สึกสักเท่าใด
จิตสำนึกของท่าน จะตื่นมาในตอนกลางคืนเป็นบางครั้ง
แล้วท่านจะรู้สึกว่า มีอะไรมากัดท่าน
และนั่นคือมดหรือแมลงสาบ
มาเตือนท่าน มาแทะท่านว่า "ท่านไม่ควรทำอย่างนั้น!"
ท่านสามารถอธิบายได้ไหมว่า อะไรคือความฝันหรือการฝัน?
โอเค มันมีฝันอยู่ ๒ ประเภท โอ มีอยู่ ๓ ประเภท
๑ นั้นเหมือนญาณ คล้ายกับเป็นการเตือน
หรือการทำนายว่า จะเกิด เหตุการณ์อะไรบางอย่างขึ้นกับท่าน
นั่นคือ เมื่อท่านอยู่ในช่วงที่ลึกมาก ๆ ๆ
และจะตระหนักถึงอนาคตหรืออดีต ของท่านได้มากกว่า โอเคไหม?
ความฝันอีกประเภทคืออะไรก็ตาม ที่ท่านอยากได้ในเวลากลางวัน
หรือที่ท่านคิดถึงมากในเวลากลางวัน ก่อนท่านหลับ
มันก็จะปรากฏในความฝันของท่าน
เป็นเพียง ความรู้สึกที่เหลืออยู่จากช่วงกลางวัน
และความฝันสุดท้ายก็คือเพียง เรื่องไร้สาระอะไรก็ตาม ที่ไม่มีความหมาย
เพียงแต่ได้เก็บสะสมขยะไว้ในสมอง มากมายหลายอย่าง
แล้วจากนั้นเมื่อท่านหลับ มันก็เต็ม เกินไป มันก็แค่รั่วออกมา เข้าใจไหม?
ในพระคัมภีร์ มีเขียนไว้ว่า
บุตรชายของอับราฮัม ได้ฆ่าสัตว์เพื่อบิดาของตน
มันเป็นบาปหรือเปล่า?
ในสมัยโบราณ ผู้คนเชื่อ ในการให้ของถวายพระเจ้า เข้าใจไหม?
แม้กระทั่งทุกวันนี้ พวกเขาก็ยังคงทำเช่นนั้น
พวกเขากระทั่งฆ่าสัตว์
เพื่อถวายให้กับพระเจ้า ภายในร่างกายของพวกเขาทุกวัน
เพราะฉะนั้น ฉันเป็นใครกัน ที่จะมาว่ากล่าวกระไร? เข้าใจไหม?
บุตรชายอับราฮัมทำอะไรไปบางอย่าง นั่นคือเรื่องของเขา!
ธุระของฉันคือ ไม่ไปฆ่าสัตว์ใด ๆ เข้าใจไหม?
อย่างไรก็ตาม ผู้คนมีวิถีชีวิต ที่แตกต่างกันออกไป มีทางเลือก ที่จะรู้จักพระเจ้าแตกต่างกันไป
พวกนั้น เลือกที่จะรู้จักพระเจ้าอย่างรวดเร็ว พวกนี้เลือกที่จะรู้จักอย่างช้า ๆ ใช่ไหม?
นั่นคือสาเหตุ ที่ฉันบอกว่า ที่นี่มีข้อเสนอให้ท่าน ๓ อย่าง
สำหรับผู้ที่อยากจะไป อย่างช้า ๆ หรือสบาย ๆ หน่อย
เพราะท่านมีเวลาเป็นอนันต์อยู่แล้ว
ท่านก็สามารถรับรสสัก ๒, ๓ นาที
สำหรับท่านที่จริงจังกว่าหน่อย ก็ไปวิถีสะดวก
สำหรับท่านที่เบื่อชีวิตนี้จริง ๆ แล้ว
และอยากจะรู้จักกับพระเจ้าจริง ๆ ไม่คิดอะไรอื่น
ก็ให้ไปประทับจิตเต็มตัว เข้าใจไหม?
ฉันไม่ได้มาที่นี่เพื่อ มาวิพากษ์วิจารณ์ท่าน และมาบอกท่านว่า
ท่านรับประทานเนื้อสัตว์ ท่านบาป เปล่า ๆ !
ฉันเพียงมาทำให้ท่านระลึกถึง ทางเลือกต่าง ๆ ที่ท่านจะอยากเลือก
ดังนั้น ให้ตัดสินใจเสียเลยว่า จะเลือกทางไหน
หรือจะดำเนินต่อไปในทางเลือกไหน หรือจะเลือกความสมบูรณ์แบบใดต่อไป
เข้าใจไหม? จะเลือกทางเลือกใหม่ต่อไป หรือจะคงอยู่กับทางเลือกนี้
โอเคไหม? เข้าใจไหม?
พระเยซูคริสต์ได้เลี้ยงอาหารคน จำนวน ๕ พันคนด้วยขนมปังและปลา
ปลาก็คือเนื้อสัตว์ บาปคืออะไร? นั่นเป็นบาปหรือเปล่า?
พระเยซูยังช่วยคนจับปลาให้จับปลา ได้มากขึ้น นั่นเป็นบาปหรือเปล่า?
เปล่า
จะบาปก็ตรงว่า เราไม่ได้เข้าใจพระองค์
พระองค์มิได้เสวยปลา พระองค์มิได้เลี้ยงคนด้วยปลาเช่นกัน
เราก็รับประทานปลาทุก ๆ วัน แต่รับประทานปลามังสวิรัติ
เราก็เรียกมันว่าปลาเช่นกัน
เราเรียกมันว่าแฮมเบอร์เกอร์ บางครั้งเราก็เรียกว่าแฮมเบอร์เกอร์ผัก
บางครั้งเราเกียจคร้าน เราก็จะเรียกมันว่าแฮมเบอร์เกอร์
เรามีอะไรคล้ายไก่ เรามีอะไรคล้ายปลานึ่ง
เหล่านี้ล้วนเป็นอาหารมังสวิรัติ มันมีรสชาติอร่อย!
และหากปกติท่านมิได้ รับประทานมังสวิรัติ ครั้งแรกที่ท่านชิมดู
มันจะดูเหมือนปลา มีรสชาติเหมือนปลา
บางทีท่านจะไม่ทราบ!
ถ้าเราจะบอกท่านว่า นั่นคือปลา ท่านก็คงจะเชื่อ
ถ้าเราบอกท่านว่า มันคือแฮมเบอร์เกอร์ ท่านก็คงจะเชื่อ
แล้วพระเยซูเป็นผู้สืบทอดมาจากกลุ่มคน
ที่รับประทานอาหารมังสวิรัติเสมอมา เป็นพัน ๆ ปี
หากท่านประสงค์จะศึกษาเพิ่มเติม เกี่ยวกับชีวิตของพระองค์
ท่านควรจะให้เวลามากกว่านี้
นอกจากนี้ พระองค์ยังได้ไปศึกษา ในประเทศอินเดียเป็นเวลา ๑๓ ปี
นั่นคือช่วงเวลาที่ขาดหายไปใน พระคัมภีร์ไบเบิ้ล ที่เราหาคำอธิบายไม่ได้
และหากท่านศึกษาในประเทศอินเดีย
และโยคีที่นั่น ท่านอาจารย์ที่นั่น ต่างก็รับประทานอาหารมังสวิรัติ
พระองค์จะหันมาเสวยเนื้อสัตว์อีก ได้อย่างไร?
นั่นคือเหตุปัจจัย ๒ อย่าง ที่ท่านไม่ทราบ
แน่นอน พระคัมภีร์ไม่สามารถ บันทึกทุก ๆ อย่างให้ท่านอ่านได้
ท่านจะต้องทำการสำรวจศึกษา!
ใช่แล้ว โบสถ์ไม่อยากให้ท่านเกียจคร้าน
คอยเอาทุกอย่างวางไว้ให้ท่านบนโต๊ะ
ท่านจะต้องมีความคิดสร้างสรรค์ และโหยหา…
ถ้าท่าน โหยหาอยากทราบชีวิตของพระเยซู ท่าน จะต้องทำการสำรวจศึกษาด้วยตนเอง
ให้อ่านหนังสือ และอ่านประวัติศาสตร์ และข้อเท็จจริงมากขึ้น
และอ่านการค้นพบใหม่ ๆ และ อะไร ๆ อย่างนั้นให้มากขึ้น เข้าใจไหม?
อย่างไรก็ตาม ชาวประมงที่พระเยซูรับมานั้น
พระองค์ไม่ได้บอกให้พวกเขาจับปลาอีก
พระองค์ตรัสว่า “มาสิ เราจะสอนท่านให้จับคน” ไม่ใช่หรือ?
ใช่แล้ว พระองค์ตรัสว่า “จงวางแหลง เราจะสอนท่านให้จับคน” เข้าใจไหม?
แต่เนื่องจากพวกเขาเป็นชาวประมง
บางครั้งพระเยซูจึงใช้ศัพท์ ที่ชาวประมงใช้ เพื่อพูดคุยกับเขา
อย่างเช่น “โอเค วันนี้เราจับได้ปลาตัวใหญ่”
หมายความว่า ฉันได้คนดีคนหนึ่งมาประทับจิต
เราก็กล่าวอะไรเหมือนอย่างนี้ ในบางครั้งเช่นกัน! ใช่ เพราะ…
ทำไมฉันจึงเข้าใจเรื่องทั้งหลายเหล่านี้? เพราะฉันได้รับคำสอนมาโดยตรง!
หากท่านอยากจะเข้าใจ ท่านก็ต้องได้รับคำสอนโดยตรงเช่นกัน
ฉันบอกท่านแล้วว่า ฉันจะแสดงให้ท่านเห็นวิธี ที่จะได้รับคำสอนโดยตรงจากพระเยซู
เมื่อนั้น ท่านก็สามารถไป ถกเถียงกับพระองค์ได้ และพระองค์ จะบอกท่านว่า พระองค์มิได้เสวยปลา
ช่างเป็นอาจารย์ที่น่าสงสารจริง ๆ !
ใช่แล้ว ทุก ๆ คนบอกพระองค์ว่า พระองค์ทำเช่นนั้น พระองค์ทำเช่นนี้
แล้วพระองค์จะบอกท่านว่า มันเป็นอย่าง อื่น แต่ท่านก็ไม่สามารถได้ยินพระองค์ได้
ในทำนองเดียวกัน ท่านจำได้ไหมว่า มันลำบากขนาดไหนสำหรับพระเยซู
ว่า มีผู้คนคอยสร้างความลำบาก สร้างปัญหาให้พระองค์และ ศิษย์ของพระองค์จำนวนมากขนาดไหน?
ดังนั้น พวกเขาต้องพูดโดยใช้รหัส ใช่ไหม?
เช่นกล่าวว่า “วันนี้ เราตกปลากันมาก”
หรืออะไรอย่างนั้น… หรือ “ไปตกปลากันดีกว่า”
เพราะหากพระองค์ จำเป็นต้องไปตกปลาจริง ๆ พระองค์ จะไม่บอกศิษย์ทั้ง ๑๒ ของพระองค์ว่า
“มาเถิด! จงลืมไปเสียเถิด เราจะสอนให้ท่านจับคน”
บัดนี้ท่านทราบแล้ว โอเคไหม? โอเค ขอบคุณ
พระองค์ไม่ได้เสวยอะไร ที่ก่อให้เกิดความทุกข์ต่อตัวตนอื่น
พระองค์ย่อมไม่ทำเช่นนั้น ใช่ไหม?
พระองค์เป็นคนที่อ่อนน้อมถ่อมตนมาก
พระองค์ยิ่งใหญ่ในดวงวิญญาณ
แต่อ่อนน้อม และภายนอกนั้นถ่อมตนยิ่งนัก
พระองค์ไม่จำเป็นต้องใช้ปลา เพื่อดำรงชีวิตรอด
บนดาวดวงนี้มีของให้รับประทาน ตั้งมากมายเพื่อดำรงชีวิตรอด
ความคิดเห็นของท่านเกี่ยวกับ ศิษย์สนิททั้ง ๑๒ ของพระเยซู คืออะไร?
สวรรค์อยู่ที่ไหน? มันเป็นส่วนหนึ่งของจักรวาลนี้หรือไม่?
ศิษย์ทั้ง ๑๒ หรือ? (ใช่แล้ว)
พวกเขาเป็นศิษย์ที่สนิทที่สุดของพระเยซู
เพื่อเผยแพร่คำสอนของพระองค์ เมื่อพระองค์ไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว
เพื่อประทับจิตคน อธิบายว่า การทำสมาธิ ทำอย่างไร และอะไรทั้งหลายเหล่านั้น เข้าใจไหม?
และสวรรค์ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของจักรวาล ใช่แล้ว
สวรรค์คือการสร้างสรรค์ของเราเอง เป็นโลกทัศน์ของเราเอง
ตัวอย่างเช่น เมื่อท่านมีความสุข เมื่อตกหลุมรัก
ท่านจะรู้สึกราวกับว่า ท่านอยู่ในสวรรค์
ไม่ท่านอยู่ที่ไหน ถึงแม้ท่านจะอาศัย อยู่ในกระท่อมเล็ก ๆ ท่านก็มีความสุข
และเมื่อท่านเศร้า
และเมื่อมีคนข่มขู่ท่าน เมื่อท่านประสบกับแรงกดดัน
ถึงแม้ท่านจะอาศัยอยู่ในปราสาท ท่าน ก็จะรู้สึกเหมือนอยู่ในนรก เข้าใจไหม?
ดังนั้น ถ้าเราติดต่อกับพระเจ้าอยู่ ทุก ๆ วัน เราจะรู้สึกดั่งอยู่ในสวรรค์
ด้วยเหตุนี้ เราจึงกล่าวว่า สวรรค์อยู่ได้ที่นี่และเดี๋ยวนี้
“จงทราบ! อาณาจักรของพระเจ้าอยู่กับมือ”
มันอยู่ไม่ไกล
ในวัฒนธรรมของเรา เราฆ่าสัตว์เพื่อเป็นการสังเวย
นี่เป็นบาปหรือไม่?
มันเป็นวิถีชีวิตของท่าน ท่านเลือก ที่จะใช้วิถีชีวิตแบบนี้ ถ้าท่านต้องการ
ท่านเป็นพระเจ้า ให้ท่านตัดสินใจเองว่า ท่านจะทำอย่างไรกับตนเอง
หากท่านอยากแสดงตนเอง
เป็นคนที่ฆ่าสัตว์เพื่อเป็นของถวาย ก็จงทำไป
ถ้าวันหนึ่งท่านตัดสินใจว่า
“โอเค ฉันไม่อยาก ให้ตนเองเป็นคนฆ่าสัตว์อีกต่อไปแล้ว”
เมื่อนั้น ท่านก็จะเปลี่ยน ท่านก็จะไม่ฆ่าสัตว์อีกต่อไป
ท่านจะทำให้ตนเองเป็นตัวแทน ของการไม่ใช้ความรุนแรงและไม่เข่นฆ่า
มันเป็นทางเลือกของท่านเอง! ท่านเลือกเอง
มันไม่ใช่บาปในสายตาของพระเจ้า
มันเป็นเพียงทางเลือกของท่าน ที่จะทำให้ตนเป็น
สิ่งที่ท่านอยากแสดงให้ตัวเองดู
หรือที่อยากแสดงให้โลกดู หรือที่อยากแสดงให้พระเจ้าดู เข้าใจไหม?
ท่านอาจแนะนำตนเองว่า “โอเค ผมเป็นวิศวกร”
“ผมเป็นบาทหลวง” “ผมเป็นครู”
“ผมเป็นโยคี”
“ผมเป็นผู้บำเพ็ญที่รับประทานมังสวิรัติ”
หรือ “ผมเป็นคนฆ่าสัตว์”
ใช่ อะไรก็ตาม ที่ท่านต้องการ!
ใช่แล้ว มันขึ้นอยู่กับท่าน
ฉันไม่ได้มาที่นี่เพื่อตราบาปใคร
ฉันมาเพียงเพื่อแสดง ให้ท่านทราบทางเลือกต่าง ๆ ของท่าน
ที่ท่านอาจเลือกได้ หรือจะอยากเลือก หรือบางทีอาจคิดที่จะเลือก เข้าใจไหม?
ไม่ว่าเวลาใดก็ตาม เราสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตของเราได้ โดยการเลือกทางเลือกที่แตกต่างไป
และนั่นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้แน่นอน เข้าใจไหม?
ไม่มีบาปใดในนามของพระเจ้า ไม่มีบาปใด ๆ ! พระเจ้ารักเราเสมอ
ไม่ว่าเราทำอะไรนั้น มันเป็นไป เพื่อประสบการณ์ของเรา ใช่แล้ว
ท่านอาจารย์ที่รัก
เราควรอุทิศชีวิตของเราเพื่อ ให้บริการคนยากจนและคนป่วยหรือไม่
หรือจะเป็นการเข้าไปยุ่งเกี่ยว กับทางเลือกหรือกรรมของเขา?
ไม่ ๆ ! ไม่
เราควรทุ่มเทชีวิตของเราทุกเวลา ที่เราทำได้ และทุ่มเททุกสิ่ง ที่เราทำได้
เพื่อช่วยพี่น้องของเรา ไม่ว่าจะเป็นทางจิตวิญญาณหรือทางวัตถุ
ใช่แล้ว เราเป็นหนึ่งเดียวกัน! หากเขาหิวโหย ท่านก็จะหิวโหย
หากเขากระหาย ก็เหมือนกับท่านกระหาย
มันควรเป็นเช่นนั้น
มันไม่ใช่ข้อบังคับ! มันเป็นความรู้สึกภายใน
ถ้าตัวอย่างเช่น ๆ
ถ้าท่านเห็นใครหิว และกระหายน้ำ และกำลังจะตาย
แล้วท่านก็รู้สึกเจ็บปวดมาก ราวกับว่า ท่านเองกำลังอยู่ในสถานการณ์นั้น
แล้วท่านก็ช่วยเขา
นั่นคือการวัดความรักของท่าน การวัดระดับความเมตตาของท่าน
มันไม่ใช่ข้อบังคับ!
มันไม่ใช่ศีล ที่จะต้องปฏิบัติตาม มันคือความรู้สึกในหัวใจของท่าน
หากท่านรู้สึกว่า ท่านควรช่วยเหลือบุคคลนั้น
นั่นหมายความว่า ท่านมีความรัก ในหัวใจท่าน และท่านควรมีความสุข
รางวัลมีเพียงอย่างเดียวนี้ คือการได้ทราบว่า ท่านมีความรัก
และท่านควรทำเช่นนั้น ใช่แล้ว
โอ ขอบคุณค่ะ
ฉันรู้สึกได้ถึงความรักจำนวนมาก แต่มันติดกับดักอยู่ภายในฉัน
ท่านช่วยฉันกระจายมันไปทั่วจักรวาล ได้ไหม?
ท่านต้องแพร่กระจายมัน มันคือความรักของท่าน!
หากท่านมีความรัก ก็ให้ทำอะไรสักอย่าง!
หากท่านมีความรัก ก็เช่นเดียวกับ เมื่อท่านรักเพื่อนชายหรือเพื่อนหญิง
ให้บอกเธอ ให้บอกเขาว่า ท่านรักเขา ให้ทำอะไรบางอย่างให้กับเขา
มอบดอกไม้ให้กับหล่อน กอดหล่อน จูบหล่อน ร่วมรักกัน ทำอะไรก็ตาม
จึงเหมือนกัน หากท่าน รักมนุษยชาติทั้งมวล ก็ให้ทำอะไรสักอย่าง
ให้ทำอะไรบางอย่าง ที่ท่านคิดว่า จะทำให้ผู้คนทราบถึงความรักของท่าน
หรืออาบพวกเขาด้วยความรักของท่าน
ทำไปเลย! ท่านก็ทราบว่า ต้องทำอะไร ท่านมีพระเจ้าอยู่ภายใน หืม
ให้ทำอย่างจริงใจ ด้วยความรู้สึกของท่าน
ทุก ๆ คนต่างก็ ทำแตกต่างกันออกไป ฉันไม่สามารถ บอกท่านได้ว่า ให้ทำอะไร เข้าใจไหม?
ดังที่ท่านได้กล่าวมาแล้วนั้น ไม่มีนรกหลังความตาย
ถ้าเช่นนั้น จะเกิดอะไรขึ้น
กับคนที่ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งสอน ตามพระคัมภีร์ของพระเจ้า?
เกิดอะไรขึ้นหรือ?
พวกเขาจะต้อง เรียนรู้บทเรียนเรื่องความรักใหม่อีกครั้ง
บางทีพวกเขาอาจต้องเรียนรู้ ด้วยวิธีที่ยากลำบาก
และนั่น เราเรียกว่านรก เข้าใจไหม?
เขาจะต้องประสบกับความทุกข์ยาก เช่นกัน
เพื่อจะได้เข้าใจว่า ความทุกข์ยากนั้น ไม่ใช่เรื่องดี
เขาจะได้ไม่ทำเช่นนั้นอีก
ดังนั้น กล่าวในทางหนึ่ง เขาจะอยู่ในอะไรคล้ายกับโรงพยาบาล
เขาจะได้รักษาส่วนที่ไม่สบาย เข้าใจไหม?
ใครก็ตามที่ก่อความทุกข์ให้กับผู้อื่น
ผู้นั้นป่วย ไม่ส่วนใดก็ส่วนหนึ่ง ในตัวตนทางจิตวิญญาณของเขา
คราวนี้ หลังจากเขาได้รับการรักษาแล้ว เขาก็จะ กลายเป็นครบถ้วนอีกครั้ง เข้าใจไหม?
ดังนั้น มันไม่มีนรก ไม่มีบาป
มีแต่ทาง ที่คนเลือกใช้ชีวิต
ซึ่ง นำไปสู่สภาวการณ์ที่แตกต่างกันออกไป
ด้วยเหตุนี้ ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลจึงมีกล่าวไว้ว่า
“ท่านหว่านอะไร ท่านก็จะได้ผลเช่นนั้น” ใช่ไหม?
“จงอย่าตัดสิน เพื่อท่านจะได้ไม่ถูกตัดสิน”
ดังนั้น ถ้าเราไม่อยากหว่าน
สภาวการณ์ที่แย่ ๆ ๆ ๆ ๆ ในอนาคต
เราก็ต้องหว่าน…
ถ้าเราไม่อยากได้ผล เป็นสภาวการณ์อันย่ำแย่ในอนาคต
เราก็จะต้องหว่านเมล็ดที่ดีเดี๋ยวนี้เลย เข้าใจไหม?
ด้วยเหตุนี้ พระคัมภีร์ไบเบิ้ล จึงแนะแนวทางให้ท่านดังเช่น เอาละ
“จงอย่าฆ่า จงอย่าพูดปด จงอย่าลักขโมย”
อะไรอย่างนั้น
จงทำให้มันเป็นกลายเป็นแนวทาง ตลอดการใช้ชีวิตของเรา
เพื่อเราจะได้ผลที่ดีกว่าในอนาคต
หากเราศรัทธาในพระเจ้า
ทำไมเราจึงต้องมีทุกข์ และทำไม คำสวดภาวนาของเราจึงไม่ได้รับคำตอบ?
เพราะท่านจะต้องขึ้นสู่ระดับ จิตสำนึกแบบพระเจ้า เพื่อจะทราบได้
ใช่แล้ว แล้วจากนั้น ท่านก็จะพึงพอใจ
และถึงแม้ว่า ท่านจะกลับมาสู่ชีวิตทางกายภาพนี้
หลังจากที่ท่านไปเห็นมาแล้วว่า พระเจ้ารักเราขนาดไหน
โดยผ่านความรู้ทางจิตวิญญาณ
ท่านก็จะกลับมาสู่ชีวิตนี้ โดยไม่พร่ำบ่นอีกต่อไป
ท่านจะทราบทุกสิ่งว่า ทำไมสิ่งนี้เกิดขึ้น ทำไมสิ่งนั้นเกิดขึ้น
ทุกสิ่งนั้นเกิดขึ้น เพื่อประโยชน์สูงสุดของเรา
เราจะรู้สึกเป็นพระคุณเสมออยู่ทุกวัน เข้าใจไหม?
ท่านจะต้องรู้จักพระเจ้าก่อน ใช่แล้ว
จำนวน ๑๐% ของรายได้ ที่เราได้รับนั้น มีความสำคัญมากแค่ไหน
มีความสำคัญต่อพระเจ้า?
สำคัญแค่ไหน? (สำคัญแค่ไหน…)
ใช่แล้ว! มันสำคัญ เพราะท่านรัก
มันเป็นความรักของท่าน ที่สำคัญ
ไม่ใช่จำนวน ๑๐% หรอก แต่คือความรักที่ไปด้วยกันต่างหาก
คือความรักเท่าใดก็ตาม ที่ท่านสามารถแบ่งปัน
กับผู้อื่นที่อับโชคกว่าท่านได้
นั่นคือสิ่งที่สำคัญ
เมื่อเราขึ้นไปเหนือกายเนื้อแล้วนั้น
เราจะแยกแยะระหว่างเหตุการณ์จริง
กับ ตัวอย่างเช่น ภาพหลอน ได้อย่างไร?
ใช่แล้ว ยังมีวิธีอยู่
ฉันจะสอนท่าน ณ เวลาประทับจิต
แต่ควรให้เฉพาะคนที่อยากลงลึก สู่มิติทางจิตวิญญาณเท่านั้น
เรียนในเรื่องทั้งหลายเหล่านี้
เฉพาะคนที่เรียนวิถีสะดวก และอะไรเหล่านั้น จริง ๆ แล้วไม่…
เพราะท่านไม่ได้ทำสมาธินานเท่าใด ท่านจะลงไม่ลึกนัก
ดังนั้น มันจึงไม่ค่อยเสี่ยงเท่าไร
ใช่แล้ว! ธุรกิจที่ใหญ่กว่า ย่อมเสี่ยงกว่า
ดังนั้น เราจึงต้องแสดงให้ท่านทราบวิธี เพื่อท่านจะได้ปกป้องตนเอง เข้าใจไหม?
แต่ถ้าท่านทำสมาธิเพียง ๑๐ นาที ๒๐ นาที นั่นไม่เป็นไร
จะไม่มีอะไรมารบกวนท่าน
แค่ให้ท่านผ่อนคลาย สงบใจลง
ท่านจะทำธุรกิจดีขึ้น หลับสบายขึ้น รับประทานได้ดีขึ้น ก็แค่นั้นเอง!
รู้จักพระเจ้าเป็นครั้งคราว ไม่มีอันตรายอะไร เข้าใจไหม?
จำเป็นไหม ที่จะต้องเข้าโบสถ์ ทุกวันอาทิตย์ เพื่อจะได้รับการย้ำเตือน
หรือเราสามารถจำตนเองได้ โดยการติดต่อกับพระเจ้าด้วยใจ?
ด้วยใจ ใช่แล้ว ถ้าท่านทำได้
หากท่าน ไม่สามารถติดต่อกับพระเจ้าด้วยใจได้
ท่านสามารถภาวนาในห้องเล็ก ๆ ได้
ดังที่มีกล่าวอยู่ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล เข้าใจไหม? อา
โบสถ์เกิดขึ้น หลังพระเยซูล่วงลับไปแล้ว
โบสถ์เป็นองค์กรที่รวมกลุ่มคน
ผู้มีศรัทธาในพระเจ้า และผู้อยากภาวนาร่วมกัน
ก็คล้าย ๆ กับกลุ่มของเรา
ทุกวันอาทิตย์ เรารวมกลุ่มกัน ณ ที่แห่งหนึ่ง
อาจเรียกมันว่าเป็นโบสถ์ก็ได้ แต่เราเรียกมันว่าศูนย์ทำสมาธิ
และเราจะทำสมาธิกันทั้งวันวันนั้น
เพียงเพื่อระลึกถึงพระเจ้าอย่างจริงจัง มากกว่าวันอื่น ๆ
เพราะเรายุ่งกันอยู่ทุก ๆ วัน
เพราะฉะนั้น นั่นคือความหมาย ของการไปโบสถ์ทุก ๆ วันจริง ๆ
เพื่อจะได้มีการติดต่อมากขึ้น การติดต่อที่ลึก
กับตัวตนแท้ของเรา กับพระเจ้า
แต่ถ้าท่าน เอ่อ…
และมันจะมีพลังมากกว่า รู้ไหม เมื่อท่านทำสมาธิด้วยกัน
ถ้าท่านอยากหลับ แล้วท่านเห็นว่า คนข้าง ๆ นั่งตัวตรง
ท่านก็จะรู้สึกละอายใจ ท่านก็จะนั่งตรงเหมือนกัน
นั่นคือเป้าหมาย
และ ท่านก็จะช่วยกันและกันก่อพลังงานร่วม
แต่ถ้าท่านรู้จักพระเจ้าเรียบร้อยแล้ว ทุกที่ที่ท่านนั่ง ก็คือโบสถ์ ใช่
ท่านควรเข้าโบสถ์ทุกวันภายใน ไม่เพียงเฉพาะวันอาทิตย์เท่านั้น
ฉันอยากทราบว่า ความลับแท้ของพระเจ้า อยู่ที่ไหน
และในการเป็นผู้รับประทาน อาหารมังสวิรัตินั้น ฉันสูบกัญชาได้ไหม?
ใช่ ๆ ! กัญชาเป็นมังสวิรัติใช่ไหม?
ฉันทราบว่า ท่านพยายามจะบอกว่าอะไร ใช่
อย่างไรก็ตาม ความลับแท้ของพระเจ้า อยู่ที่ไหน?
นั่น นั่นท่านต้องค้นหาให้พบ
ฉันจะแสดงให้ท่านเห็นว่า จะหาพบได้อย่างไร แต่ท่านจะต้องหาด้วยตนเอง เข้าใจไหม?
ฉันไม่สามารถอธิบายถึงพระเจ้า ด้วยศัพท์ทางกายภาพได้
ยิ่งอธิบายมากเท่าใด ฉันก็จะยิ่งพาท่านเข้าใจผิดไปเท่านั้น
ใช่แล้ว ฉันแสดงให้ท่านเห็นพระเจ้าได้ ฉันทำได้เพียงแค่นั้น
และกัญชานั้น เท่าที่ฉันเกี่ยวข้อง
มันไม่ได้จำเป็นสำหรับการรับประทาน อาหารมังสวิรัติของท่านเท่าใดนัก
ดังนั้น อย่าเอาไปรวมกัน
ถึงแม้มันจะเป็นผักชนิดหนึ่ง
มันไม่ใช่ผัก ที่มีประโยชน์กับการทำสมาธิสักเท่าใด
ดังนั้น กรุณาละเว้นจากการใช้มัน เข้าใจไหม?
ถ้าเช่นนั้น เขาอยากจะทราบด้วยว่า เขารับประทานกัญชาได้ไหม
ท่านช่างหิวจังเลย!
ท่านไม่เพียงอยากจะสูบมัน แต่ อยากจะรับประทานมันด้วย โอ พระเจ้า!
มีผักตั้งมายมาย ทำไมท่าน… ท่านมีผักไม่พอรับประทานหรือ?
ฉันแนะนำให้ท่านรับประทานเต้าหู้ โอเคไหม?
ใช่แล้ว ท่านผัดผักขมก็ได้ มันดีกว่าสำหรับท่าน
อะไรก็ตาม ๆ ที่ทำให้จิตสำนึกของเราขุ่นมัว รู้ไหม
และไม่ชัดเจน
นั่นไม่ใช่หนทางของพระเจ้า
หนทางพระเจ้าไม่จำเป็นต้อง ใช้ความช่วยเหลือทางวัตถุ ไม่ต้อง ใช้อะไรทั้งสิ้น เพราะพระเจ้าคือพระเจ้า!
ท่านไม่อาจเปลี่ยนแปลงพระองค์ได้ ท่าน ไม่สามารถทำให้พระองค์เข้าใกล้ขึ้นได้
ท่านไม่สามารถนำพระองค์มาสู่ที่ ที่ท่านต้องการ
เพียงเพราะกัญชาหรืออะไรอื่นได้
ท่านเพียงสามารถรู้จักพระองค์ได้ ก็มีอยู่เพียงแค่นั้น!
และผู้บริสุทธิ์ เรียบง่าย จะรู้จักพระเจ้า
เพียงให้ทำสมาธิ ลืมโลกไปเสีย
แล้วทำสมาธิอยู่กับด้านพระเจ้า แล้วท่านจะเห็นพระเจ้า
ฉันเพียงจะแสดงให้ท่านเห็นว่า ทำอย่างไร เท่านั้นเอง ไม่มีความจำเป็นต้องใช้อะไรอื่น
และอาหารมังสวิรัติที่เรารับประทานนั้น เรารับประทานเพียงเพราะ
เราต้องรับประทานอะไรสักเล็กน้อย เพื่อดำรงรักษาร่างกายนี้
ดังนั้น จงอย่าจมลึกกับความเป็น มังสวิรัตินิยมจนเกินไปนักด้วยซ้ำ
อะไรก็ตาม ที่เรารับประทานเพื่อดำรงรักษาร่างกาย
สารอาหารปริมาณมากพอ ที่จะดำรงรักษาวิญญาณของเราให้คงอยู่
นั่นก็ดีพอแล้ว เข้าใจไหม?
เราไม่ได้มาที่นี่เพื่อมารับประทาน
เรามาที่นี่เพื่อมารู้จักพระเจ้า เข้าใจไหม?
มีคำถามจากบุคคลเดิมว่า
ฉันยากจนเพราะความคิดของฉัน หรือเพราะความเชื่อของฉันกันแน่?
เรายากจนเพราะความเชื่อของเรา
แต่ตอนนี้มันสายเกินไปแล้ว เข้าใจไหม?
คนบนดาวเราถูกนำทางให้เชื่อว่า เรามีบาป
และเราถูกลงโทษเนื่องจากบาปของเรา และอะไรเหล่านั้น และดังนั้น…
เราควรได้ใช้ชีวิตอย่างร่ำรวยที่นี่ แต่…
ก่อนมาถึงยุคนี้ เราอยู่ในยุคทอง
ท่านเคยได้ยินมาก่อนใช่ไหม?
ในยุคทองใช่ไหม? นานมาแล้ว โอเค
ในสมัยนั้น ผู้คนรู้จักพระเจ้า เชื่อในพระเจ้า
เพราะพวกเขาเห็นพระเจ้า รู้สึกได้ถึงความรักของพระเจ้า
และเวลานั้น ไม่มีการสอน
เช่นว่า มีพระเจ้าผู้เจ้าคิดเจ้าแค้นและอิจฉาริษยา
หรือไม่มีการสอนเรื่องนรก เพราะทุกที่ก็คือสวรรค์
แต่แล้ว ก็มีคนเลวบางคน คิดค้นความกลัวประเภทนี้ขึ้นมา
เพื่อใช้ควบคุมประชากร
แล้วนานไป ๆ ความกลัวประเภทนี้ ก็คืบคลานเข้าสู่จิตสำนึกของเรา
แล้วเราก็ค่อย ๆ เชื่อว่า เรามีบาป ว่า เราเลว
ว่า เราไม่สามารถรู้จักพระเจ้าได้ เพราะเราถูกทอดทิ้ง
ว่า เราเกิดมาพร้อมบาป ว่า เราทำบาปเสมอ
และว่า ทุกอย่างที่เราทำ คือบาป ฯลฯ ๆ ๆ ๆ …
ดังนั้น จิตสำนึกของเราถูกจัดเอาไว้อย่างนั้น
นั่นก็คือสาเหตุ ที่เราประสบความล้มเหลวทางธุรกิจด้วย
เรายากจนลง เราถูกถอนสิทธิ์ที่จะ ได้รับความสะดวกสบายหลาย ๆ อย่าง
รวมถึงความสะดวกบางอย่างทางวัตถุ
แต่ขณะนี้ มันสายเกินไปหน่อยแล้ว ที่จะเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน
จิตสำนึกของคนบนดาวทั้งดวง
ถูกปลูกฝังให้คิดแบบนี้ทั่วไปหมดแล้ว
แต่มันยังไม่สายเกินไปสำหรับท่าน!
หากท่านพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลง ก็เปลี่ยนแปลงเสียวันนี้เลย!
จงเชื่อสิ่งที่ฉันบอกท่าน
แล้วประสบกับความรักของพระเจ้า อยู่ภายในท่านทุก ๆ วัน
แล้วท่านจะเห็นว่า ชีวิตของท่านเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร
ท่านจะทราบว่า พระเจ้าเป็นความรักจริง ๆ
และอะไรก็ตามที่ท่านถามหา จะอยู่ตรงนั้นเรียบร้อยแล้ว เข้าใจไหม?
ความแตกต่าง ระหว่างการทำสมาธิวิธีของท่าน
กับการพูดหรืออธิษฐานออกมา เป็นภาษาแปลก ๆ ทางคริสต์?
เพราะมีกล่าวไว้ว่า การพูดเป็นภาษาแปลก นั่นก็คือการพูดกับพระเจ้า
นั่นเป็นความจริงเพียงใด?
อา จริงทั้ง ๒ อย่าง
เป็นระดับความเข้าใจเกี่ยวกับพระเจ้า ที่แตกต่างกันออกไป เข้าใจไหม? โอเค
ในวิถีทางของเรา เราไม่พูดด้วยซ้ำ
เราไม่พูด ทั้งด้วยปากหรือด้วยภาษาแปลกอะไร
เราไม่ใช้อุปกรณ์ทางวัตถุใด ๆ
เราไปสวรรค์โดยตรง
สุขใจกับความไร้กังวลของชีวิต โดยไร้กายเนื้อนี้ เข้าใจไหม?
และ พระเจ้าจะไม่ตรัสกับเราด้วยภาษามนุษย์
พระองค์ทำอย่างนั้นเช่นกันเป็นบางครั้ง
แต่เราไม่พูดออกเสียงดัง
หรือเราไม่จำเป็นต้องทำอะไร เราเพียงสื่อสาร
แล้วเราก็จะเข้าใจ ด้วยวิธีอย่างพระเจ้า อย่างสวรรค์
ซึ่งเป็นวิธีที่สงบเงียบ ใช่แล้ว
ท่านอาจารย์ที่รัก ความยากลำบาก
ที่ท่านประสบมา ในหนทางชีวิตของท่านนั้น คืออะไร?
โปรดเล่าให้ฟังด้วย
โอ้โฮ! ฉันไม่คิดว่า อะไรก็ตาม เป็นความยากลำบากจริง ๆ หรอก
ถึงแม้ว่าในชั่วขณะเหล่านั้น ฉันจะบ่นเหมือนพวกเราทุก ๆ คน
ฉันจะบ่น ฉันจะบอกว่า “ทำไม? ฉันไม่ชอบเลย!”
แต่แน่นอน ฉันทราบว่า มันดีสำหรับฉัน เข้าใจไหม?
ความยากลำบากใดก็ตาม จะทำให้วิญญาณเข้มแข็งขึ้นและ ความมุ่งมั่นที่จะค้นหาพระเจ้า รุนแรงขึ้น
เพื่อให้เรารู้ว่า
ตราบเท่าที่เรายังคงยึดติดอยู่กับ การมีตัวตนทางกายภาพอันไม่ยั่งยืนนี้
เราจะยังคง ประสบกับความยากลำบากไปตลอด
ในสวรรค์ ไม่มีความลำบาก ดังนั้น เมื่อใดก็ตาม ที่เราจากร่างกายนี้ไป
ในระหว่างทำสมาธิ หรือการตั้งจิตอย่างลึก แล้วไปสวรรค์นั้น
เราจะประสบแต่กับความปลื้มสุข และความสวยงามล้วน ๆ
แล้วจากนั้น เมื่อเรากลับมา กระทั่งกลับมาสู่กายเนื้อนี้นั้น
ก็จะมีพรบางส่วนเหลืออยู่
เพื่อชีวิตของเรา จะได้ราบรื่นและดียิ่งขึ้นไปอีก
ดังนั้น กระทั่งความยากลำบาก ก็เป็นเพียงพร ที่แอบแฝงอยู่ เข้าใจไหม? ไม่มีปัญหา!
ฉันสามารถเขียนหนังสือเกี่ยวกับ ความยากลำบากได้ แต่จะเขียนไปทำไม?
ฉันอยากจะเขียนหนังสือเกี่ยวกับพร ที่ฉันชื่นชอบ เสียมากกว่า
ท่านอาจารย์ที่รัก ขอบคุณสำหรับปัญญาของท่าน
ท่านจะเลือกผู้สืบทอด ที่จะมาทำงานทางกายภาพที่นี่ต่อไป
หลังจากที่ท่านจากเราไปแล้ว อย่างไร?
ฉันยังไม่ได้ตัดสินใจ
นั่นเป็นหน้าที่ตัดสินใจของพระเจ้า
เมื่อถึงเวลา พระเจ้าจะทำให้ฉันทราบ เข้าใจไหม?
แล้วฉันก็จะแจ้งให้ท่านทราบ… บางที!
หรือมิฉะนั้น ท่านจะต้อง สืบทราบด้วยตนเอง เข้าใจไหม?
โอเค ถ้าฉันมีอยู่คนหนึ่ง ฉันจะเขียนเอาไว้ ดีไหม?
ชื่อ สถานที่ วันเกิด ท่านจะได้หาเขาพบ
เขาคงจะมีจมูก ๑ จมูกอยู่ตรงกลาง มี ๒ หู
ท่านจะได้หาเขา หรือหล่อน หรืออะไรก็ตาม พบ
แต่ฉันยังไม่ได้ตัดสินใจ เข้าใจไหม? ฉันยังหาไม่พบ
ขอโทษที ให้ท่านรีบ ๆ หน่อย แล้วบางทีพระเจ้าก็จะบอกท่านว่า
“โอเค ท่านเป็นผู้สืบทอด” แล้วจากนั้น ก็ให้ท่านมาบอกฉัน ดีไหม?
ปิศาจคือใคร? เขามาจากไหน?
แล้วสุดท้าย เขาจะไปลงเอยที่ไหน? ทำไมพระเจ้าจึงไม่ทำลายปิศาจตนนี้?
ปิศาจเป็นส่วนหนึ่งของความ เป็นหนึ่งเดียว ที่ท่านพูดถึงนี้หรือเปล่า?
ใช่แล้ว เขาเป็น ส่วนหนึ่งของความเป็นหนึ่งเดียวนั้น
เขาทำงานให้กับพระเจ้า
เพื่อเราจะได้ทราบว่า อะไรถูก อะไรผิด
เพื่อเราจะได้รู้จักต้านทานสิ่งยั่วยวนใจ
เพื่อเราจะได้พัฒนาตัวเรา และเข้าใกล้พระเจ้ามากขึ้น เข้าใจไหม?
จริง ๆ แล้ว ไม่มีอะไรดังที่เรียกกันว่าปิศาจ!
เป็นเพียงการทดลอง การทดสอบ การฝึกฝน เราฝึกฝนตนเอง
หากเราอยากฝึกฝนตนเอง ด้วยวิถีทางที่ยาก
ก่อนเกิด เราจะเลือกทางชีวิตของเราเป็นทางยาก
เพื่อฝึกตนเองให้ประสบกับสิ่งต่าง ๆ ที่เราอยากประสบ
เพื่อจะได้พบพระเจ้าด้วยวิธีของเรา
ท่านอาจารย์ที่รัก ไพ่ทาโร่ รังสีรอบตัว การรักษาแบบเรขิ
เป็นสิ่งที่ไม่ดีหรือไม่ ถึงแม้ว่า เป็นการทำเพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่น?
เปล่า มิได้ไม่ดี
ฉันบอกแล้ว ทุกอย่างเป็นระดับความเข้า- ใจพระเจ้า ที่แตกต่างกันไป เข้าใจไหม?
นางพยาบาลมิได้ไม่ดี นายแพทย์ก็มิได้ดี
พวกเขาเพียงทำงานต่างวิธีกัน เข้าใจไหม?
เป็นงานที่ต่างกัน
แต่หากท่านอยากเป็นแพทย์
ท่านก็จะต้องเลิกเป็นพยาบาล แล้วศึกษาเพิ่มเติม
มันเป็นเช่นนั้น เข้าใจไหม?
จงกลายเป็นผู้รักษาโดยมิได้รักษา ดังเช่น พระเยซู เข้าใจไหม? โอเคไหม?
ฉันจะเอาชนะปัญหาทั้งหลายของฉัน
และตั้งสติกลับมาใหม่ และได้รับ การอภัยโทษต่อสิ่งที่ทำผิดไป ได้อย่างไร?
ฉันอยากเปลี่ยนชีวิตของตนเอง และเป็นคนดีอีกครั้ง
ใช่แล้ว ถ้าเช่นนั้น ก็จงเปลี่ยนแปลงเสีย
ประการแรก อะไรก็ตาม ที่ท่านไม่ชอบเกี่ยวกับตนเอง ให้เปลี่ยนเสีย! เข้าใจไหม?
ตัวอย่างเช่น ถ้าท่านเคยพูดปด บัดนี้ก็จงเลิกเสีย! ให้พูดแต่ความจริง
ถ้าท่านเคยเอาของของคนอื่นไป
ก็ให้เลิกเสีย และมอบของของท่านไปแทน เข้าใจไหม?
หรือให้ประทับจิต แล้วรู้แจ้ง
มีอะไรอย่างการโชคร้าย หรือการโดนสาปหรือไม่?
และเมื่อไรมันจะปล่อยเราให้เป็นอิสระ?
ไม่มีใครสาปท่านได้ ไม่มีโชคร้ายใดทำร้ายท่านได้
ถ้าท่านเลือกจะเดินอีกทางหนึ่ง ใช่ไหม?
ก็แค่เดินอีกทางหนึ่ง
เดินหนทางของพระเจ้า แล้วโชคร้ายทั้งหลายจะจากท่านไป
แต่บางครั้ง เนื่องเพราะกรรมที่ท่านได้ก่อไปแล้ว
ผลเนื่องจากการกระทำนั้น จึงยังคงรีรออยู่ระยะหนึ่ง เข้าใจไหม?
ก็ให้ทนไป! เรามีชีวิตที่นี่ไม่นานหรอก
ไม่ต้องกังวลไป!
ทำไมเราประทับจิต แล้วถูกปลดปล่อยไปเลยไม่ได้?
ทำไมเราไม่สามารถรับประทานเนื้อสัตว์ แล้วดื่มอัลกอฮอล์ได้?
อืม ท่านอยากเป็นพระเจ้าที่รับประทาน เนื้อสัตว์ และเป็นพระเจ้าที่เมามายหรือ?
ท่านก็เป็นอยู่แล้ว!
ขณะนี้ หากท่านรับประทานเนื้อสัตว์ และดื่มเหล้าองุ่น
ท่านก็เป็นพระเจ้าที่เมามายอยู่แล้ว และก็เป็นพระเจ้าที่รับประทานเนื้อสัตว์ ทุกวันอยู่แล้ว!
ฉันนึกว่า ท่านอยากจะเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นบ้าง
ถ้าท่านไม่อยากเปลี่ยน ก็ให้ทำอย่างเดิมไป
ท่านเป็นพระเจ้าอยู่แล้ว เข้าใจไหม?
แต่ถ้าท่านอยากจะเปลี่ยน สู่ระดับของตนเองที่สูงส่งกว่า
เมื่อนั้น ท่านก็จะต้องละทิ้ง สิ่งทดแทนระดับต่ำเล็กน้อยเหล่านี้
เพื่อหาการเมามายในความรักของพระเจ้า ไปหาสิ่งที่สูงส่งกว่า
และหาสิ่งที่ทำให้เราสดชื่นใน เนื้อของพระเยซูมากกว่า ท่านเข้าใจไหม?
ในเนื้อทางจิตวิญญาณของพระเยซู ใช่แล้ว
ยังมีศาสนาอยู่มากมาย
ดังเช่น คริสตศาสนา และศาสนาของแอฟริกาตามประเพณีนิยม
ศาสนาใดเหมาะสมสำหรับแอฟริกา?
รวมทั้ง การบำเพ็ญศาสนาอื่น จะทำให้บรรพบุรุษโกรธเคืองหรือไม่?
ไม่! ไม่
ทุกศาสนาดีสำหรับแอฟริกา หากท่านเชื่อในศาสนานั้น เข้าใจไหม?
ฉันเพียงจะแสดงให้ท่านทราบวิธี
ที่จะติดต่อกับแหล่งศาสนาของท่านได้ อย่างแท้จริง
พระเจ้ามีอยู่พระองค์เดียว
และผู้คนจะหาวิธีที่แตกต่างกันไป ที่จะไปหาพระองค์
เพียงบางครั้ง พวกเขาจะหลงทางในความวกวน
ดังนั้น ฉันจึงมาที่นี่ เพื่อแสดงให้พวกเขาเห็นว่า จะไปทางที่สั้นที่สุดได้อย่างไร เข้าใจไหม?
ฉันไม่ได้มาที่นี่เพื่อเปลี่ยนศาสนาของท่าน
และบรรพบุรุษของท่าน จะไม่มีวันโกรธเคืองท่าน
เพราะพวกเขาจะหลุดพ้น เนื่องเพราะการรู้แจ้งของท่าน
เนื่องเพราะพรของท่าน
ขอขอบคุณ ที่ท่านมาสู่แอฟริกาใต้
และนำความรักของท่านและสันติสุข มาสู่คนของเรา
ฉันหวังว่า ความรักใคร่ของท่าน จะถ่ายทอดไปสู่ชาวเรา แอฟริกาใต้
ฉันก็หวังว่าอย่างนั้น! ขอบคุณมากสำหรับความรักของท่าน
ฉันคิดว่าอย่างนั้น!
ชาวแอฟริกาใต้ช่างรู้แจ้ง ช่างเฉลียวฉลาดเป็นยิ่งนัก
ฉันไม่มีปัญหาอะไรกับพวกท่านเลย
ฉันคิดว่า เราเข้าใจกันอย่างดีเลิศ ใช่แล้ว
มันคือคนเดียวกัน
ทุกอย่างไม่เสียค่าใช้จ่าย โปรดบอกเรา ด้วยว่า ใครสนับสนุนท่านด้านกำลังเงิน
ใครทำอะไรนะ?
ใครสนับสนุนท่านด้านกำลังเงิน? ใครคือผู้ให้การสนับสนุนท่าน?
อา ฉันหาเงินด้วยตนเอง
ฉันเป็นนักออกแบบ ท่านไม่ทราบหรือ?
โอ คือว่า เราไม่ได้นำสิ่งประดิษฐ์ของฉันมาทั้งหมด
แต่ท่านสามารถเห็นได้เป็นบางอย่างในรูป
ฉันออกแบบอัญมณี ออกแบบเสื้อผ้า
วันนี้ฉันไม่ได้สวมเสื้อผ้า ที่ฉันออกแบบ
ฉันสวมเสื้อผ้าของท่าน เพื่อให้ความเคารพประเทศของท่าน
ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลมีกล่าวไว้ว่า ท่านจะต้องทำงานหาเลี้ยงชีพด้วยตนเอง
ด้วยหยาดเหงื่อของตนเอง
นั่นคือ สิ่งที่ฉันทำ เข้าใจไหม?
นอกจากแบ่งปันพระพร
ซึ่งพระเจ้าได้อนุญาต ให้ฉันแบ่งปันกับท่าน
ฉันก็ยังทำงานหาเลี้ยงตนเอง เพื่อ จ่ายสิ่งจำเป็นทางวัตถุต่าง ๆ เข้าใจไหม?
ฉันต้องใช้ยานพาหนะ ฉันต้องใช้รถ ฉันต้องใช้ตั๋วเครื่องบิน ฯลฯ
ดังนั้น ฉันหาเงิน เช่นเดียวกับท่าน เข้าใจไหม?
และฉันแบ่งปันอะไรก็ตาม ที่ฉันมี กับผู้อื่น ใช่
นอกเหนือจากจำนวนที่ฉันต้องใช้นั้น ฉันยังมีส่วนเกิน
ฉันจะนำไปแบ่งกับพี่น้องคนอื่น ๆ ใช่แล้ว
และไม่มีใครให้การสนับสนุนฉัน ฉันสนับสนุนผู้คน
พระเจ้าสนับสนุนฉัน ใช่แล้ว
เมื่อท่านรวมตัวกันในวันอาทิตย์ พวกท่าน รับประทานขนมปัง รับศีลมหาสนิท
เพื่อเป็นการระลึกถึงพระเยซูเจ้าหรือไม่?
เมื่อฉันไปเข้าโบสถ์ในวันอาทิตย์หรือ? (ใช่แล้ว) อะฮะ
ใช่ ฉันรับประทานขนมปัง แต่เป็นอันที่ท่านมองไม่เห็น
ใช่แล้ว เป็นเนื้อแท้ ๆ ของพระเยซู
ฉันไม่ได้ ตัดเนื้อของพระองค์มารับประทาน แต่ ฉันจะกลายเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ ใช่
นั่นคือขนมปังศีลมหาสนิทของฉัน
ฉันทำเช่นนั้นทุกวัน ไม่เพียงวันอาทิตย์เท่านั้น
ในแอฟริกา มีกล่าวกันว่า มีอัตราการเป็นโรคเอชไอวี โรคเอดส์สูง
พระเจ้าสาปแช่งหรือลงโทษทวีปนี้ ด้วยโรคอันรักษาไม่ได้นี้หรือ?
เราจะรอดจากโรคนี้ได้อย่างไร?
ทุกประเทศ
จะมีศูนย์ให้ข้อมูลเกี่ยวกับโรคเอดส์
หรือเกี่ยวกับโรคใด ๆ ก็ตาม ที่ท่านบังเอิญกังวลใจ ใช่ไหม?
ให้สืบหาจากแหล่งให้ข้อมูล
แล้วดูแลตนเองทางกายภาพ เข้าใจไหม?
มิฉะนั้นแล้ว หากท่านบำเพ็ญทางจิตวิญญาณด้วย
และรักษาศีล
และรับประทานอาหารมังสวิรัติ และดำเนินชีวิตตามสายทางจิตวิญญาณ
ท่านจะไม่ต้อง กังวลใจถามคำถามเช่นนี้เลย
ยุคทองเป็นสัญลักษณ์ของ การมาครั้งที่ ๒ ของพระเยซูหรือเปล่า?
ยุคทองคืออะไร?
ยุคทองคือเวลา
ดังเช่น ครั้งหนึ่ง หรือเมื่อนมนานมาแล้ว หรือหลาย ๆ ครั้งมาแล้ว
เมื่อเราได้ประสบกับ ความเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า
และ ทุกสิ่งที่เราปรารถนา จะเกิดขึ้นในทันที
เราสามารถ ประสบกับยุคทองได้เดี๋ยวนี้เลย
ถ้าเรามีการเชื่อมต่อกับพระเจ้า
ทุกวันเป็นยุคทองสำหรับผู้บำเพ็ญกวนอิม
โปรดอธิบายให้ฉันฟังอย่างละเอียด ด้วยเถิดว่า เราคนดำมาจากไหน
เพราะเราไม่มีตัวตนในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล
จริงไหมว่า เราเป็นบุตรหลานผู้ถูกสาปแช่ง?
โปรดอธิบายให้ฟังอย่างละเอียดด้วยเถิด (บุตรหลานอะไรนะ?) ที่ถูกสาปแช่ง
ไม่สิน่า! ท่านล้อเล่นหรือเปล่า?
เห็นไหม ๆ ? ท่านเห็นไหม?
นี่คือคำสอนเพื่อให้ท่านกลัว คำสอนเพื่อให้แตกแยกกัน
คำสอนแห่งการประณามและดูถูก
ซึ่งนานมาแล้ว ผู้คน พยายามยัดเยียดให้กับเผ่าพันธุ์มนุษย์
เพื่อแบ่งแยกเราและเพื่อปกครองเรา
เพราะรวมกันเราอยู่ แยกกันเราตาย และพวกเขาทราบ
และไม่ใช่เพียง… ใช่
ฉันเคยตกหลุมรักกับคนผิวดำคนหนึ่ง ท่านล้อเล่นหรือเปล่า?
ใช่แล้ว จริง ๆ แล้ว…
โอ พระเจ้า!
ทำไมท่านจึงถามคำถามเช่นนี้? เราไม่ควรเอ่ยถึงด้วยซ้ำไป!
มันเป็นเพียงอีกสีหนึ่งเท่านั้นเอง! ก็เพียงเหมือนดอกไม้ตรงนี้
ดูสิว่า ในนี้มีสีสันมากมายแค่ไหน
สมมติว่าเราทุกคนต่างผิวขาว หรือต่างผิวเหลืองเช่นฉัน
ดาวเราจะไม่น่าเบื่อหรอกหรือ เหอ?
ฉันก็จะไม่มีแอฟริกาใต้ให้ไปหา
ก็จะไม่มีสีสันที่แตกต่างกันไปให้มองดู
เมื่อฉันมองดูท่าน ฉันก็จะนึกถึงช็อกโกแลตน่าอร่อย!
สีโปรดของฉัน ใช่แล้ว! ใช่
และท่านทราบไหม ทุกสีต่างก็สวยงาม
ไม่มีความแตกต่างอะไร! ก็เหมือนดอกไม้ที่แตกต่างกันไป
ฉันไม่ทราบว่า ทำไมจึงมีการถามเช่นนี้ด้วยซ้ำไป
แต่ฉันทราบว่าทำไม ฉันได้อธิบายไปแล้ว
มันคือกับดัก มันคือเล่ห์กล
ของคนเลว ทราบไหม พวกที่พยายามจะมีอำนาจเหนือคนอื่น
พวกเขาไม่เพียงพยายาม แยกเราไปจากพระเจ้า
ทำให้พระเจ้ากลายเป็นบุคคล หรือตำนานที่น่ากลัว
เป็นพระเจ้าที่เจ้าคิดเจ้าแค้น และ ว่าอย่างไร ชอบลงโทษ
แต่ยังแบ่งแยกมนุษย์เราทั้งมวล ให้กลายเป็นเผ่าพันธุ์ต่าง ๆ ด้วย ใช่ไหม?
พวกเขาพยายามบอกคนผิวขาวว่า ผิวดำนั้นไม่ดี
และพยายามบอกคนผิวเข้มว่า ว่าอย่างไร คนผิวขาวนั้นเป็นมารร้าย
ใช่แล้ว! ทุกยุคทุกสมัย เราถูกล้างสมองให้คิดเช่นนี้
และนั่นคือเหตุ ที่เราคล้ายกับสับสน
แล้วเราก็จะพยายามคิดดูอีกครั้งว่า
ที่เขาพูดนั้น จริงหรือเปล่า? บางทีอาจจะจริงก็ได้
บอกฉันหน่อยสิว่า ทำไมคนดำจึงถูกสาป!
บอกฉันหน่อย! ขอเหตุผลที่ดีสักข้อหนึ่งว่าทำไม
ท่านตอบได้ไหมว่าทำไม?
ถ้าท่านตอบไม่ได้ ก็หมายความว่า ไม่มีคำสาปนั้น
ความแตกต่างระหว่างสีเข้มกับสีอ่อน
สีเหลืองหรือสีแดงนั้น คืออะไร?
มีความแตกต่างอะไรในนั้น?
ท่านก็ทราบว่า ทำไมท่านจึงเป็นสีดำหรือเป็นสีเข้ม
เพราะท่านอยู่ใกล้แดดเกินไป
แอบซ่อนตัวอยู่ในบ้าน!
เปล่า ฉันบอกท่านแล้วว่า พระเจ้าเป็นผู้มีสีสัน
พระองค์เป็นศิลปิน
พระองค์ทำผลไม้ให้มีสีต่างกัน พระองค์ทำดอกไม้ให้มีสีต่างกัน
ดังนั้น พระองค์ทำสุนัขให้มีสีต่างกัน พระองค์ทำช้างให้มีสีต่างกัน
พระองค์ทำนกให้มีสีต่างกัน พระองค์ทำมนุษย์ให้มีสีต่างกัน
เราควรมีความสุข!
พระองค์ยิ่งใหญ่ เรายิ่งใหญ่ เข้าใจไหม?
อย่างไรก็ตาม ฉันชอบช็อกโกแลต ดังนั้น จงอย่า… ฉันไม่สนใจ
ไม่ควรคิดอย่างนี้เลยตลอดไป เข้าใจไหม?
คำถามเช่นนี้ ไม่ควรเกิดขึ้นในใจของท่านเลย
ท่านยิ่งใหญ่!
ท่านมีประเพณีทางจิตวิญญาณ ที่ลุ่มลึกมาก ๆ ๆ และยาวนานมาก ๆ
ท่านหมายความว่าอย่างไร ว่า คนดำ ไม่ได้มีเอ่ยถึงในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล เหอ?
แล้วคลีโอพัตราของอียิปต์เล่า? หล่อนผิวดำ!
ใช่แล้ว! แล้วโมเสส ใช่ไหม?
ชาวอียิปต์ ใช่แล้ว ที่ซึ่งโมเสสได้รับการเลี้ยงดูมา
พวกเขาก็เป็นคนผิวสี พวกเขาเป็นสีเข้ม
ท่านหมายความว่า พวกเขา ไม่มีเอ่ยถึงในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลใช่ไหม?
มันจะต้องมีกล่าวไว้ว่า สีเข้มหรือดำด้วยหรือ
เพื่อให้ท่านรู้สึกว่า ท่านมีตัวตน?
ท่านเป็นมนุษย์
มันไม่มีดำ ไม่มีขาว ไม่มีเหลือง ไม่มีอะไรทั้งสิ้น
เราเป็นบุตรของพระเจ้า ไม่ต้องพูดถึงอีกต่อไป!
ใช่แล้ว ไม่มีปัญหาอะไรเลย
ฉันไม่เข้าใจว่า ทำไมจะต้องมีปัญหาอะไร ฉันไม่เข้าใจ!
ท่านเห็นว่า มีปัญหาเกี่ยวกับสีของดอกไม้ได้อย่างไร?
อ้า ฉันไม่เข้าใจ
เหอ? รู้อะไรไหม?
รู้อะไรไหม? ในประเทศฮอลแลนด์…
ท่านเคยไปประเทศฮอลแลนด์ไหม ใครก็ได้?
โอเค มีบางคน ใช่ไหม
ท่านทราบไหมว่า ในประเทศฮอลแลนด์ เขาเพาะดอกทิวลิพสีดำ ใช่ไหม?
และดอกเหล่านี้แพงที่สุด และหายากที่สุด
เพราะมันมีไม่มากนัก เห็นไหม?
ถ้าเราไม่มีสีดำ ก็ต้องทำมันขึ้นมา เห็นไหม?
สมมติว่าเราไม่มีคนผิวเข้มอยู่ที่นี่ เราก็จะต้องสร้างสรรค์เขาขึ้นมา
ทำการจับคู่ทางกรรมพันธุ์ เพื่อให้ได้คนดำสักคน
แล้วจากนั้น ก็จะเป็นว่า “โอ้ พระเจ้า เขาผิวดำ! โอ้ พระเจ้า!”
เข้าใจที่ฉันหมายความไหม? มันเหมือนกับดอกทิวลิพ ดอกทิวลิพสีเข้ม
มันเป็นดอกทิวลิพที่สีเข้มมาก มันไม่ได้เกิดมาเช่นนั้น
พวกเขาเอายีนส์มาจับคู่กัน พวกเขาสร้าง สรรค์มันขึ้นมาโดยวิธีทางวิทยาศาสตร์
และฉันก็เคยเห็นมาถาดหนึ่งแล้ว… สวยงาม!
สีเข้มมากและสวย! และหายากมาก เพราะมันไม่…
สวนทั้งหมดเต็มไปด้วยสีแตกต่างกัน
มีเพียงแถบหนึ่งที่เป็นทิวลิพสีดำ
และเขาเรียกมันว่ากษัตริย์แห่งราตรี
หรือราชินีแห่งราตรี หรืออะไรอย่างนั้น
เป็นชื่อที่งดงาม!
สมมติว่าที่นี่ เราไม่มีคนผิวสีเข้ม หรือคนผิวสีช็อกโกแลต
เมื่อนั้น ก็เหมือนขาดอะไรไปบางอย่าง ท่านเข้าใจไหม?
แล้วจากนั้น เราก็จะต้อง พยายามอย่างหนักอยู่ในห้องทดลอง
เพื่อที่จะทำทารกสีดำขึ้นมาสักคน
แล้วจากนั้น เราจะยกเด็กทารกนั้นขึ้นมา แล้วกล่าวว่า
“โอ ดูเขาสิ! เขาไม่งดงามหรอกหรือ?”
เข้าใจที่ฉันหมายความไหม?
ดังนั้น พระเจ้าทราบเรื่องนี้อยู่แล้ว
พระองค์จึงสร้างไว้ให้เรา
ดังนั้น เราควรรู้สึกสำนึกในพระคุณ มีความสุข และภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง
ใช่แล้ว ภาคภูมิใจที่มีสี!
ทราบไหมว่า มีกี่… ใช่แล้ว ขอบคุณค่ะ
ใช่แล้ว ๆ ทำอย่างนั้น แล้วฉันจะเล่าให้ฟังมากกว่านี้อีก
ฉันขอโทษ ขอโทษที่พูดเรื่องนี้อยู่นาน
มันฟังดู ไม่เป็นเรื่องทางจิตวิญญาณสักเท่าใด
แต่ปัญหานี้มีมานานเกินไปแล้ว ดังนั้น จึงไม่สำคัญว่า ฉันพูดนานสักเท่าใด
มันดูจะไม่นานพอ ที่จะ ลบเลือนความเข้าใจผิดที่มีมานานแล้ว
เกี่ยวกับสีสันของสิ่งประดิษฐ์ของพระเจ้า ใช่
ฉันจึงต้องพูดนานขึ้น
อา อะไรหรือ? ฉันลืมไปแล้ว มันคือว่าอย่างไรนะ?
อ้า! โอเค เรื่องสี
ท่านทราบไหมว่า คนทั้งหลายในประเทศอื่น ๆ
จะต้องใช้จ่ายไปเท่าใดบนชายหาด
ว่า พวกเขาจะต้องทนทุกข์มากเพียงใด ที่จะนอนอาบแดดอันแผดเผา
เพื่อจะได้สี ที่ท่านมี?
ท่านล้อเล่นน่า!
ฉันก็ต้องนอนอาบแดดเหมือนกัน เป็นบางครั้ง
เพื่อให้ได้สี ที่ฉันเป็นอยู่ขณะนี้
มิฉะนั้น บางครั้งผิวฉันซีดเกินไป
เพราะฉะนั้น ท่านเป็นเศรษฐีเงินล้าน เป็นเศรษฐีเงินล้านแต่กำเนิดที่มีชีวิต
มีเพียงเศรษฐีเงินล้าน ในอเมริกาหรือที่อื่นเท่านั้น
ที่สามารถมีสีผิวอย่างท่าน
เพราะพวกเขาต้อง เสียเงินและเวลาจำนวนมากในแดด
ท่านทราบหรือเปล่า? ท่านทราบ!
ดังนั้น คราวต่อไปอย่าถามคำถามนี้อีก
จงบอกตนเองว่า ท่านเป็นเศรษฐีเงินล้าน แต่กำเนิด เกิดมาเป็นเศรษฐีเงินล้าน
ไม่มีความจำเป็นใดจะต้องย่างตัวเอง อยู่บนชายหาดเป็นชั่วโมง ๆ ไม่เลิก
มันเป็นความทุกข์อย่างใหญ่หลวง รู้ไหม
ที่จะให้ได้สีอย่างเช่นคนแอฟริกัน
ใช่แล้ว
ท่านอาจารย์ ฉันอยากทราบว่า
เมื่อฉันเห็นภาพของท่าน มีอะไรบางอย่างทำให้ฉันประหลาดใจ
ฉันมีความรู้สึกว่า ต้องมาที่นี่เพื่อพบท่าน
ในความเป็นจริงแล้ว เพื่อมาพบท่านทางกายภาพ
และเมื่อท่านก้าวเข้ามาในห้องประชุม ฉันรู้สึกเหมือนอยากร้องไห้
มันเป็นเพราะ ฉันรู้สึกได้ถึงตัวท่าน
หรือเป็นเพราะ ฉันได้รับความรู้สึกอิ่มเอิบ แห่งการได้รู้จักพระเจ้ากันแน่?
อาจเป็นเช่นนั้น
อาจเป็นได้ว่า ท่านรู้สึกได้ถึงพระเจ้าภายในฉัน
ซึ่งปรากฏเป็นความรักสำหรับท่าน
เพราะไม่ใช่ว่า พระองค์ไม่สามารถปรากฏ ภายในท่านได้ด้วย พระองค์สามารถทำได้!
หากท่านได้เลือกหนทางแห่งพระเจ้า พระองค์ก็จะปรากฏเช่นกัน
คือว่า ฉันได้เลือกที่จะเดินหนทาง ของพระองค์ ท่านจึงรู้สึกได้ชัดเจนกว่า
เพราะฉันอยู่กับพระองค์
ส่วนคนอื่นอยู่กับโลกมากกว่า
กังวลใจเกี่ยวกับโลกมากกว่า
ฉันอยู่กับพระเจ้ามากกว่า
ดังนั้น ท่านสามารถรู้สึกได้ถึงการมีอยู่ ของพระเจ้ามากกว่า ในบุคคลประเภทนั้น
ตัวอย่างเช่น อาจเป็นฉัน
นั่นจึงเป็นเหตุ ที่ท่านรู้สึกมีความสุข หรือท่านอาจรู้สึกอ่อนไหว
มิฉะนั้น เราไม่ได้รู้จักกัน ทำไม ท่านจะต้องร้องไห้ด้วย เมื่อท่านเห็นฉัน?
ทำไมท่านจะต้องรักฉัน และอยาก จับมือฉัน หรืออยากกอดฉัน ใช่ไหม?
ต้องเป็นอะไรบางอย่าง ใช่ไหม?
ท่านปลูกอะไร ก็จะได้ผลเช่นนั้น
จะเป็นเรื่องทางโลก หรือเรื่องพระเจ้าก็ตาม
หากเราอยู่กับโลก เราก็จะสิงสถิตบรรยากาศทางโลกมากกว่า
และผู้คนก็จะรับรู้ตรงนั้นมากกว่า
และหากเราอยู่กับพระเจ้า
เราจะฉายบรรยากาศของพระเจ้ามากกว่า
และผู้คนจะรู้สึกเช่นนั้น เพราะพระเจ้าภายในท่านรู้สึกเช่นนั้น
ขอบคุณ ท่านอาจารย์ ที่มาสู่แอฟริกาใต้
เราขอต้อนรับท่านด้วยอ้อมแขนที่เปิดอ้า
ขอบคุณค่ะ
ขอบคุณทุกท่านที่มา
และนี่ก็เป็นการจบการถามตอบแค่นี้ก่อน
ขอบคุณ ท่านอาจารย์