Tip:
Highlight text to annotate it
X
Translator: Sarinee Achavanuntakul Reviewer: Korawan Kitsommart
เชื่อไหมครับว่า ผมมาเสนอวิธีแก้ปัญหา
ปัญหาที่สำคัญมากข้อหนึ่งในปัญหาที่ใหญ่กว่า
แน่นอนว่าต้องรวมเรื่องสภาพภูมิอากาศ
วิธีแก้ที่ผมมาเสนอนั้น
พุ่งเป้าไปที่ตัวการที่ใหญ่ที่สุด
ในการปฏิบัติต่อโลกเราอย่างเลวร้ายมหาศาล
ด้วยน้ำมือมนุษย์
ซึ่งทำให้โลกชีวมณฑลเสื่อมโทรม
ตัวการที่ว่านั้นคือธุรกิจและอุตสาหกรรมครับ
ซึ่งก็บังเอิญเป็นโลกที่ผมใช้ชีวิต 52 ปีที่ผ่านมา
ตั้งแต่จบปริญญาจากจอร์เจีย เทค ในปี 1956
ในฐานะวิศวกรอุตสาหการ
ที่อยากเป็นผู้ประกอบการ แล้วก็ประสบความสำเร็จ
หลังจากที่ผมก่อตั้งบริษัท อินเทอร์เฟซ ขึ้นมาจากศูนย์
ในปี 1973 ซึ่งก็คือ 36 ปีที่แล้ว
เพื่อผลิตพรมในอเมริกา
สำหรับตลาดธุรกิจและสถาบัน
ผมนำบริษัทนี้ผ่านช่วงตั้งไข่และเอาตัวรอด
ทำให้มันรุ่งเรืองและเป็นผู้นำระดับโลก
ผมอ่านหนังสือของ พอล ฮอว์เคน
ชื่อ นิเวศวิทยาของการพาณิชย์ (Ecology of Commerce)
ในฤดูร้อนปี 1994
ในหนังสือของเขา พอล ฮอว์เคน บอกว่าธุรกิจกับอุตสาหกรรม
คือตัวการหมายเลขหนึ่ง
ที่ทำให้โลกชีวมณฑลเสื่อมโทรม
และสอง เขาบอกว่ามันเป็นสถาบันเดียวที่ใหญ่พอ
แพร่หลายมากพอ และมีอิทธิพลมากพอ
ที่จะนำมนุษยชาติออกจากปัญหานี้จริงๆ
ระหว่างทางเขาก็ปรักปรำผม
ว่าเป็นโจรปล้นโลกธรรมชาติ
ผมเลยไปท้าทายคนในอินเทอร์เฟซ บริษัทของผม
ให้นำบริษัทของเราและโลกอุตสาหกรรมทั้งใบไปสู่ความยั่งยืน
ซึ่งเรานิยามว่า หมายถึงการดำเนินธุรกิจ
ที่ใช้ปิโตรเลียมมหาศาลของเรา ในทางที่
ตักตวงจากธรรมชาติเฉพาะ
สิ่งที่ธรรมชาติฟื้นฟูเองได้อย่างรวดเร็ว
เราจะไม่ใช้น้ำมันอีกแม้แต่หยดเดียว
และไม่ทำร้ายโลกชีวมณฑล
ไม่ตักตวงอะไรเลย ไม่ทำร้ายโลก
ผมบอกแค่ว่า "ถ้าหากฮอว์เคนพูดถูก
และธุรกิจกับอุตสาหกรรมจะต้องนำจริงๆ
แล้วใครจะนำธุรกิจกับอุตสาหกรรมล่ะ?
ถ้าไม่มีคนเริ่มก่อน ก็จะไม่มีใครทำ"
เป็นสัจพจน์เลยครับ แล้วทำไมเราไม่นำล่ะ?
ผมต้องขอบคุณเพื่อนร่วมงานที่อินเทอร์เฟซ
ที่ทำให้ผมกลายเป็นโจรที่ผ่านการบำบัด
(เสียงหัวเราะ)
(ปรบมือ)
ผมเคยบอกกับนักเขียนนิตยสารฟอร์จูนว่า
วันหนึ่งคนอย่างผมจะต้องติดคุก
ประโยคนั้นกลายเป็นพาดหัวบทความในฟอร์จูน
พวกเขาอธิบายว่าผมเป็นซีอีโอที่เขียวที่สุดของอเมริกา
จากโจร เป็นโจรที่ผ่านการบำบัด
เป็นซีอีโอที่เขียวที่สุดของอเมริกา ในห้าปี
ผมคิดว่านั่นคือคำวิจารณ์ซีอีโออเมริกันปี 1999
ที่เศร้าพอดู
ต่อมาในหนังสารคดีแคนาดาเรื่อง เดอะ คอร์ปอเรชั่น
ผู้กำกับถามว่า "ติดคุก" ของผมหมายถึงอะไร
ผมอธิบายว่าการขโมยนั้นเป็นอาชญากรรม
และการขโมยโลกอนาคตของเด็กๆ วันหนึ่งก็จะเป็นอาชญากรรม
แต่ผมตระหนักว่าถ้ามันจะเป็นจริงได้
ก่อนที่การขโมยอนาคตของลูกหลานเราจะเป็นอาชญากรรมได้
คนก็จะต้องเห็นก่อนว่ามีทางเลือกที่สาธิตให้เห็นได้ชัดเจน
ทางเลือกออกจากระบบอุตสาหกรรมแบบโกย-ทำ-ทิ้ง
ซึ่งครอบงำอารยธรรมของเราอย่างราบคาบ
ระบบนี้คือตัวการใหญ่ที่ขโมยอนาคตลูกหลานของเรา
ด้วยการตักตวงผืนดิน
แปลงมันเป็นผลิตภัณฑ์ที่ไม่นานก็กลายเป็นขยะ
ในกองขยะหรือเตาเผาขยะ
พูดง่ายๆ คือ มันตักตวงผืนดินและแปลงมันเป็นมลพิษ
ในคำพูดของ พอล กับ แอนน์ เออร์ลิช
ในสมการผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมที่คนรู้จักดี
ผลกระทบ -- ผลเชิงลบ --
เกิดจากประชากร ความมั่งคั่ง และเทคโนโลยี
พูดอีกอย่างคือ ผลกระทบเกิดจากคน
สิ่งที่พวกเขาบริโภคเมื่อมีความมั่งคั่ง
และวิธีที่เราผลิตสิ่งเหล่านั้นขึ้นมา
และถึงแม้ว่าสมการนี้จะเป็นอัตวิสัยค่อนข้างมาก
คือคุณอาจนับจำนวนคนได้ บางทีอาจนับความมั่งคั่งได้
แต่เทคโนโลยีนั้นทำลายล้างหลายทางจนคำนวณไม่ได้
ดังนั้นสมการนี้จึงเป็นแค่แนวคิด
แต่มันก็ใช้ได้ เพราะช่วยให้เราเข้าใจปัญหา
ทีนี้ ในปี 1994 ที่อินเทอร์เฟซ เราเริ่มออกเดินทาง
เพื่อสร้างตัวอย่าง
เพื่อปฏิรูปวิธีที่เราผลิตพรม
ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ปิโตรเลียมและพลังงานมหาศาลในวัตถุดิบ
และเพื่อปฏิรูปเทคโนโลยีของเรา
ให้มันสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยลง
ไม่ใช่มากขึ้น
สมการผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมของ พอล กับ แอนน์ เออร์ลิช
คือ I (impact /ผลกระทบ) = P (people /คน) คูณ A (affluence /ความมั่งคั่ง) คูณ T (technology /เทคโนโลยี)
ประชากร ความมั่งคั่ง และเทคโนโลยี
ผมอยากให้อินเทอร์เฟซเขียนสมการนี้ใหม่ ให้มันกลายเป็น
I (impact /ผลกระทบ) = P (people /คน) คูณ A (affluence /ความมั่งคั่ง) แล้วหารด้วย T (technology /เทคโนโลยี)
ใครที่เก่งเลขคงเห็นทันทีนะครับว่า
ถ้าเทคโนโลยีเป็นตัวคูณ มันจะเพิ่มผลกระทบ -- ซึ่งแย่
แต่ถ้าเทคโนโลยีเป็นตัวหาร มันจะช่วยลดผลกระทบ
ผมจึงถามว่า "อะไรกันที่จะย้าย T, เทคโนโลยี
จากตัวบน ซึ่งเราเรียกมันว่า T1
ซึ่งเป็นตัวเพิ่มผลกระทบ
ไปเป็นตัวหาร ซึ่งเราเรียกมันว่า T2
ซึ่งจะลดผลกระทบ?
ผมคิดถึงลักษณะสำคัญๆ
ของการปฏิวัติอุตสาหกรรมยุคแรก
นั่นคือ T1 ที่เราใช้ในอินเทอร์เฟซ
มันมีลักษณะดังต่อไปนี้ครับ
ตักตวง - กอบโกยวัตถุดิบจากโลกธรรมชาติ
เส้นตรง - โกย, ทำ, ทิ้ง
ใช้พลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิล
สิ้นเปลือง - กดขี่คนและเน้นผลิตภาพของแรงงาน
ผลิตพรมต่อชั่วโมงแรงงานให้ได้มากที่สุด
เมื่อคิดตลอดแล้ว ผมก็ตระหนักว่าเราต้องเปลี่ยนลักษณะเหล่านี้
เพื่อย้ายเทคโนโลยีจากตัวคูณไปเป็นตัวหาร
ในการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งใหม่ เราต้องแทนที่การตักตวงด้วยการทดแทน
วงกลมแทนที่เส้นตรง
พลังงานหมุนเวียน แสงอาทิตย์ แทนที่พลังงานฟอสซิล
ปลอดของเสียแทนที่สิ้นเปลือง
และอ่อนโยนแทนที่กดขี่
ผลิตภาพทรัพยากรแทนที่ผลิตภาพแรงงาน
ผมให้เหตุผลว่า ถ้าหากเราเปลี่ยนเชิงปฏิรูปทั้งหมดนี้ได้
กำจัด T1 ไปเลย
เราก็จะสามารถลดผลกระทบของเราลงเหลือศูนย์
รวมทั้งผลกระทบของเราต่อสภาพภูมิอากาศด้วย
นั่นกลายเป็นแผนของอินเทอร์เฟซในปี 1995
และก็เป็นแผนของเราตลอดมา
เราได้วัดความคืบหน้าของเราอย่างเคร่งครัด
ผมก็เลยบอกคุณได้ว่า ในช่วงเวลา 12 ปีที่ผ่านมา
เราลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อย
ลดปริมาณรวม ลงได้ร้อยละ 82
(เสียงปรบมือ)
ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น
ยอดขายของเราเพิ่มขึ้นสองในสาม และกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นสองเท่า
ดังนั้นการลดก๊าซเรือนกระจกลงร้อยละ 82
จึงเท่ากับลดความเข้มข้นของก๊าซเรือนกระจก
ลงได้ถึงร้อยละ 90 เทียบกับยอดขาย
นี่คือระดับที่
โลกธุรกิจทั้งใบจะต้องลดให้ได้
ภายในปี 2050
เพื่อหลีกเลี่ยงหายนะรุนแรงทางสภาพภูมิอากาศ
นี่คือสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์กำลังบอกเรา
ในขณะเดียวกัน อินเทอร์เฟซใช้พลังงานฟอสซิลน้อยลงร้อยละ 60 ต่อการผลิตหนึ่งหน่วย
เนื่องมาจากประสิทธิภาพของพลังงานหมุนเวียน
น้ำมันถังที่ถูกที่สุดและมั่นคงที่สุดในโลก
คือถังที่เราไม่ต้องใช้เพราะมีประสิทธิภาพดีมาก
เราลดปริมาณการใช้น้ำลงได้ร้อยละ 75
ในธุรกิจพรมแผ่นทั่วโลกของเรา
ลดได้ร้อยละ 40 ในธุรกิจพรมทอของเรา
ที่เราซื้อกิจการมาในปี 1993
ลดได้ในรัฐแคลิฟอร์เนียนี่เลยครับ ในเมืองแห่งอุตสาหกรรม
ซึ่งน้ำมีค่าเหลือคณานับ
วัสดุที่นำกลับมาใช้ใหม่ได้มีสัดส่วนร้อยละ 25 และเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
เราใช้พลังงานหมุนเวียนร้อยละ 27 ของพลังงานทั้งหมด
ตั้งเป้าจะไปให้ถึงร้อยละ 100
เราได้กู้คืนพรมใช้แล้วกว่า 148 ล้านปอนด์ --
นั่นคือเท่ากับ 74,000 ตัน ---
เก็บมาจากกองขยะ
ปิดวงจรไหลเวียนของวัสดุให้เป็นวงกลม
ผ่านการใช้โลจิสติกส์มุมย้อน (reverse logistics)
และเทคโนโลยีรีไซเคิลหลังการบริโภค
ซึ่งตอนที่เราเริ่มเมื่อ 14 ปีก่อนยังไม่มีเลย
เทคโนโลยีวงกลมใหม่ๆ เหล่านี้
มีส่วนอย่างมากในการทำให้เราสามารถผลิตและขาย
พรมที่ปล่อยคาร์บอนสุทธิเท่ากับศูนย์ 85 ล้านตารางหลา
ตั้งแต่ปี 2004
นั่นแปลว่าเราไม่ได้ก่อผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศโลกเลย
เวลาที่เราผลิตพรม ตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทานของเรา
ตั้งแต่เหมืองและแท่นหลุมผลิต ไปจนถึงการกู้คืน ณ จุดจบวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์
กระบวนการทั้งหมดนี้มีผู้ตรวจสอบอิสระรับรอง
เราเรียกมันว่า คูล คาร์เพ็ท
ซึ่งมันก็สร้างความแตกต่างอันทรงพลังให้กับเราในตลาด
ช่วยเพิ่มยอดขายและผลกำไร
เมื่อสามปีก่อน เราออกผลิตภัณฑ์พรมแผ่นสำหรับบ้าน
ภายใต้ยี่ห้อ Flor
ตั้งใจสะกดผิดว่า F-L-O-R (แทนที่ Floor ซึ่งแปลว่า พื้น-ผู้แปล)
วันนี้คุณเข้าไปดูได้ครับที่เว็บไซต์ Flor.com
แล้วเราจะส่ง คูล คาร์เพ็ท ถึงประตูบ้านคุณภายในห้าวัน
มันใช้ได้ดี แล้วก็ดูดีด้วยครับ
(เสียงหัวเราะ)
(ปรบมือ)
ตอนนี้เรามองว่าเรามาถึงครึ่งทางแล้ว
ครึ่งทางสู่จุดหมาย -- ผลกระทบเหลือศูนย์ รอยเท้าเหลือศูนย์
เราตั้งเป้าว่าจะทำให้ถึงศูนย์ภายในปี 2020
นั่นคือเป้าหมายสูงสุด ยอดเขาความยั่งยืน
เราเรียกพันธกิจนี้ว่า ปฏิบัติการศูนย์ (Mission Zero)
ทีนี้ผมอยากพูดถึงมิติที่อาจจะสำคัญที่สุด
คือเราพบว่า ปฏิบัติการศูนย์นี้ดีมากๆ เลยสำหรับธุรกิจเรา
มันเป็นโมเดลธุรกิจที่ดีกว่าเดิม
เป็นวิธีเพิ่มกำไรที่ดีกว่าเดิม
ต่อไปนี้เป็นเหตุผลทางธุรกิจของความยั่งยืนครับ --
จากประสบการณ์จริงของผม พบว่าต้นทุนเราลดลง ไม่ได้เพิ่มขึ้น
เราประหยัดเงินได้ประมาณ 400 ล้านเหรียญ
ประหยัดค่าใช้จ่าย ระหว่างการพยายามลดของเสียจนเหลือศูนย์
ซึ่งเป็นชะง่อนแรกของภูเขาความยั่งยืน
เงินจำนวนนี้จ่ายค่าใช้จ่ายที่เราใช้ปฏิรูปอินเทอร์เฟซได้ทั้งหมด
และมันก็กำจัดมายาคติด้วย
ที่บอกว่าเราต้องเลือกระหว่างสิ่งแวดล้อมกับเศรษฐกิจ
ผลิตภัณฑ์ของเราดีที่สุดเท่าที่เคยเป็นมา
ได้รับแรงบันดาลใจจากการออกแบบเพื่อความยั่งยืน
อันเป็นบ่อเกิดนวัตกรรมที่เราไม่คาดคิด
พนักงานของเราร่วมแรงร่วมใจกันรอบๆ เป้าหมายสูงส่งกว่าเดิมข้อนี้
ไม่มีอะไรสู้เป้าแบบนี้ได้หรอกครับ ในการดึงดูดคนที่เก่งที่สุด
สร้างแรงบันดาลใจให้พวกเขาร่วมงานกัน
และไมตรีจิตที่เราได้รับจากตลาดนี้ก็น่าทึ่งมาก
จะโฆษณาขนาดไหน ไม่ว่าแคมเปญโฆษณาจะฉลาดแค่ไหน
ไม่ว่าจะแพงแค่ไหน ก็ไม่มีทางผลิตหรือสร้าง
ไมตรีจิตมหาศาลที่เราได้รับ
ต้นทุน ผลิตภัณฑ์ พนักงาน ตลาด
มีอะไรอีกล่ะครับ?
นี่คือโมเดลธุรกิจที่ดีกว่าเก่า
และนี่ก็คือสถิติยอดขายและผลกำไร 14 ปีของเรา
ตรงนี้ยุบลงไปนิดนะครับ ระหว่างปี 2001-2003
ตรงที่ยุบนี่ยอดขายของเราช่วง 3 ปีนั้น
ตกลงไปร้อยละ 17
แต่ตอนนั้นตลาดหดลงร้อยละ 36
เท่ากับว่าเราได้ส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้น
เราอาจจะรอดพ้นช่วงเศรษฐกิจถดถอยตอนนั้นมาไม่ได้
ถ้าหากว่าไม่มีข้อได้เปรียบจากความยั่งยืน
ถ้าหากธุรกิจทุกแห่งทำตามแผนของอินเทอร์เฟซ
มันจะกำจัดปัญหาทั้งหมดของเราได้หรือไม่?
ผมไม่คิดว่าได้
ผมยังรู้สึกไม่สบายใจกับสมการเออร์ลิชที่แก้ใหม่
I เท่ากับ P คูณ A หารด้วย T2
เจ้า A (Affluence) ในนี้คือ A ตัวใหญ่ครับ
มันเสนอว่าความมั่งคั่งคือเป้าหมายในตัวมันเอง
แต่ถ้าหากเราปรับสมการเออร์ลิชอีกหน่อยล่ะ?
สมมุติว่าเราทำให้ A กลายเป็น a ตัวเล็ก
เพื่อเสนอว่ามันเป็นเพียงวิถีทางสู่เป้าหมาย
และเป้าหมายนั้นก็คือ ความสุข
มีความสุขมากขึ้นด้วยข้าวของที่น้อยลง
คุณรู้ครับว่าถ้าทำอย่างนั้น มันก็จะเปลี่ยนอารยธรรม --
(ปรบมือ)
และเปลี่ยนระบบเศรษฐศาสตร์ทั้งหมดของเรา
บางทีถ้าไม่เปลี่ยนเพื่อมนุษย์ ก็อาจเปลี่ยนเพื่อเผ่าพันธุ์ในอนาคต
เผ่าพันธุ์ที่ยั่งยืน ที่จะใช้ชีวิตอยู่บนโลกที่มีจำกัด
ใช้ชีวิตอย่างมีศีลธรรม อย่างมีความสุข และเป็นมิตรต่อระบบนิเวศ
อยู่อย่างสมดุลกับธรรมชาติ
และระบบธรรมชาติทั้งหมดของเธอ อยู่ไปอีกหลายพันชั่วคน
หรือ 10,000 ชั่วคน
นั่นคือ อยู่ไปตราบนานเท่านาน
แต่โลกธรรมชาติจะต้องรอให้มนุษย์เราสูญพันธุ์ก่อนหรือเปล่า?
บางทีอาจเป็นอย่างนั้น แต่ผมไม่คิดเช่นนั้น
ที่อินเทอร์เฟซ เราพยายามจริงๆ ครับที่จะนำบริษัทต้นแบบ
บริษัทอุตสาหกรรมที่ยั่งยืน มีรอยเท้าเท่ากับศูนย์
ให้มันเกิดขึ้นจริงภายในปี 2020
เรามองเห็นเส้นทางของเราแล้วครับ
มองเห็นชัดไปถึงยอดเขาลูกนั้น
ตอนนี้ความท้าทายอยู่ในการลงมือทำ
อย่างที่ เอมอรี ลอวินส์ เพื่อนและที่ปรึกษาของผม พูดว่า
"ถ้าอะไรมีอยู่จริง มันก็ต้องเป็นไปได้จริง"
(เสียงหัวเราะ)
ถ้าเราทำได้จริงๆ มันก็ย่อมเป็นไปได้
ถ้าเรา บริษัทที่ใช้ปิโตรเลียมมหาศาล ทำได้ ใครคนอื่นก็ทำได้
และถ้าใครคนอื่นทำได้ ก็แปลว่าทุกคนต้องทำได้
ฮอว์เคนช่วยเติมเต็มธุรกิจและอุตสาหกรรม
นำมนุษยชาติถอยห่างมาจากปากเหว
เพราะการที่โลกชีวมณฑลเสื่อมโทรมลงเรื่อยๆ อย่างไร้การควบคุม
ทำให้คนที่เรารักมากตกอยู่ในความเสี่ยง
ความเสี่ยงที่เรารับไม่ได้ครับ
คนคนนั้นคือใคร?
ไม่ใช่คุณ ไม่ใช่ผม
ผมขอแนะนำให้คุณรู้จักกับคนที่ตกอยู่ในความเสี่ยงที่สุด
ผมเองได้พบกับเขาตอนที่เราเริ่มปีนเขาความยั่งยืนไม่นาน
พบกันในเช้าวันอังคารวันหนึ่ง เดือนมีนาคม ปี 1996
ผมกำลังคุยกับคน ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ผมทำทุกโอกาสที่ตอนนั้นมี
พยายามชักนำผู้คนมาทำเรื่องนี้ ส่วนใหญ่ผมไม่รู้หรอกว่าเข้าถึงเขาหรือเปล่า
แต่ประมาณห้าวันหลังจากนั้น เมื่อผมกลับถึงแอตแลนตาแล้ว
ผมก็ได้รับอีเมลจาก เกล็น ธอมัส
พนักงานของผมคนหนึ่งที่อยู่ในที่ประชุมแคลิฟอร์เนีย
เขาส่งบทกวีมาให้ผมชิ้นหนึ่ง
แต่งเองหลังเช้าวันอังคารที่เราคุยกัน
ตอนที่ผมอ่านบทกวีชิ้นนั้น ผมรู้สึกอิ่มเอมใจที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิต
เพราะมันบอกผมว่า ให้ตายเถอะ มีคนหนึ่งคนที่เข้าใจ
เกล็นแต่งว่าอย่างนี้ครับ และนี่ก็คือคนที่พบกับความเสี่ยงสูงสุด
ขอเชิญพบกับ "เด็กแห่งวันพรุ่ง"
"เจ้าคือผู้ไร้หน้าและไร้นาม ไร้โมงยามปราศที่ทางที่วางแผน
เป็นเด็กของวันพรุ่งในดินแดน ทว่า-แม้นเจ้ายังไม่เกิดมา
ข้าพบเจ้าเช้าอังคารที่ผ่านพ้น
มิตรผู้ดลจิตใจใฝ่ปัญหา
พาให้เราพบกันผ่านปัญญา
ให้ข้าเห็นวันของเจ้า-จึงเข้าใจ
เมื่อพบเจ้าข้าครั่นคร้าม เปลี่ยนความคิด
ทีละนิดได้ตระหนักปนสงสัย
ว่าบางทีสิ่งที่ข้าทำลงไป
อาจทำให้เจ้าเสี่ยงภัยพ้นวัยเยาว์
เด็กน้อยของวันพรุ่ง ลูกชาย-หญิง
ข้ากริ่งเกรงว่าเพิ่งคิดประโยชน์เจ้า
ทั้งที่รู้-ที่เคยทำเพียงทำเนา
จะเลิกดูลาดเลาเริ่มเอาจริง
คิดต้นทุนของสิ่งที่ข้าปล้น ที่ทุกคนถลุงสิ้นสรรพสิ่ง
ไม่ลืมว่าวันหนึ่งเจ้าจะชิง
เกิดมาพักพึ่งพิงโลกเดียวกัน"
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ทุกวันของชีวิตผม
"เด็กของวันพรุ่ง" ก็ได้พูดกับผม
สื่อสารที่เรียบง่ายแต่ลึกซึ้งสารเดียว
ที่ผมอยากแบ่งปันให้กับทุกคนในที่นี้
พวกเราทุกคน แต่ละคน
เป็นส่วนหนึ่งของสายใยชีวิต
สายธารแห่งมนุษยชาติ แต่สายใยของชีวิตในความหมายที่ใหญ่กว่าด้วย
และเราก็ต้องตัดสินใจ
ระหว่างที่ใช้ชีวิตอันแสนสั้น
เป็นผู้มาเยือนโลกสีฟ้าและเขียว โลกอันสวยงามและมีชีวิต
ว่าเราจะทำร้ายมัน หรือจะช่วยเหลือมัน
เป็นเรื่องที่คุณต้องตัดสินใจ
ขอบคุณครับ
(ปรบมือ)