Tip:
Highlight text to annotate it
X
เรารู้ว่าจักรวาลมีของที่เราเรียกว่าสสารซึ่งครอบครองพื้นที่ และจักรวาล
ก็ไม่อยู่นิ่ง มีสิ่งต่างๆเกิดขึ้นด้วยเช่นกัน พูดอย่างชัดเจนกว่านั้นได้ว่า สสารมีปฏิกิริยากับสสาร
เหมือนแรงที่โลกและดวงจันทร์ดึงกันอยู่ หรือแรงผลักที่
ทั้งเท้าและพื้นก็ต่างกระทำกันและกัน
เราอาจจะคิดว่าปฏิกิริยาเหล่านี้เหมือนกับกฎจราจรที่ถูกตั้งขึ้นมาจาก
คณะกรรมการที่ดูซื่อบื้อในระดับกาแลคซี... แต่จริงๆแล้วคำตอบที่แท้จริงอยู่ลึกกว่านั้นมาก และยังแปลกประหลาดมากด้วย
นั่นคือ ปฏิกิริยาเกิดขึ้นเพียงเพราะว่าเรา (เรา - ผมหมายถึงจักรวาล) วัดสิ่งต่างๆได้แตกต่างกัน
เมื่อวัดจากคนละที่กัน
เดี๋ยวก่อน ไม่ว่าเราจะวัดคนๆหนึ่งที่สูง 6 ฟุต หรือ 183 ซม.
เค้าก็สูงเท่าเดิมนี่นา! ดังนั้นการวัด โดยตัวมันเองแล้ว ก็ไม่มีความหมาย
ถึงแม้ว่ามันจะฟังดูประหลาด การไม่มีความหมายนี่แหละที่ทำให้เกิดแรงพื้นฐานในธรรมชาติขึ้นมา
เอาล่ะ บ่อยๆครั้งใน MinutePhysics ผมชอบใช้การเปรียบเทียบเพื่อที่จะทำให้ปรากฎการณ์ทางกายภาพเข้าใจได้ง่ายขึ้น
โดยที่ยังรักษาสาระของประเด็นไว้ แต่วันนี้เรากำลังจะได้เห็น
การประยุกต์ใช้ในชีวิตจริงของทฤษฎีเบื้องหลังแบบจำลองมาตรฐานของฟิสิกส์อนุภาค และเพื่อความง่าย
เราจะลืมควอนตั้ม และใช้เศรษฐศาสตร์แทน
นี่คือคณิตศาสตร์เดียวกันกับแบบจำลองมาตรฐานเลย พร้อม.. ระวัง.. ฟิสิกส์!
สมมติว่า ผมให้คุณ 2 ดอลลาร์เพื่อจะได้แกะราคา 2 ดอลลาร์ ตอนนี้ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น
และไม่มีมูลค่าใดๆถูกแลกเปลี่ยน เพราะว่าผมก็สามารถขายแกะคืน
โดยที่ผมก็ได้ 2 ดอลลาร์คืนมา ไม่ต้องคิดว่าผมอาจจะชอบแกะมากกว่าเงิน
ซึ่งอาจจะเป็นเหตุผลว่าทำไมผมซื้อแกะตั้งแต่ต้น มูลค่าที่แท้จริงซึ่งถูกวัดโดย "เครื่องวัดมูลค่า" ของเรา
ที่เราเรียกว่าเงิน มูลค่าก็ไม่เปลี่ยนแต่อย่างใด
มากไปกว่านั้น ปริมาณของเงินที่เราจ่ายเพื่อสิ่งของต่างๆเป็นอัตราที่ถูกกำหนดได้อย่างอิสระ
ซึ่งอย่างที่เรารู้กัน ประเทศต่างๆก็มีค่าเงินเป็นของตัวเอง
และแน่นอน ประเทศต่างๆก็ไม่สามารถทำการซื้อขายได้ถ้าไม่มีการแปลงวิธีการวัดมูลค่าระหว่างกัน
มูลค่าระหว่างกัน
ดังนั้น สมมติว่าถ้าผมอยากจะซื้อแกะในแคนาดา มีสองอย่างที่จะส่งผลกระทบกับราคา
อย่างแรก ชาวแคนาดาอาจจะให้มูลค่าแกะน้อยกว่าที่ผมให้ และอย่างที่สองดอลลาร์ของพวกเขาอาจจะ
แตกต่างจากดอลลาร์ของสหรัฐอเมริกา ดังนั้นบางทีแกะอาจจะราคาเพียงแค่ 3 ดอลลาร์แคนาดา
ซึ่งหมายความว่าถ้าผมสามารถไปแคนาดา แปลง 2 ดอลลาร์สหรัฐเป็น 4 ดอลลาร์แคนาดา
แล้วจ่ายไป 3 เพื่อค่าแกะ แล้วกลับมาสหรัฐอเมริกาพร้อมแกะและ 1 ดอลลาร์แคนาดา
(ซึ่งคิดเป็น 50 เซนต์ดอลลาร์สหรัฐ) ถ้าผมขายแกะกับใครก็ได้ในสหรัฐอเมริกา
ในราคา 2 ดอลลาร์สหรัฐ ผมก็ได้กำไร เพราะตอนนี้ผมได้ 2.50 ดอลลาร์สหรัฐจากที่เคยมี 2.00
ดังนั้นผมทำกำไรจากการซื้อและขายแกะ! อันนี้แตกต่างอย่างมากจากการซื้อขายแกะ
ในสหรัฐอเมริกาเอง ซึ่งมูลค่าที่แท้จริงไม่ได้ถูกส่งต่อ แต่ทางนี้ โดยการ"แลกเงิน"
ผ่านทางแกะของผม ผมก็สามารถส่งมูลค่าที่แท้จริงจากแคนาดามายัง
สหรัฐอเมริกา และการส่งผ่านของมูลค่าก็เกิดขึ้น เพียงเพราะเราวัดมูลค่าแตกต่างกัน
ในแต่ละที่ เหมือนกับการขโมย แต่ถูกกฎหมาย!
ตอนนี้อย่าเพิ่งรีบไปซื้อแกะจากแคนาดาแล้วมาขายในสหรัฐอเมริกานะ...
ในชีวิตจริงของคนเลี้ยงแกะ(และนักแลกเปลี่ยนเงินตรา) พวกเขารู้ดีว่ากำลังขาดทุน และราคาของ
ของแกะ(และดอลลาร์แคนาดา)จะถูกปรับเพื่อที่จะคิดถึงผลต่างนี้และลดการแลกเปลี่ยนมูลค่าที่แท้จริง
หรือ"การขโมย" แต่"การสร้างกำไรจากความว่างเปล่า"เกิดขึ้นได้ถ้าเราลงมือก่อนที่
ราคาตลาดจะถูกปรับ มันเรียกว่า"การค้ากำไร" และเมื่อไหร่ก็ตามที่เป็นไปได้ มันหมายความว่า
เศรษฐกิจไม่อยู่ในสมดุล หรืออยู่ในสภาวะที่เหมาะสม เอาล่ะ! เราควรพอได้แล้วสำหรับ"มือที่มองไม่เห็น"ในตลาด
ในตลาด…
ในฟิสิกส์ ปรากฎการณ์ของการขโมยมูลค่าที่แท้จริงถูกเรียกว่า "การส่งผ่านโมเมนตัม"...
หรือที่เราเรียกกันเป็นปกติว่า "แรง" และเรากำลังจะเห็นว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น!
สมมติว่าแทนที่จะมีแค่ชายแดนเดียวและการแลกเปลี่ยนเดียว เรามีแถวของหลายประเทศซึ่ง
สามารถแลกเปลี่ยนเงินกับประเทศข้างๆได้
ทีนี้ถ้าผมอยากจะทำการค้ากำไรโดยการซื้อขายแกะในอิหร่าน ผมต้องส่งเงิน
กลับไปที่สหรัฐอเมริกา ซึ่งในกรณีนี้หมายความว่าเงินจะถูกแลกเปลี่ยนตามชายแดนทุกชายแดนตามรายทาง
แต่การเปลี่ยนค่าเงินอย่างต่อเนื่องแบบนี้ดูเหมือนว่ามันกำลัง"วิ่ง"อยู่
มันเหมือนกับการ"การแลกเปลี่ยนอนุภาค" ซึ่งถูกสร้างในอิหร่าน และนำมูลค่าจากอิหร่านมายังสหรัฐอเมริกา
แล้วหายไป!
เดี๋ยวก่อน ลองดูกันอีกทีนะ ซื้อแกะ เอาไปที่อิหร่าน ขายแกะ แลกเงินจากเรียล
เป็นรูปี เป็นไมเรียน เป็นรูปี เป็นปอนด์ เป็นดอลลาร์ เป็นดอลลาร์ และผมก็จบโดยการได้เงิน
มากกว่าตอนที่ซื้อแกะตั้งแต่แรกเริ่ม
นั่นแหละ แบบจำลองมาตรฐานในลานหญ้าหลังบ้าน และหวังว่าตอนนี้
คุณคงจะเห็นว่าทำไมการวัดที่แตกต่างกันในแต่ละที่ส่งผลให้เกิด
ปฎิกิริยาระยะไกลที่ส่งผ่านโดยอนุภาค!
ตัวอย่างเช่น ศักย์แม่เหล็กไฟฟ้าบอกเราว่า ประจุถูกวัดต่างกันในแต่ละที่อย่างไร
มันคือ"อัตราการแลกเปลี่ยนอิเล็กตรอน" และสถานะกระตุ้นของสนามไฟฟ้าก็คือ
ก็คืออนุภาคซึ่งเราเรียกว่าโฟตอน แทนที่จะเป็นการแลกเปลี่ยนมูลค่าเป็นตัวเงิน
โฟตอนเหล่านี้ก็จะแลกเปลี่ยนโมเมนตัมจากอิเล็กตรอนหนึ่งไปยังอีกอิเล็กตรอนหนึ่ง และถ้าเรารวมการแลกเปลี่ยน
โมเมนตัมเหล่านี้ เราก็จะได้สิ่งที่เรียกว่าแรง!
แต่ว่าโฟตอนเป็นอนุภาคของแสงและไม่ใช่"แรง"นี่นา? อืม เมื่อเรามีแนวคิด
ของการแลกเปลี่ยนอนุภาคแล้ว เราไม่จำเป็นต้องมีอิเล็กตรอนที่จุดปลายของการแลกเปลี่ยนอีกต่อไป
เราอาจจะมีอนุภาควิ่งผ่านพื้นที่ว่างเปล่าด้วยตัวของมันเอง นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมโฟตอน
จึงเป็นทั้งอนุภาคที่ส่งแรงแม่เหล็กไฟฟ้า และเป็นทั้งอนุภาคอย่างแท้จริงด้วย!!
จริงๆแล้ว แรงทุกชนิดที่เรารู้จัก เช่นแม่เหล็กไฟฟ้า นิวเคลียร์อย่างเข้ม นิวเคลียร์อย่างอ่อน
แรงโน้มถ่วง ทำงานโดยใช้หลักการเดียวกันนี้เมื่อลงถึงระดับรากฐาน นั่นคือ
"อนุภาคที่ใช้ในการแลกเปลี่ยน"ซึ่งนักฟิสิกส์เรียกอย่างบ้าๆว่า"เกจโบซอน" แลกเปลี่ยนโมเมนตัม
และพลังงานระหว่างสองอนุภาค
และนี่ก็คือสิ่งที่นิวตั้นเคยพยายามจะบอกเมื่อตอนที่เขาบอกว่า "สำหรับทุกแรงกิริยา มันจะมี
แรงปฏิกิริยาที่มีขนาดเท่ากันและทิศตรงกันข้ามเสมอ" เราจะใจดีกับเขาหน่อย เพราะเขามีชีวิตอยู่ในศตวรรษที่สิบเจ็ด
แต่สิ่งที่เขาควรจะพูดคือ "สำหรับทุกปฏิกิริยาเราต้องใช้การแลกเปลี่ยนอนุภาค"
และบางทีถ้าเขารู้เรื่องนี้ เขาอาจจะเปลี่ยนแกะเป็นทองคำก็ได้