Tip:
Highlight text to annotate it
X
Translator: Pattaramas Jantasin Reviewer: Nuchapong Wongrajit
เป็นเวลานาน ในชีวิตของผม
ผมรู้สึกว่า ผมใช้ชีวิตอยู่สองรูปแบบ
ชีวิตส่วนหนึ่งที่ทุกคนมองเห็น
และ อีกส่วนนึงที่มีแค่ผมเท่านั้นที่มองเห็น
และในชีวิตส่วนที่ทุกคนมองเห็นนั้น
ผมเป็นคนที่เป็นเพื่อน
เป็นลูกชาย เป็นพี่ชาย
เป็นนักพูดตลก และเป็นวัยรุ่นคนหนึ่ง
นั่นเป็นชีวิต ที่ทุกคนมองเห็น
ถ้าหากคุณไปถามเพื่อนและครอบครัวของผม ให้อธิบายเกี่ยวกับตัวผม
นั่นเป็นสิ่งที่พวกเขาจะบอกคุณ
และนั่นเป็นส่วนใหญ่ของผม นั่นคือคนที่ผมเป็น
และถ้าหากคุณอยากให้ผมอธิบายตัวเอง
ผมคงจะพูดคล้ายๆกัน
และผมจะไม่โกหก
แต่ผมก็จะไม่บอกความจริงคุณทั้งหมด เช่นกัน
เพราะ ความจริงก็คือ
มันก็แค่ชีวิตที่คนอื่นๆ มองเห็น
ในชีวิตที่มีแต่ผมเท่านั้นที่เห็น คนที่ผมเป็น
คนที่ผมเป็นจริงๆนั้น
คือ ใครสักคนที่ดิ้นรนอย่างมากในการต่อสู้กับโรคซึมเศร้า
ผมเป็นโรคนี้มาได้หกปีแล้ว
และผมก็ยังเป็นอยู่จนทุกวันนี้
เอาล่ะ สำหรับคนที่ไม่เคยสัมผัสกับโรคซึมเศร้า
หรือ ไม่รู้จริงๆ ว่ามันหมายถึงอะไร
พวกเขาอาจจะประหลาดใจที่ได้ยิน
เพราะว่า มันมีความเข้าใจผิดอย่างกว้างขวาง
ที่ว่า โรคซึมเศร้านั้น คือ การเสียใจ
เวลาที่ บางสิ่งในชีวิตคุณผิดพลาด
เวลาที่คุณเลิกกับแฟนสาวของคุณ
เวลาที่คุณสูญเสียคนที่คุณรักไป
เวลาที่คุณไม่ได้งานที่คุณต้องการ
นั่นคือ ความเสียใจ เป็นเรื่องธรรมชาติ
เป็นธรรมชาติของอารมณ์มนุษย์
โรคซึมเศร้าที่แท้จริง ไม่ใช่เพียงแค่ความเสียใจ
เวลาที่ บางสิ่งในชีวิตคุณผิดพลาด
โรคซึมเศร้าที่แท้จริงคือ การเสียใจ
เวลาที่ทุกๆสิ่งในชีวิตคุณกำลังไปถูกทาง
นั่นคือ โรคซึมเศร้าที่แท้จริง และเป็นสิ่งที่ผมกำลังเผชิญอยู่
จากใจจริงเลยนะครับ
มันยากสำหรับผมในการมายืนที่นี่และพูดสิ่งนี้
มันยากสำหรับผม ที่จะพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้
และมันยากสำหรับทุกคนที่จะพูดถึง
มากจนขนาดที่ว่า ไม่มีใครอยากจะพูดถึงมัน
และไม่มีใครพูดถึงโรคซึมเศร้า แต่พวกเราจำเป็นต้องพูด
เพราะ ในตอนนี้ มันเป็นปัญหาที่ใหญ่มากๆ
มันเป็นปัญหาที่ยิ่งใหญ่
แต่เราไม่เห็นมันตามโซเชียลมีเดีย ใช่ไหมล่ะ?
พวกเราไม่เห็นมันตาม Facebook หรือ Twitter
เราไม่เห็นตามข่าวต่างๆ เพราะมันไม่ใช่เรื่องที่มีความสุข
ไม่ใช่เรื่องสนุก ไม่ใช่เรื่องสดใส
ดังนั้น เพราะ เราไม่เห็นมัน เราเลยไม่เห็นความรุนแรงของมัน
แต่ความรุนแรงและหนักหน่วงของโรคนี้
ทุกๆ 30 วินาที
ทุกๆ 30 วินาที ที่ไหนสักแห่ง
มีคนหนึ่งคนบนโลกนี้กำลังคร่าชีวิตของพวกเขาเอง
เพราะโรคซึมเศร้า
มันอาจจะเกิดขึ้นที่สองบล็อคถัดไป หรือสองประเทศถัดไป
หรือ สองทวีปที่ไกลออกไป แต่มันกำลังเกิดขึ้น
และสิ่งนี้กำลังเกิดขึ้นในทุกๆวัน
และพวกเรามีแนวโน้ม ในฐานะสังคมหนึ่ง
ที่จะมองดูปัญหานั้นแล้วพูดว่า "แล้วไงล่ะ?"
แล้วยังไงล่ะ? พวกเรามองที่ปัญหานั้นและพูดว่า "นั่นมันเป็นปัญหาของคุณนี่
นั่นเป็นปัญหาของพวกเขา"
พวกเราพูดว่า พวกเราเสียใจ พวกเราขอโทษ
แต่พวกเราก็พูดว่า "แล้วยังไงล่ะ?" เหมือนกัน
สองปีที่แล้ว มันเป็นปัญหาของผม
เพราะว่า ผมนั่งอยู่ที่ปลายเตียง
ที่ที่ผมเคยนั่งมาเป็นล้านครั้งก่อนที่
ผมคิดจะฆ่าตัวตาย
ผมอยากฆ่าตัวตาย และถ้าคุณมองชีวิตของผมแบบผิวเผิน
คุณจะไม่เห็นเด็กคนที่อยากฆ่าตัวตายคนนั้น
คุณจะมองเห็นเด็กคนที่เป็นกัปตันทีมบาสเก็ตบอล
นักเรียนการละครและการแสดงยอดเยี่ยมของปี
นักเรียนภาษาอังกฤษยอดเยี่ยมแห่งปี
คนหนึ่งซึ่งได้รับการยกย่องอยู่ตลอด
และไปงานปาร์ตี้ทุกงานตลอด
ดังนั้น คุณอาจพูดว่า ผมไม่ได้เป็นโรคซึมเศร้า คุณอาจพูดว่า
ผมไม่คิดจะฆ่าตัวตาย แต่คุณผิดแล้ว
คุณผิดแล้ว เพราะผมนั่งอยู่นี่นั่น ในคืนนั้น
ข้างๆ ขวดยา พร้อมกับดินสอและกระดาษในมือผม
และผมกำลังคิดจะคร่าชีวิตของผมเอง
และเหลืออีกแค่นี้ ผมก็จะลงมือแล้ว
เหลืออีกแค่นี้ ผมก็จะลงมือแล้ว
แต่ผมไม่ได้ทำ นั่นทำให้ผมเป็นหนึ่งคนที่โชคดี
หนึ่งคนจากผู้คนที่เดินออกไประเบียง
มองลงไปข้างล่าง แต่ไม่ได้กระโดด
หนึ่งคนจากคนที่โชคดีทั้งหลายที่รอดชีวิต
ครับ ผมรอดชีวิตมาได้ และนั่นทิ้งให้ผมต้องอยู่กับเรื่องราวของตัวเอง
เรื่องราวของผมก็คือ
ในสี่คำง่ายๆ "ผม ทุกข์ทรมาน จาก โรคซึมเศร้า"
ผมทุกข์ทรมานจากโรคซึมเศร้า
และเป็นเวลายาวนานด้วย ผมคิดว่า
ผมใช้ชีวิตอยู่สองแบบที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
ชีวิตแบบหนึ่งหวาดกลัวชีวิตอีกแบบอยู่เสมอ
ผมกลัวว่า ผู้คนจะมองเห็นตัวตนที่แท้จริงของผม
ว่าผมไม่ได้เป็นเด็กมัธยมปลายเด่นดัง สมบูรณ์แบบ อย่างที่ทุกคนคิด
ภายใต้รอยยิ้มของผม มีการดิ้นรนต่อสู้อยู่
ภายในด้านสว่างของผม ก็มีความมืดอยู่
และภายใต้เสน่ห์ที่ยิ่งใหญ่ของผม ก็แค่เป็นที่ซ่อนของความเจ็บปวดที่ใหญ่ยิ่งกว่า
เห็นไหมครับ ผู้คนบางส่วน อาจกังวลเรื่อง สาวๆ อาจไม่ชอบพวกเขา
บางคนอาจกลัวฉลาม บางคนอาจกลัวความตาย
แต่สำหรับผมแล้ว สำหรับชีวิตส่วนใหญ่ของผม ผมกลัวตัวผมเอง
ผมกลัวความจริง ผมกลัวความซื่อสัตย์ ผมกลัวความอ่อนแอของผม
และความกลัวเหล่านั้นทำให้ผมรู้สึก
ราวกับว่าผมถูกขังอยู่ในมุมๆหนึ่ง
ราวกับว่าผมถูกขังอยู่ในมุมๆ หนึ่ง และที่นั่นมีทางออกเพียงทางเดียว
ดังนั้นผมจึงคิดเกี่ยวกับทางออกนั้นทุกวัน
ผมคิดเรื่องนี้ในทุกๆวัน
และ ผมกำลังซื่อสัตย์กับตัวเอง การยืนที่ตรงนี้
ทำให้ผมคิดถึงมันอีกครั้ง เพราะนั่นคืออาการป่วย
คือ การดิ้นรนพยายาม คือ โรคซึมเศร้า
และโรคซึมเศร้าไม่ใช่โรคอีสุกอีใส
คุณไม่สามารถชนะมันได้ครั้งหนึ่ง และมันจะหายไปตลอดกาล
มันคือสิ่งหนึ่งที่คุณต้องใช้ชีวิตด้วย คือสิ่งที่คุณต้องอยู่กับมัน
คือเพื่อนร่วมห้องที่คุณไม่สามารถไล่ออกไปได้ คือเสียงที่คุณไม่สามารถเพิกเฉย
คือความรู้สึกที่คุณไม่สามารถหลบหนีไปได้
ส่วนที่น่ากลัวที่สุดคือ หลังจากนั้นสักพัก
คุณจะเริ่มชินชา และมันจะกลายเป็นปกติสำหรับคุณ
และสิ่งที่คุณกลัวที่สุด
ไม่ใช่การทุกข์ทรมานจากข้างใน
แต่คือ ตราบาปจากในตัวของคนอื่น
มันคือ ความอับอาย ความน่าละอาย
ใบหน้าที่ไม่ยอมรับที่ปรากฏขึ้นบนหน้าเพื่อน
เสียงกระซิบตามห้องโถงเวลาว่าคุณอ่อนแอ
คำวิจารณ์ว่าคุณน่ะบ้า
สิ่งเหล่านี้กันคุณออกจากการช่วยเหลือ
ทำให้คุณเก็บและซ่อนมันไว้
มันคือตราบาป ที่คุณเก็บและซ่อนมันไว้
และคุณเก็บไว้ข้างใน และซ่อนมัน
ถึงแม้ว่า ทำอย่างนั้นจะทำให้คุณนอนหลับได้ทุกวัน
มันก็ทำให้คุณรู้สึกว่างเปล่า ถึงแม้คุณจะพยายามที่จะเติมเต็มมันเท่าไหร่
คุณซ่อนมันไว้ เพราะตราบาปในสังคมของเรา
เกี่ยวกับเรื่องโรคซึมเศร้าที่มันเป็นจริง
มันจริงมากๆ และถ้าคุณคิดว่า มันไม่ใช่ ลองถามตัวคุณดู
คุณเลือกที่จะเขียนสเตตัสเฟสบุ๊คใหม่อันไหน ระหว่าง
คุณลุกจากเตียงลำบาก
เพราะว่าคุณเจ็บหลัง
หรือ คุณลุกจากเตียงอย่างลำบากในทุกๆเช้า
เพราะคุณเป็นโรคซึมเศร้า
มันคือตราบาป เพราะ โชคไม่ดี
พวกเราอาศัยอยู่ในโลกที่ ถ้าคุณแขนหัก
ทุกๆคน จะวิ่งมาเขียนเฝือกแขน
แต่ถ้าคุณบอกผู้คนว่า คุณเป็นโรคซึมเศร้า ทุกๆคนจะวิ่งไปอีกทางหนึ่ง
นั่นคือ ตราบาป
พวกเรา รับได้มากๆ กับการที่ส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายแตกหัก
ส่วนที่ไม่ใช่สมอง และนั่นคือการเพิกเฉย
คือการเพิกเฉยโดยสิ้นเชิง การเพิกเฉยนั้นได้สร้าง
โลก ที่ไม่เข้าใจ โรคซึมเศร้า
ที่ไม่เข้าใจเรื่อง สุขภาพทางจิต
สำหรับผม นี่เป็นเรื่องตลกร้าย เพราะว่า โรคซึมเศร้า
เป็นหนึ่งในปัญหาที่มีการจดบันทึกไว้อย่างดีที่สุดในโลก
แต่กลับเป็นปัญหาที่มีการพูดถึงน้อยที่สุด
พวกเราแค่ผลักมันไปไว้ข้างๆ วางไว้ตรงมุม
ทำเหมือนมันไม่ได้อยู่ที่นั่น และหวังว่ามันจะรักษาตัวเองได้
มันทำไม่ได้ มันไม่เคยทำได้ และไม่สามารถจะทำได้ด้วย
เพราะว่า นั่นคือความหวังลม ๆ แล้ง ๆ
ความหวังลม ๆ แล้ง ๆ นี้ไม่ใช่การวางแผนในเกม แต่เป็นการผัดวันประกันพรุ่ง
และเราไม่สามารถผัดวันประกันพรุ่งกับสิ่งที่สำคัญเช่นนี้
ก้าวแรกของการแก้ไขปัญหา
คือ ต้องรู้ว่า มีปัญหานั้นอยู่
พวกเรายังไม่ได้ทำด้วยซ้ำ ดังนั้น เราเลยไม่สามารถคาดหวังได้จริงๆ
ว่าจะหาคำตอบได้อย่างไร ในเมื่อเรายังกลัวคำถาม
และผมไม่รู้ว่า คำตอบคืออะไร
ผมหวังว่า จะตอบได้ แต่ผมไม่ -- แต่ผมคิด
ผมคิดว่า มันต้องเริ่มจากตรงนี้แหละ
มันต้องเริ่มจากผม ต้องเริ่มจากพวกคุณ
เริ่มจากผู้คนที่กำลังทรมาน
ที่ซ่อนในเงามืด
พวกเราต้องลุกขึ้นมาพูดและทำลายความเงียบ
พวกเราต้องเป็นคนหนึ่งที่กล้าสู้เพื่อสิ่งที่เราเชื่อ
เพราะว่า สิ่งหนึ่งที่ผมได้ตระหนัก
สิ่งที่ผมมองว่าเป็นปัญหาที่ใหญ่ที่สุด
ไม่ใช่การสร้างโลก
ที่เรากำจัดการเพิกเฉยของคนอื่น
แต่มันเป็นการสร้างโลกที่ที่ เราสอนการยอมรับตัวเอง
สถานที่ที่ ทุกคนโอเคกับการเป็นตัวเอง
เพราะว่า เวลาที่พวกเราซื่อสัตย์
พวกเราเห็นว่า พวกเรานั้นต่างดิ้นรนและทุกข์ทรมาน
แม้ว่าจะด้วยโรคนี้ หรือด้วยอย่างอื่นก็ตาม
พวกเราทั้งหมดรู้ ว่าเจ็บปวดเป็นอย่างไร
พวกเรารู้ว่า มันเป็นอย่างไรกับการที่มีบาดแผลในใจ
และพวกเราทั้งหมดรู้ว่า มันสำคัญแค่ไหนในการรักษา
แต่ตอนนี้ โรคซึมเศร้าเป็นแผลลึกของสังคม
พวกเราพอใจที่จะใช้ผ้าพันแผลพันมันไว้ และทำเหมือนกับมันไม่ได้อยู่ตรงนั้น
แต่มันยังอยู่ตรงนั้น มันอยู่ตรงนั้น และคุณรู้ไหม มันโอเค
โรคซึมเศร้านั้นโอเค ถ้าหากคุณกำลังเผชิญอยู่ รู้ไว้ว่า คุณไม่เป็นไร
และรู้ไว้ว่า คุณป่วย คุณไม่ได้อ่อนแอ
นี่คือปัญหา ไม่ใช่ตัวตน
เพราะ เวลาที่คุณผ่านความกลัว การเยาะเย้ย
การตัดสิน และตราบาปของผู้อื่นไปได้
คุณจะมองเห็นโรคซึมเศร้าในแบบที่มันเป็น
และมันเป็นแค่ ส่วนหนึ่งของชีวิต
เพียงส่วนหนึ่งของชีวิต มากเท่าที่ผมเกลียด
มากเท่าที่ผมเกลียดสถานที่บางแห่ง
บางช่วงของชีวิตผม โรคซึมเศร้าได้ฉุดผมลง
แต่ในหลาย ๆ แง่ ผมก็รู้สึกขอบคุณมัน
เพราะว่า ใช่แล้วล่ะ มันผลักผมสู่หุบเขา
แต่ก็แสดงให้ผมเห็นว่า มันมียอดเขานะ
ใช่แล้ว มันลากผมลงไปสู่ความมืดมิด
แต่ก็เตือนผมว่า ยังมีแสงสว่างอยู่
บาดแผลของผม เหนือสื่งอื่นใดตลอด 19 ปีบนโลกใบนี้
ได้ให้มุมมองใหม่ๆกับผม และความเจ็บปวด
ความเจ็บปวดได้ทำให้ผมรู้จักมีความหวัง
การมีความหวัง มีศรัทธา ศรัทธาในตัวเอง
ศรัทธาต่อผู้อื่น ศรัทธาที่ว่ามันจะดีขึ้น
ที่พวกเราสามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งนี้ได้ พวกเราสามารถออกมาพูด
ออกมาพูดและตอบโต้ต่อความเพิกเฉย
ตอบโต้ต่อการไม่ยอมรับความคิดที่แตกต่าง
และเหนือสิ่งอื่นใด
เรียนรู้ที่จะรักตัวเราเอง
เรียนรู้ที่จะยอมรับตัวเรา ในสิ่งที่เราเป็น
คนที่พวกเราเป็น ไม่ใช่คนที่โลกอยากให้เป็น
เพราะ โลกที่ผมเชื่อ คือ
ที่ที่โอบกอดแสงสว่างในตัวคุณ แต่ไม่เพิกเฉยต่อด้านมืดของคุณ
โลกที่ผมเชื่อ คือ ที่ที่ พวกเราถูกวัด
โดยความสามารถในการเอาชนะอุปสรรค ไม่ใช่หลบเลี่ยงมัน
โลกที่ผมเชื่อคือ โลกที่ผมสามารถมองตาบางคน
และพูดว่า "ผมกำลังเผชิญกับนรกนั้น"
และพวกเขามองกลับมาที่ผมและตอบว่า "ผมด้วย" และนั่นไม่เป็นไร
มันไม่เป็นไร เพราะ โรคซึมเศร้านั้นโอเค พวกเราเป็นคน
พวกเราเป็นคน และเวลาเราดิ้นรน ทรมาน
พวกเราเลือดออก พวกเราร้องไห้ และถ้าคุณคิดว่า ความแข็งแกร่งที่แท้จริง
คือ การที่ไม่แสดงความอ่อนแอออกมาให้เห็น ผมอยู่ตรงนี้
เพื่อที่จะบอกว่า พวกคุณคิดผิดแล้ว
พวกคุณผิดแล้ว เพราะ มันคือสิ่งตรงข้ามต่างหาก
พวกเราเป็นคน พวกเรามีปัญหา
พวกเราไม่ได้สมบูรณ์แบบ และนั่นไม่เป็นไร
ดังนั้น พวกเราจึงต้องหยุดการเพิกเฉย
หยุดการไม่ยอมรับความเห็นที่ต่าง หยุดตราบาป
หยุดความเงียบ และพวกเราต้องกำจัดข้อห้ามต่างๆออกไป
มองไปที่ความจริง และเริ่มพูดถึงมัน
เพราะ ทางเดียวเท่านั้นที่พวกเราจะชนะปัญหา
ที่ผู้คนต่างต่อสู้อย่างโดดเดียวได้
คือ เข้มแข็งไปด้วยกัน
การเข้มแข็งไปด้วยกัน
ผมเชื่อว่า พวกเราสามารถทำได้
ผมเชื่อว่า พวกเราสามารถทำได้ ขอบคุณทุกคนมากครับ
นี่คือฝันที่เป็นจริง ขอบคุณครับ (เสียงปรบมือ)
ขอบคุณครับ (เสียงปรบมือ)