Tip:
Highlight text to annotate it
X
ฌานนานาชาติ ๖ วัน
กรุงเทพฯ ประเทศไทย วันที่ ๒๗ ธ.ค. ๒๕๔๒ - ๑ ม.ค. ๒๕๔๓
เหนือความว่างของการมีตัวตน วันที่ ๒๗ และ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๔๒
อรุณสวัสดิ์!
เอาล่ะ ฉันขอโทษด้วย ที่มาสาย
เธอก็สายเหมือนกัน! เธอนอนดึก เธอก็ตื่นสาย
แขกผู้มาเยือนทั้งหมด อยู่ข้างบนนั้นหรือเปล่า? ใช่ไหม?
ข้างบนนั้น ใช่แขกผู้มาเยือนหรือเปล่า? เปล่า!
โอ้ พระเจ้า! ที่นี่อย่างกับโรงหนังเลย
เอาล่ะ เธอมีคำถามอะไรไหม?
ไม่มีหรือ? มีใครไหม? เอ้า ยิงมาเลย!
ไม่มีหรือ? ไม่มีคำถามหรือ? จริงน่ะ? ไม่มีรึ?
ถ้าอย่างนั้น ฉันก็ไปได้แล้ว ไปพบชาวเอาหลัก
จริงน่ะ ไม่มีคำถามหรือ? อย่างนั้นรึ?
เหอ ไม่มีใช่ไหม? จริงรึ เธอไม่มีคำถามอะไรหรือ?
เป็นความจริงหรือ? ๆ
เอาล่ะ ให้นั่งอยู่ที่นั่น!
ฉันจะต้องไปทางนั้น เธอจะได้มองฉันได้
มีคำถามอะไรไหม? ยังไม่มีอีกรึ?
คนเหล่านี้หรือ? ใช่แล้ว ดีล่ะ ยิงมาเลย!
มันเป็นประสบการณ์ครั้งหนึ่ง ที่ เกิดขึ้นกับฉันหลายปีมาแล้ว ๑๐ ปีมาแล้ว
สมัยนั้น ฉันยังไม่รู้จักท่าน แต่มันเหมือนกับว่า
เคยมีอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง ที่ฉันรู้สึกสบายมาก
ฉันใช้ชีวิตเหมือนอาศัยอยู่บนก้อนเมฆ (เข้าใจ!)
และมันกินเวลานานถึง ๑ เดือนครึ่ง
และฉันอธิบายไม่ถูก
ฉันเป็นอิสระมาก ไม่สามารถรู้สึกโกรธได้
ก่อนช่วงเวลานั้น ฉันอาจจะ… ฉันสามารถ เศร้าหรืออะไรอย่างนั้นได้ (เข้าใจ)
แต่ในช่วงเวลานี้นั้น ฉันไม่อาจเศร้าได้ (โอ เข้าใจ)
และใครก็ตามที่จะร้องไห้ ฉันก็จะบอกว่า
“ทำไมนะ? ทำไมคนจึงไม่เข้าใจว่า พวกเขามีความสุขได้?”
คราวนี้คำถามของฉันคือ ฉันไปอยู่ ที่ไหนมา? ฉันไปอยู่ที่นั่นได้อย่างไร?
และทำไมฉันจึงไม่มีช่องทางใด ที่จะเข้าใจ ความรู้สึกธรรมดา ๆ ของมนุษย์ได้?
และฉันจะเข้าไปที่นั่นอีกครั้งได้อย่างไร?
โอ้ คำถามของเธอก็คือ อย่างไร ทำไม เมื่อไร ที่ไหน อะไร ใคร สินะ! เอาล่ะ
บางทีเวลา เธอง่วนอยู่กับอะไรบางอย่างมาก ๆ
เช่น เธอตั้งสมาธิอยู่กับอะไรอย่างหนึ่ง อย่างเอาจริงเอาจังมาก
เหตุการณ์เช่นนี้ก็เกิดขึ้นได้เช่นกัน
มันเป็นการทำสมาธิอย่างหนึ่ง เข้าใจไหม?
แล้วจากนั้น เธอก็จะ เข้าสู่มิติแห่งการมีตัวตนอยู่ที่ต่างไป
ร่างกายของเธออยู่ที่นี่ แต่ความรู้สึกของเธอไม่ได้อยู่
เธอเข้าใจไหม? ใช่แล้ว
ด้วยเหตุนี้ เธอจึงไม่รู้สึก สิ่งที่ผู้อื่นรู้สึก
สิ่งนี้เกิดขึ้นกับ ผู้บำเพ็ญทางจิตวิญญาณจำนวนมาก ใช่
แม้กระทั่งกับฉันเอง
จริง ๆ แล้ว คนมักจะพูดกันว่า
มันเป็นการยากยิ่ง ที่จะตั้งสมาธิเพื่อไปสวรรค์
ส่วนสำหรับฉัน มันเป็นยาก ที่จะตั้งสมาธิเพื่ออยู่ที่นี่
ดังนั้น ฉันจะต้องคอยหาอะไรทำ
เพื่อไม่ให้ว่าง เพื่อจะได้คอยดึงตัวเองไว้ที่นี่ ใช่ไหม?
มันเป็นส่วนหนึ่งของการละเล่นนี้
ดังนั้น จงดีใจ ที่เกิดประสบการณ์นี้ขึ้น กับเธอ อย่างน้อยก็ครั้งหนึ่ง
ประสบการณ์ประเภทนี้… เขาเรียกมันว่า “ความว่างเปล่าของการมีตัวตน”
คือว่า มีคนจำนวนมาก ชอบประสบการณ์เช่นนั้น
แต่แล้ว เราก็จะต้องกลับลงมาอีก เพราะเราอยู่ที่นี่ นะ
มิฉะนั้น บางทีคนจะคิดว่า เธอสติไม่ดี
มีคนจำนวนมาก บังเอิญเข้าไปอยู่ในสภาวะนั้น
และไม่สามารถ ทำอะไร ๆ เป็นปกติในโลกนี้ได้
เธอยังดี
บางคนเข้าสมาธิลึกมาก
จนพวกเขาไม่สามารถ ทำอะไร ๆ เป็นปกติในโลกนี้ได้ ใช่!
อา ยังมีนักปราชญ์อยู่ผู้หนึ่ง ในประเทศอินเดีย ท่านชื่อรามกฤษณะ
ท่านอยู่ในสมาธิตลอดเวลา เป็นเวลานานมาก ๆ
และท่านกระทั่งไม่รับประทานอาหาร ท่านไม่สามารถดื่มได้ด้วยซ้ำ
ท่านไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลย
ดังนั้น เพื่อนคนหนึ่งของท่าน จึงต้องบังคับท่านรับประทาน
หรือทุบตีท่านเป็นบางครั้ง เพื่อท่านจะได้ตื่นมาสู่…
สู่โลกอีกครั้ง สู่ความมีตัวตนทางวัตถุอีกครั้ง
ฉันหวังว่า เธอจะไม่ลงลึกไปในนั้น จนฉันต้องทุบตีเธอ
(เหอ) ตอนนั้น ฉันปกติมาก ฉัน…
เปล่า ๆ ๆ ดีแล้ว ๆ ใช่ ๆ ๆ ๆ !
มันเป็นสภาวะของการมี ๒ ร่าง การมีตัวตนเป็น ๒ อย่าง ในเวลาเดียวกัน เข้าใจไหม?
เธอไปอยู่ในอีกมิติหนึ่ง และอยู่ในโลกนี้ในเวลาเดียวกัน
มีผู้บำเพ็ญจำนวนมาก มีลักษณะการมีตัวตนแบบนี้
เธอเข้าใจไหม? เข้าใจ!
ฮ๊า ด้วยเหตุนี้ คนจึงกล่าวกันว่า “รับประทาน นอน ทำงาน ต่างคือเซน”
นั่นคือในสภาวะนั้นนั่นเอง เข้าใจไหม?
แต่คนจำนวนมาก ที่ไม่บำเพ็ญทางจิตวิญญาณ
ไม่เข้าใจเรื่องนี้
พวกเขาไม่เข้าใจ ด้วยเหตุนี้ เราจึงเก็บเรื่องนี้เงียบไว้
เข้าใจไหม? ใช่แล้ว!
เอาล่ะ เธอเข้าใจแล้วหรือยัง? (ค่ะ เข้าใจแล้ว)
เธออยากกลับไปที่นั่นไหม? (ไม่… อยากสิ แน่นอน)
ไม่ต้องหรอก ไม่จำเป็น ให้อยู่ที่นี่ต่อไป มันดีแล้ว!
ให้อยู่ที่นี่ต่อไปกับฉัน
แต่… ฉันสงสัยว่า เมื่อฉันอยู่ที่นั่น
ในช่องทางนี้ ฉันไม่มีความรู้สึกอย่างมนุษย์
หากพระเจ้าเป็นอย่างนั้น ฉันคิดว่า มัน…
ไม่ใช่หรอก นั่นไม่ใช่สภาวะสูงที่สุด ฉันไม่ได้บอกว่า นั่นเป็นสภาวะที่สูงที่สุด
ใช่ ๆ ๆ สภาวะที่สูงที่สุดนั้น เป็นปกติธรรมดามาก เข้าใจไหม?
จริง ๆ แล้ว ผู้บำเพ็ญทางจิตวิญญาณ เป็นมนุษย์ที่เป็นปกติที่สุด เข้าใจไหม
คนส่วนใหญ่ที่ไม่บำเพ็ญนั้น
ดูเหมือนมนุษย์ แต่ไม่เป็นปกติ
ด้วยเหตุนี้ พระเยซูจึงตรัสว่า “จงปล่อยให้คนตายฝังคนตาย” ใช่ไหม?
ดังนั้น หลังจากเธอถูกปลุกตื่นแล้ว หลังจากเธอตื่นขึ้นแล้ว ณ การประทับจิต
เธอจะเริ่มมีชีวิต เริ่มเกิดขึ้นมาใหม่
แล้วเธอจะเติบโตขึ้น และ กลายเป็นมนุษย์ที่เป็นปกติอย่างแท้จริง
รวมทั้งเป็นนักบุญในเวลาเดียวกัน เข้าใจไหม?
เธอจะทำอะไร ๆ ได้ในทั้ง ๒ โลก แต่เธอจะรู้สึกเป็นปกติ
เธอสามารถ รู้สึกถึงความมีตัวตนที่เป็นมนุษย์ได้ เธอสามารถรู้สึกความรู้สึกของมนุษย์ได้
แต่เธอก็เป็นนักบุญในเวลาเดียวกัน
เธอมีตัวตนอย่างสวรรค์และอย่างมนุษย์ ในเวลาเดียวกัน
เห็นไหมว่า ในสภาวะของเธอนั้น เธอ สูญเสียการมีตัวตนอย่างมนุษย์ไป ใช่แล้ว
และเธอได้รับแต่การมีตัวตนอย่างสวรรค์
และนั่นก็ยังไม่สมดุล ในขณะที่เราอยู่ที่นี่ ใช่!
ดังนั้น เราจะต้องเป็นทั้ง ๒ อย่าง ดีแล้ว!
แต่สภาวะอย่างนั้น ผู้บำเพ็ญทางจิตวิญ- ญาณจำนวนมาก จะต้องผ่านสภาวะนั้น
แล้วพวกเขาก็จะต้อง กลับมาสู่สภาวะปกติอีกครั้ง
ในระหว่างที่เป็นนักบุญ เข้าใจไหมว่า ฉันหมายความว่าอย่างไร?
เอาล่ะ คนส่วนใหญ่ ก่อนบำเพ็ญ จะเป็นเพียงมนุษย์
ฉันหมายความว่า ไม่ใช่มนุษย์ที่เป็นปกติ
แต่ พวกเขามีตัวตนอยู่เฉพาะในมิติทางวัตถุ
พวกเขาไม่ทราบอะไร เกี่ยวกับโลกทางจิตวิญญาณ
ดังนั้น พวกเขาจะรู้สึกได้ทุกอย่าง ที่เกี่ยวเนื่องกับมนุษย์
แต่ไม่รู้สึกอะไรเกี่ยวกับสวรรค์ เข้าใจไหม?
แล้วหลังจากนั้น หลังจากบำเพ็ญไป สักระยะ พวกเขาจะรู้สึกแต่สวรรค์
รู้ไหม เหมือนอย่างที่เธอรู้สึก
พวกเขาจะไม่รู้สึกถึงตัวตนที่เป็นมนุษย์ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะอยู่ที่นี่
จากนั้น เมื่อพวกเขาขึ้นไปสูงกว่านั้น
พวกเขาจะมีทั้งตัวตนที่รู้สึกอย่างมนุษย์ และตัวตนอย่างสวรรค์
และนั่นคือสภาวะที่สมบูรณ์แบบ เอาล่ะ
ฉันขอถามอย่างอื่นได้ไหม? (ได้)
คือว่า ในวีดิทัศน์ม้วนหนึ่งของท่าน ฉันได้ยินท่านเอ่ยถึงพระเจ้า
ว่า เมื่อผู้คนเศร้า หรือขอ หรือสวดภาวนาขออะไรบางอย่าง
พระเจ้าอาจไม่เข้าใจพวกเขา จนกว่า พวกเขาจะสวดภาวนาอย่างตั้งใจมาก
แล้วฉันก็บอกว่า บางทีสภาวะที่ฉันมีนั้น
คล้ายกับพระเจ้าอยู่เล็กน้อยว่า พวกเขาไม่เข้าใจความรู้สึกมนุษย์
มันเป็นอย่างนี้หรือเปล่า?
เปล่า! พระเจ้าต่างไปจากนั้น นั่นยังไม่ใช่การมีตัวตนสูงสุด
แต่ก็ใช่ มันใกล้เคียง เข้าใจไหม! มันใกล้เคียง
อย่างไรก็ตาม ฉันไม่ได้บอกว่า
“เมื่อเธอสวดภาวนา พระเจ้าไม่เข้าใจ”
พระองค์เข้าใจ ก่อนเธอจะสวดภาวนาเสียอีก
มันเป็นเพียงว่า เธอจะไม่เข้าใจ ถ้าเธอไม่สวดภาวนาอย่างตั้งใจเพียงพอ
นั่นหมายความว่า เธอไม่ลืมตนเองไป เวลาเธอสวดภาวนา
ดังนั้น เธอก็จะไม่ได้ยินคำตอบ เข้าใจไหม?
เธอสวดภาวนา แต่ในเวลาเดียวกัน เธอก็คิดถึงเรื่องอื่น ๆ มากมายหลายเรื่อง
ดังนั้น เมื่อพระเจ้าตอบเธอ เธอก็จะรับฟังไม่ได้
ก็เหมือนบางที มันเกิดขึ้นกับเธอ เมื่อเธอเรียกใครสักคน
หรือใครคนหนึ่งเรียกเธอ และพวกเขาคุยกับเธอ
“เอ้อ เธอรู้อะไรไหม? นี่ ๆ ๆ และก็นั่น”
แต่แล้ว ในเวลาเดียวกัน เธอมองดูเด็ก ๆ หรือสามี หรือโทรทัศน์อยู่
แล้วเธอก็บอกว่า “อ้อ ใช่ ๆ … อะไร? ๆ เธอบอกว่าอะไรนะ?”
แล้วหล่อนก็เล่าอีกครั้ง
แล้วเธอก็ยังไม่สามารถตั้งสมาธิ กับสิ่งที่หล่อนเล่าได้
แล้วเธอก็บอกว่า “ช่วยเล่าให้ฟังอีกครั้งเถิด”
จำได้ไหม? บางทีมันจะเป็นอย่างนั้น
ถึงแม้ว่าเราอยากได้ยินคนคนนั้น
แต่เราเสียสมาธิของเราไป เข้าใจไหม?
ดังนั้น มันเป็นเรา ไม่ใช่พระเจ้า
พระเจ้าเข้าใจเสมอ
และพระองค์เข้าใจทุกอย่าง ก่อนเราจะถามด้วยซ้ำไป
มันเป็นเราเอง ที่ไม่สามารถเข้าใจพระเจ้าได้
ด้วยเหตุนี้ เราจึงต้องบำเพ็ญสมาธิแบบนี้
เพื่อติดต่อกับพระเจ้า และเพื่อจะได้ยินพระองค์ได้
หือ มีอะไรอื่นอีกไหม? (ขอบคุณค่ะ)
เป็นคำถามที่ดี ๆ
เอาล่ะ พวกผู้ชายหนุ่ม ๆ มีอะไรไหม? มีอะไรเกิดขึ้นกับพวกเธอไหม?
ได้ ถามมาเลย
นี่ สำหรับเธอ
อย่ากลับไปสู่สภาวะนั้นอีก จงไปให้ดีกว่า ไปให้สูงกว่า
เชิญ คุณผู้ชาย
อยากให้ท่านพูดถึงอาจารย์ภายใน
และว่า เราจะติดต่อกับอาจารย์ภายใน
และ สร้างความสัมพันธ์กับท่านได้อย่างไร?
ได้ ทำได้โดยการทำสมาธิ
อาจารย์ภายในเป็นตัวตนที่สูงส่งกว่า ใช่
อยู่เหนือมิติแห่งการมีตัวตนทางวัตถุนี้
แต่บางทีอาจารย์ก็ปรากฏอยู่ ในความมีตัวตนทางวัตถุนี้
ในเวลานั้น
เธอสามารถติดต่อกับอาจารย์ได้โดยตรง โดยผ่านสำนักทางวัตถุนั้น ใช่
ด้วยเหตุนี้ เมื่อเธอเข้าภายใน
เธอจะเห็นอาจารย์ เหมือนกับที่เห็นอยู่ภายนอก
เพราะอาจารย์ผู้นั้น มีทั้งตัวตนทางวัตถุและตัวตนแห่งสวรรค์
ฉันเคยบอกเธอแล้วว่า ครูนั้นมีอยู่ ๒ ประเภท
ประเภทแรก อยู่แต่ในมิติทางวัตถุ
เพราะว่าเขายังจำ ตัวตนอันสูงส่งกว่าของตนเองไม่ได้ ใช่
เขาจึงไม่สามารถนำเธอไปสู่มิติที่สูงกว่า
ซึ่งเขายังไม่ได้กลับไปได้ เข้าใจไหม?
และยังมีอาจารย์อื่น ๆ อีก
อาจารย์ต่าง ๆ ในอดีต รวมทั้ง บรรดาอาจารย์ผู้ไม่เคยไปจากสวรรค์เลย
ผู้อยู่ที่นั่นตลอดมา เข้าใจไหม?
อาจารย์เหล่านี้ เราเรียกว่า “อาจารย์ภายใน” ใช่
“ภายใน” มีไว้เพื่อ หมายความตรงกันข้ามกับ “ภายนอก”
ตัวอย่างเช่น ที่นี่ เธอเรียกฉันว่าอาจารย์
ฉันไม่ทราบว่า ฉันควรค่าให้เรียกอย่างนั้นหรือเปล่า แต่เนื่องจาก… เอาล่ะ ดีแล้ว ทำไมไม่ล่ะ?
มันเป็นชื่อที่ดี
เอาล่ะ ที่นี้เธอเรียกฉันว่าอาจารย์ ฉันเป็นเพียงอาจารย์ภายนอก เข้าใจไหม?
และเมื่อเธอเข้าสู่สมาธิลึก เข้าสมาธิ
เธอจะเห็น อาจารย์ปรากฏในลักษณะเดียวกัน
สวยกว่า ๆ อ่อนโยนกว่า ไม่เคยดุใครเลย
ใช่ บางครั้ง ใช่แล้ว
เธอจะเห็นลักษณะเดียวกันนี้ในนิมิต ของตาของจิตคิดของเธอ
ณ เวลานั้น เธอจะบอกว่า เธอเห็นอาจารย์ภายใน เข้าใจไหม?
แต่ปกติแล้ว ถ้าอาจารย์ไม่ได้ปรากฏ มีตัวตนอยู่ภายในอาณาจักรทางวัตถุ
เธอก็ไม่จำเป็นต้องบอกว่า นั่นคืออาจารย์ภายใน
เธอจะบอกว่า “ฉันเห็นพระเยซู ฉันเห็นท่านเหลาจื่อ ฉันเห็นพระพุทธเจ้า”
เราต่างก็ทราบว่า พวกท่านจากไปเรียบร้อยแล้ว
และเราต่างก็ทราบว่า เธอเห็นพระองค์ในมิติที่สูงกว่า
เธอเข้าใจไหม?
ดังนั้น เมื่อเธอพูดว่า “อาจารย์ภายใน”
นั่นหมายถึงผู้ที่มีลักษณะปรากฏภายนอก ในการมีตัวตนทางวัตถุด้วย
เข้าใจไหม? และเพื่อจะเห็นอาจารย์ภายใน
บางทีเธอสามารถเห็นพระองค์ได้ ด้วยบุญสัมพันธ์
โดยที่ไม่เคยเห็นพระองค์เลยก็ได้ด้วยซ้ำ เข้าใจไหม?
แล้วเธอจะทราบว่า พระองค์เป็นอาจารย์ภายใน
เฉพาะเมื่อเธอพบอาจารย์ท่านนั้น ที่เป็นกายเนื้อ ที่เหมือนกันทุกอย่าง
แล้วเธอก็จะบอกว่า “อา ฉันเคยเห็น นิรมาณกายภายในของท่านแล้ว” ใช่
เพื่อจะได้เห็นนิรมาณกายภายในนี้นั้น
ให้เธอทำสมาธิให้ดี และเข้าสู่ระดับนั้น
อาจารย์อยู่ทุกหนทุกแห่ง ตั้งแต่แดนวัตถุถึงแดนอสูร
และแดนภูมิปัญญา และแดนแห่งการสร้างสรรค์
และแดนแห่งความว่างเปล่า
และจากนั้นก็ มิติที่ ๕ แห่งบ้านเหล่าอาจารย์
แล้วจากนั้น สูงขึ้นไป และสูงขึ้นไป ๆ
ดังนั้น มันจึงขึ้นอยู่กับระดับของเธอ
เธอจะพบอาจารย์ภายใน ในระดับที่ต่างไปนั้น
ถึงแม้ว่าอาจารย์จะอยู่ตลอดไป มีตัวตนไม่รู้จบ
ทุก ๆ ที่และที่ใดก็ได้
เข้าใจไหม? นั่นคืออาจารย์ภายใน
ดังนั้น พูดง่าย ๆ ได้ว่า ให้คอยทำสมาธิต่อไปหรือ?
ใช่ แค่ทำสมาธิให้มากขึ้น ใช่
แต่ว่าอย่างนี้นะ เธอไม่ต้อง ภาวนาขออะไรต่าง ๆ เหล่านี้นะ
แค่ทำสมาธิไป แล้ววันหนึ่ง อาจารย์ก็จะมาเยี่ยมเธอ หืม
มันมีกล่าวไว้ว่า เมื่อศิษย์พร้อม อาจารย์จะปรากฏ
คำกล่าวนี้เป็นจริงสำหรับภายในด้วย
มีอะไรอื่นอีกไหม? มีคำถามอื่นอีกไหม? หืม?
เชิญ คุณผู้ชาย เธอ ชาวอิสลาม
สวัสดีครับ ท่านอาจารย์ (สวัสดี!)
แต่ก่อน เมื่อผมทำสมาธิ…
ผมหมายความว่า ผมมีประสบการณ์ดีเยี่ยมตลอดมา
และผมรู้สึกดีและเยี่ยมมากจริง ๆ
แต่… ผมไม่มีคำถามจริง ๆ
แต่เดี๋ยวนี้ เวลาผมทำสมาธิ ผมจำอะไรไม่ได้เลย
แต่เวลาผมกลับมา ผมจะรู้สึกดีมากภายใน
เธอรู้สึกดีหรือไม่? (ครับ ผมรู้สึกเยี่ยมมากเลยภายใน)
แต่เธอลืม (ผมลืมหมดทุกสิ่งทุกอย่าง)
ลืมสิ่งที่เธอเห็นหรือ? (ครับ)
เอาล่ะ นั่นไม่เลวเลย นั่นหมายความว่า เธอพัฒนาขึ้นแล้ว
เธอขึ้นไปสูงกว่าจิตคิดเล็กน้อยแล้ว
ดังนั้น จิตคิดจึงจำไม่ได้ เข้าใจไหม? (ครับ เข้าใจ)
บางทีเธอจะจำได้ ใช่
บางครั้งจิตคิดไม่มีความสามารถ จะบันทึกทั้งหมดนั้นไว้ให้เธอได้ (เข้าใจ)
แต่เธอรู้สึกดีขึ้น ๆ ตลอดเวลาใช่ไหม? (ใช่ครับ เป็นอย่างนั้น ใช่แล้ว)
นั่นหมายความว่า เธอพัฒนาขึ้น เข้าใจไหม? (ครับ เข้าใจ)
ขอบคุณครับ (ใช่)
เราจะต้องปล่อยวาง แม้กระทั่งนิมิตทั้งหลาย ใช่
เพื่อที่จะไร้ตน ไร้อัตตา ใช่
ทีละขั้น ๆ เราจะกำจัดอัตตาอันยากจะจับเค้าได้ไป
เพื่อจะได้เป็นหนึ่งกับ "สิ่งนั้น" (ผมเข้าใจ) นั่นคือทุกสิ่ง
เพื่อเป็น ๑ กับทุกสิ่ง เธอจะต้องละตัวเองไป
ดังนั้น เธอจึงไม่มีใครนั่งอยู่ตรงนั้นให้เห็นนิมิต
นอกจากว่า มันจำเป็นจริง ๆ เข้าใจไหม? ใช่
แต่มันยังไม่จบอยู่แค่นั้น ๆ เธอยังจะต้องบำเพ็ญต่อไป
อะไรหรือ? ได้เลย แน่นอน คุณผู้หญิง ใช่แล้ว มานี่ ตรงนี้ ๆ
ใช่แล้ว มันจะมี… ใช่แล้ว ใช่… มีคน
ที่หล่อนอยากจะบอกคือ เวลาหล่อนทำสมาธิ
สมองไม่สามารถคล้ายกับ ไม่สามารถ ให้คำอธิบายได้ว่า หล่อนเห็นอะไร (อือฮึ)
ในนิมิต (ในนิมิต) ใช่แล้ว
ถึงแม้ว่าเราทุกคนเสมอเหมือนกันหมด ใช่
สมองเราบางคนโดยส่วนบุคคลนั้น ไม่เหมือนกัน เข้าใจไหม?
ด้วยเหตุนี้ ตัวอย่างเช่น บางคนเรียนเร็ว
บางคนเรียนช้า ใช่ไหม?
และในเรื่องความทรงจำทางจิตวิญญาณ ก็เป็นเช่นนี้
บางครั้งสมองมีความสามารถที่จะยืดเข้า ไปสู่แดนจิตวิญญาณได้มากกว่าเล็กน้อย
เพื่อบันทึกนิมิต และนำมันกลับมา
สมองบางสมองทำไม่ได้ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า เธอไม่มีนิมิต
ไม่ว่าใครก็ตาม ที่ได้ประทับจิต สู่วิถีกวนอิมนี้นั้น มีแสงและเสียง
ด้วยเหตุนี้ บางทีเธอตื่นขึ้นมาในเวลากลางคืน
หรือเมื่อสามีเตะเธอ
เธอจะตื่นขึ้นมาอย่างกะทันหัน ในห้องที่เต็มไปด้วยแสง
และมันจะอยู่อย่างนั้นสัก ๑ นาที หรืออะไรอย่างนั้น
แล้วเธอก็จะทราบว่า เธอไปไหนสักแห่งมา
แต่ว่าเดิม เธอไม่ทราบ!
และหากเธอไม่ถูกเตะจนตื่น โดยสามีหรือลูกชายเธอ
หรือด้วยเสียงอะไรก็ตามในเวลานั้น
เธอก็จะไม่ทราบว่า เธออยู่ในแสง
เข้าใจไหม? เข้าใจ โอเคไหม?
บางครั้งเธอตื่นขึ้นมา…
โอ มันไม่ใช่แค่ว่า อยู่ในแสง
แต่เธอตื่นขึ้นมา รู้สึกได้ว่า แรงสั่นสะเทือนของกวนอิมยังอยู่ที่นั่น
ราวกับว่า เธอได้ลงมาจากที่ไหนสักแห่ง
หรือบางทีเธอรู้สึกว่า เธอร่วงลงมา รู้ไหม อย่างรวดเร็ว ใช่แล้ว
และมันกระตุกให้เธอตื่นขึ้นมา
นี่คือนิมิตภายในและประสบการณ์ภายใน
ที่จิตคิด ไม่สามารถบันทึกไว้ให้เธอได้เสมอไป หืม
หรือจิตคิดได้บันทึกไว้แล้ว
แต่เมื่อเธอตื่นขึ้นมา เธอก็มีธุระยุ่ง เข้าใจไหม?
เธอไม่ได้คิดเรื่องทางจิตวิญญาณแล้ว
เธอต้องทำอะไร ๆ นับพันอย่างในบ้าน
และพบผู้คนเป็นพันนอกบ้าน
และยังมีธุรกิจของเธอ และลูก ๆ ของเธอ และสามีของเธอ
แม่เธอ แม่สามีเธอ ฯลฯ ๆ ๆ …
ทุกคนต้องการความสนใจจากเธอ
จนเธอไม่มีแม้แต่เวลาจะสุขใจกับอะไร ที่ถูกบันทึกไว้ เข้าใจไหม?
ก็เหมือนเธอมีแผ่นซีดีอยู่ในบ้าน แต่เธอไม่มีเวลาจะฟัง
เธอก็เลยไม่สามารถฟังเพลงเหล่านั้นได้ หืม?
แต่กระนั้น หากเธอ เห็นชีวิตของเธอพัฒนาอยู่ตลอดเวลา
เห็นความรักของเธอขยายขึ้น
เห็นความสุขของเธอ มีปริมาณมากขึ้น ๆ ทุก ๆ วันเสมอ
นั่นก็คือผลพวงทางจิตวิญญาณ เข้าใจไหม?
เมื่อนั้น เธอก็จะทราบอย่างแน่ชัด
ว่า ทุกคืน เธอเดินทางไปสู่มิติที่สูงกว่ากับอาจารย์
ไม่ว่าเธอจะจำได้หรือไม่
มิฉะนั้น บุคลิกภาพของเธอ จะเปลี่ยนไปได้อย่างไร?
ความรักของเธอ จะงอกเงยอย่างนั้นได้อย่างไร?
กระทั่งปัญญาของเธอจะเติบโตทุก ๆ วัน ได้อย่างไร ใช่ไหม? เอาล่ะ!
กลับไปเรื่องของผู้หญิงคนนั้น มันหมายความว่า
หากเราจิตใจเหม่อลอย และขี้ลืมอยู่เล็กน้อยเหมือนฉัน
จะทำให้ใช้เวลาเรียนการทำสมาธิ นานขึ้นหรือไม่?
หากเธอเป็นคนสมองกระจัดกระจายอยู่ สักนิด หรือขี้ลืมอยู่สักหน่อย เหมือนฉัน
เธอหมายความว่า เพราะทำสมาธิ เธอจึงหลงลืมกว่าเดิมหรือ?
เปล่า ฉันเป็นคนขี้ลืม และฉัน เป็นคนสมองกระจัดกระจายอยู่เล็กน้อย
อย่างนั้นหรือ? ถ้าอย่างนั้น อะไรคือ…? เป็นเหมือนหล่อนหรือ?
โอ เธอหมายความว่า เธอจำนิมิตไม่ได้ เมื่อเธอตื่นขึ้นมาหรือ?
ใช่ หรือบางทีฉันไม่ ๆ …
มันใช้เวลาในการเรียนรู้นานกว่า เพราะฉันสมองกระจัดกระจายอยู่เล็กน้อย
เธอไม่เห็นแสงอะไรเลยหรือ? (เห็นไม่บ่อยนัก ไม่ค่อยเห็น)
เห็นไม่บ่อยนัก นั่นหมายความว่า เธอเห็น! เข้าใจไหม?
เวลาที่เธอเห็นนั้น คือเวลาที่สมองของเธอ ความตั้งใจรับรู้ของเธอตื่น
นั่นคือเวลา ที่เธอเห็น
และเวลาที่เธอไม่เห็น นั่นหมายความว่า เธอหลับลึกหรือเข้าสมาธิลึก
และเมื่อเธอกลับมา เธอจำไม่ได้
ดังนั้น ถึงแม้ว่าเธอเห็นเป็นครั้งคราว
ให้ทราบไว้อย่างแน่ชัดว่า เธอเห็นอยู่ทุกวัน เข้าใจไหม?
แม้แต่บางครั้งขณะหลับ
ส่วนใหญ่ เธอจะเห็นนิมิต และขึ้นสู่มิติที่สูงกว่า
กับอาจารย์ขณะหลับ ดังที่ฉันเพิ่งเอ่ยถึงไป
เพราะในระหว่างวัน ถึงแม้ว่าเธอพยายามทำสมาธิ
เธอจะหลับไปเสียครึ่งเวลา หรือ ๒/๓ ของเวลา
และเธอใช้ความคิดเสีย ๑/๓
ไปกับเรื่องอื่นทุก ๆ เรื่อง ยกเว้นเรื่อง อาจารย์ หรือพระเจ้า หรือนามศักดิ์สิทธิ์
และด้วยเหตุนี้ แม้แต่ระหว่างทำสมาธิ
พวกเราจำนวนมากคิดว่า พวกเขาไม่เห็นแสง แม้ว่าแสงมา
หรือบางครั้ง เธอสะดุ้งขึ้นมา ๒, ๓ วินาที ใช่
ราวกับว่า มีกระแสไฟฟ้าแล่นผ่าน ร่างกายของเธอ แล้วมันก็หายไป
เพราะความรับรู้ของเธอ ไม่ได้ตั้งสมาธิ ๑๐๐% ใช่ไหม?
แต่แล้ว ในเวลากลางคืน เมื่อเธอหลับ
จิตคิดของเธอ สมองอันขยันขันแข็งของเธอ จะสงบลง
แล้วจากนั้น อาจารย์จะสามารถช่วยเธอ นำเธอออกไปได้เร็วขึ้น ใช่ไหม? เอาล่ะ
ไม่มีใครไม่มีนิมิต
ทุกคนมี เชื่อฉันสิ เข้าใจไหม?
เข้าใจหรือ!
ฉันมีอีกคำถามหนึ่งเกี่ยวข้องกับสมอง มันเป็นไปได้ไหมว่า…
ฉันเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย มันเป็นไปได้ไหมว่า
ข้อมูลทั้งหลาย ที่ฉันได้รับมาจากการศึกษานั้น
จะไปรบกวนการบำเพ็ญทางจิตวิญญาณ?
บางครั้งมันเป็นอย่างนั้น ๆ
การพัฒนาพลังภูมิปัญญามากจนเกินไป
บางครั้งก็มีผลเสียหาย กับการพัฒนาทางจิตวิญญาณ
แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า เธอไปศึกษาไม่ได้ เข้าใจไหม?
เธอจะได้รับประโยชน์มากกว่า ในเวลากลางคืน เมื่อเธอหลับ
มากกว่าเวลาที่เธอทำสมาธิ ใช่แล้ว
แต่ฉันบอกเธอหลายครั้งแล้ว
สัญญาณบอกเหตุที่แน่ชัดว่า เธอมีพัฒนาการทางจิตวิญญาณคือ การที่ ชีวิตของเธอเปลี่ยนแปลงไปทุก ๆ วัน
เธอจะประสบกับปาฏิหาริย์ ใช่
เธอจะได้รับการช่วยเหลือ เมื่อมีปัญหา ใช่
เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน เธอจะรู้สึกว่า มีใครบางคนอยู่ช่วย
จริง ๆ แล้ว มีบางคนเห็นอาจารย์อยู่ที่นั่น
มีบางคนรู้สึกได้ว่า อาจารย์อยู่ที่นั่น
อย่างไรก็ตาม อาจารย์จะอยู่ที่นั่น
หรือชีวิตของเธอจะเปลี่ยนเป็นดีขึ้น และดีขึ้น ๆ อยู่ตลอดเวลา
ใช่แล้ว เธอเป็นคนที่มีความรักมากขึ้น อดกลั้น ให้อภัยมากขึ้น
มีปัญญามากขึ้น มีความเข้าอกเข้าใจมากขึ้น
นั่นคือสัญญาณอันแน่ชัดว่า มีพัฒนาการทางจิตวิญญาณเกิดขึ้น
นั่นคือสัญญาณอันแน่ชัดว่า เธอเห็นแสง
ที่ไหนสักแห่งเวลาหลับ หรือเมื่อเธอเข้าสมาธิ
เมื่อเธอกลับมา เธอก็ลืม หืม
ทั้งนี้ทั้งนั้น หากเธอเห็นแสงในสวรรค์
เธอไปเห็นพระบิดาในสวรรค์มา แล้ว เธอกลับมา แล้วยังคงเป็นคนไม่เอาไหน
มีใครชอบอย่างนั้น? เข้าใจไหม?
ดังนั้น ถึงแม้ว่าเราลืมนิมิต แต่ชีวิตเราเปลี่ยนเป็นดีขึ้น
นั่นก็คือ นั่นก็คือผลประโยชน์ นะ นั่นคือ สิ่งที่เราต้องการ นะ
ใช่แล้ว เราจะกลายเป็นนักบุญ ขณะยังมีชีวิตอยู่ ใช่
ขณะที่มีชีวิตอยู่ เราสามารถ เป็นคนดั่งนักบุญ ดังนั้น นั่นเป็นเรื่องดี
มีคำถามอะไรอีกไหม? ได้ โอเค
ท่านอาจารย์ ท่านเชื่อไหมว่า มีกิเลน?
และถ้าเชื่อ ช่วยบอกผมหน่อยว่า มันเป็นของอันดับชั้นไหน?
(กิ…?) กิเลน
อ๋อ กิเลน! มันอยู่อันดับชั้นสัตว์
ทั้งนี้ทั้งนั้น อยู่ในระดับทางจิตวิญญาณ
ผมหมายความว่า เพราะมันไม่ได้อยู่ในมิตินี้
ผมหมายความว่าอย่างนั้น
คือว่า มีคนบางคนเห็นมัน (ใช่แล้ว)
แต่เห็นน้อย (ใช่แล้ว)
มีบางคนเห็นมันจริง ๆ
คือว่า มันเป็นของ ระดับอาณาจักรสัตว์ทางจิตวิญญาณ
เมื่อเธอไปสวรรค์ เธอจะเห็นสุนัข แมว และอะไรทั้งหลายเหล่านั้นเช่นกัน
ดังนั้น บางทีมันคงอยู่ด้วยกันที่ไหนสักแห่ง
โอเค ขอบคุณครับ
เธอชอบกิเลนหรือ? (ใช่แล้ว ชอบมาก)
เสียใจด้วยนะ
เธอเคยเห็นมันไหม?
ผมไม่ค่อยแน่ใจนัก ผมคิดว่าเคย ผมไม่ค่อยแน่ใจ
เธอคิดว่าเคยหรือ? ถ้าอย่างนั้น ทำไมเธอไม่ถามมันดูล่ะ?
เอาล่ะ มันจะดีกว่า ถ้าเธอชอบพระเจ้า หืม
คือว่า บางทีฉันมีเขาอยู่ ๒ เขา เพื่อเธอ ฉันมีเขาเดียวก็ได้…
เวลาฉันโกรธ!
ไม่มีคำถามแล้วหรือ? โอเค
เอาล่ะ ฉันจะพบเธออีกครั้งพรุ่งนี้
ตอนนี้ฉันจะไปพบคนอื่น เป็นกลุ่มพิเศษ ใช่ไหม?
หากเธออยากทำสมาธิอยู่ที่นี่สักระยะ นะ ก็ไม่เป็นไร ใช่
หากเธอไม่อยาก เธอกลับไปทำสมาธิที่ห้องของเธอก็ได้
ท่านอาจารย์พบชาวตะวันตกเช้าวันที่ ๓๐
ใช่แล้ว สวัสดียามบ่าย!
ฉันนำเธอมาที่นี่ เผื่อเธอยังมีคำถาม
และในห้องนี้ ฟังชัดเจนดี
และหากเธอไม่อยากถามอะไร ก็ไม่เป็นไร
เราก็ทำสมาธิกันก็ได้ ดีไหม? แล้วแต่ว่าเธอรู้สึกว่า อยากทำอะไร
เธออยากทำอะไรก็ตาม ให้บอกฉันตอนนี้
เธอมีเวลา ๕ นาที
เปล่า จริง ๆ แล้ว! เธอมีเวลา ๑ ชั่วโมง
เอาล่ะ เธอพอใจกับ ข้าวโพดคั่วและข้าวตอกของเธอไหม?
อยู่ตรงนั้นดีแล้วหรือ? มันไม่ไกลเกินไปหรือ?
เธอไม่อยากอยู่ตรงนี้มากกว่าหรือ?
อยากได้บ้างไหม? แน่นอน! พวกเธอบางคนไปนั่งตรงนั้นก็ได้
ใช่แล้ว ใครก็ได้… คนใจกล้าคนไหนก็ได้ ให้มาที่นี่
และให้เอาเบาะมาเอง เธอจะได้นั่งสบาย
เธอแน่ใจหรือ?
เห็นไหม พวกผู้หญิงเราทำอะไร เป็นธรรมชาติ ตรงตามความรู้สึกมากกว่า
เอาล่ะ แค่นี้น่าจะพอ ใช่แล้ว ฉันคิด…
ได้ แน่นอน! นั่งลง! พวกเขาไม่ได้… พวกเขาไม่…
นั่งให้เต็มที่นั่งไปเลย ที่รัก เอาไปเลย แสดงให้พวกเขาดูเสีย!
ใช่แล้ว เธอนั่งตรงนี้ได้ ที่รัก ไม่ต้องกังวล
หรือไม่ก็ไปนั่งตรงนั้น
โอ คราวนี้มากันแล้ว คราวนี้มากันใหญ่แล้ว
อา… อู้! โอ พระเจ้า!
ไม่มีใครจับเธอไปกินหรอก? พวกเธอมีแต่กระดูก
เธอเรียบร้อยดีไหม? ถ้าไม่ ก็ให้ดันไปทางโน้นอีกนิด ของนี่…
สักระยะหนึ่ง ใช่แล้ว และให้เธอยืดขา ถ้าเธออยากยืด
เอาล่ะ คราวนี้ ยิงคำถามมาได้!
เธอรู้สึกดีกว่าหรืออย่างนี้?
ถ้าเธอต้องการ เธอขึ้นมาอีกหน่อยก็ได้ คือ อย่างนั้นแหละ!
ใช่แล้ว ให้นั่งข้าง ๆ ขนมเค้กและลูกกวาด
มันจะทำให้เธอรู้สึกเป็นกันเองมากขึ้น
ใช่แล้ว คนที่อยู่ข้างหลังทั้งหลาย ขึ้นมาที่นี่ได้
แล้วแต่ว่า เธอชอบอย่างไร เข้าใจไหม? อะไรก็ได้
เพียงแต่ว่าอย่า… ใช่แล้ว อย่างนั้นล่ะ
ตรงกลาง ไม่ได้! ตรงกลางมีกล้องอยู่
ใช่แล้ว แบบนี้ดูอบอุ่นสบายดี ฮ่ะ! ใช่แล้ว!
เอาล่ะ ช่วยส่งมาให้ฉันหน่อย
เราจะวางเอาไว้ตรงนั้น ขอบคุณ
เราจะมาเริ่มสนุกกัน ดีไหม?
ดี!
เห็นไหม! อย่างนี้ ทำให้รู้สึกเป็นส่วนตัวมากขึ้น ใช่ไหม?
เหมือนกับบ้านมากขึ้น ใช่ไหม?
นอกจากข้าวโพดคั่วแล้วนั้น เราไม่ต้องการอะไรมากไปกว่านี้
ใช่แล้ว! ฮื่ม…
เธออยู่ที่นั่นนั่นเอง
คนละ ๑ ชิ้นพอ! เดี๋ยวยังมีให้เธออีกมาก
ใช่แล้ว นี่ของเธอ
หากเธอต้องการ เดี๋ยวเธอมาเอาอีกก็ได้
เธอไม่กลัวอ้วนหรือ?
นี่คืออะไร? “ตายแล้ว” เครื่องดื่มธัญพืชสำเร็จรูป
โอ! พวกเขาแค่ต้องการมั่นใจว่า ฉันทราบ ว่า พวกเธอมีอะไรรับประทานกันที่นี่
เพราะบางที รู้ไหม ที่นี่ เธอไม่สามารถหาได้ไปเสียทุกอย่าง
แต่นี่มีไว้สำหรับ… มันดี!
มันอยู่ที่นี่เลยด้วยซ้ำ ดูสิ! อยู่ที่นี่เพื่อเธอ เพื่อรับประทานกับขนมปังปิ้งของเธอ
ฉันไม่คิดว่า มันจะไปถึงเธอ
ใช่
รู้ไหม ถ้าเธอขี้อาย เธอก็ไม่ได้อะไร!
ดา ๆ … คราวต่อไป เธอจะเรียนรู้ดีขึ้น
หากเธออยากได้ขนมอบ ให้มาหาฉัน
นี่คืออะไร? นี่คือมะพร้าวหรือ? ขิง? ขิงใช่ไหม?
โอ นั่นดีสำหรับเธอ ให้เอาขิงไป ลูกกวาดขิง
สีมันเป็นอย่างนี้ และภายในเป็นอย่างนั้น เข้าใจไหม?
กินดีเวลาเป็นหวัด
ฉันได้ยินเธอสูดน้ำมูกและไออยู่เล็กน้อย
อื้ม… ๆ เปล่า ๆ มันเหนียว
ฉันจะเล่าเรื่องจริงเรื่องหนึ่งให้เธอฟัง เป็นเรื่องตลกมาก
ครั้งหนึ่ง บรรดาศิษย์ผู้อาศัยอยู่กับเรานั้น กำลังรับประทานขนมเหนียวถั่วลิสงอยู่
รู้จักไหม ขนมเหนียว? (ใช่แล้ว ขนมเหนียว) ใช่ ขนมเหนียว
มันเป็นขนมเหนียวแบบจีน รู้จักไหม? เหนียวมาก
เกือบเหมือน ขนมเหนียวฝรั่งเศสหรือเยอรมัน
มันเหมือนกัน แต่มันเป็นสีดำ ใส่น้ำตาลปีบดิบ ๆ แท้ เหนียวจริง ๆ !
แล้วพวกเขาก็กิน ๆ ๆ ๆ … ด้วยกัน
แล้วทันใดนั้น ทูตกวนอิมคนหนึ่ง
รู้ไหม ผู้ที่อาศัยอยู่กับเรา
ก็ดึงอะไรบางอย่าง ออกมาจากปากของเขา แล้วชูมันขึ้นมา
พิจารณาอยู่ระยะหนึ่ง แล้วก็บอกว่า “เฮ๊ พี่ชายทั้งหลาย! หยุดกินกันก่อน!”
ทุกคนตกตะลึง ถามว่า “เกิดอะไรขึ้น? มีอะไรไม่เรียบร้อยหรือ?”
เขาก็บอกว่า “ผมคิดว่า มันไม่เป็นมังสวิรัติ”
พวกเขาบอกว่า “ทำไมล่ะ? ทำไมจะไม่เป็นมังสวิรัติด้วยเล่า?”
เขาก็บอกว่า “ผมพบฟันอยู่ซี่หนึ่ง”
เธอคงเข้าใจแล้วสินะ! มันคือฟันของเขาเอง
หากเธออยากทราบว่าเป็นใคร ให้มองไปรอบ ๆ ได้
และใครก็ตามที่หัวเราะ แล้วฟันหายไปซี่หนึ่ง นั่นเขาล่ะ
เอาล่ะ เธอได้ขนมแล้วหรือยัง?
โอ เธอรับประทานได้เลย จะได้ให้พลังงานกับเธอโดยเร็ว สักเล็กน้อยสนุก ๆ ไม่เลว
เอาล่ะ เธอเขียนหนังสือเธอจบแล้ว หรือยัง? เป็นคำถามหรือเป็นหนังสือ?
เป็นหนังสือคำถาม โอเค
ให้ไมโครโฟนเขาไป
ใช่แล้ว! บางทีมันจะดีกว่า ถ้าเธอจดคำถามลงไปก่อน รู้ไหม
และมันทำให้เธอเรียบเรียงคำถามได้ดีขึ้น
และเป็นการหลีกเลี่ยงการสิ้นเปลือง คำบรรยายยาว ๆ ในวีดิทัศน์
ค่ะ คำถามแรกคือ
ทำอย่างไร ศิษย์จึงกลายเป็นทูตกวนอิมได้?
โอ ทำไมหรือ? ทำไมฉันจะต้องบอกเธอด้วย?
เพราะฉันสนใจ
นี่เป็นความลับ (อ้าว!)
เธอสนใจหรือ… ฮึ่ม! เรื่องนี้ ให้เธอไปถามพวกเขาได้ ใช่แล้ว!
ให้เธอไปถามทูตกวนอิมได้ คนไหนก็ได้ (ค่ะ)
พวกเขาจะบอกเธอว่า ให้ทำอย่างไร ว่า ให้ไปที่ไหน (ค่ะ ขอบคุณค่ะ)
เดี๋ยว ๆ รอก่อน! หล่อนยังมีคำถาม เท่าหนังสือเล่มใหญ่จะถาม
เอาล่ะ ฉันรู้จักคนจำนวนมาก ที่มี...
ฉันจะใส่ในเครื่องหมายคำพูด มี “หัวอยู่บนเมฆ”
และพวกเขาถามฉัน
ว่า พวกเขาจะมีประสิทธิภาพ และจัดระบบระเบียบให้ดีขึ้น เพื่ออยู่ในระดับโลกได้อย่างไร
ท่านมีความเห็นใด ที่พอจะแนะนำฉันได้บ้างไหม?
ใคร ๆ ใครมี “หัวอยู่บนเมฆ”?
คือว่า ฉันรู้จักคนจำนวนมาก ที่รู้สึกอย่างนั้น
เธอรู้สึกอย่างนั้นหรือเปล่า? (อา เปล่า)
เปล่าหรือ? แล้วจะให้ฉันบอกเธอได้อย่างไร? หืม?
พวกเขาควรถามตัวเอง ไม่ใช่หรือ?
มี “หัวอยู่บนเมฆ” ไหนดูซิ เธอเห็นอะไรอยู่บนนั้น?
ให้ถามพวกเขาว่า เห็นอะไรบนนั้น? เอาล่ะ นั่นคือคำถามแรก
และหากพวกเขาไม่เห็นอะไร ทำไมพวกเขาจึงไปค้างอยู่ที่นั่นด้วย?
แค่บอกพวกเขาไปว่า ให้ลงมา หากไม่มีอะไรให้ดูอยู่บนก้อนเมฆ
คือ มันมีอะไร ที่เธอจะทำได้ ไม่มากสักเท่าใดนัก
รู้ไหม แต่ละคนก็แตกต่างกันไป
บางคนผมทอง บางคนหัวมีแต่ลม
บางคนหัวดำ
บางคนก็เป็นเช่นนั้นเอง เข้าใจไหม?
อา ในประเทศทางตะวันตก
ผู้คนมีแนวโน้มจะล้อเลียนคนผมทอง
ฉันไม่ได้หมายถึงเธอ
ฉันก็ชอบผมสีทองเหมือนกัน ดูสิ ฉันมีปอยสีทองอยู่จำนวนหนึ่งตรงนี้ เพื่อความสนุกสนาน
อา และยังมีเรื่องตลกเกี่ยวกับคนผมทอง อยู่เรื่องหนึ่ง
มีสาวผมทองอยู่คนหนึ่ง รู้ไหม
หล่อนขะมักเขม้นมาก เรื่องการต่อต้านตลกล้อเลียนคนผมทอง
หล่อนจะเกลียดมาก เมื่อคนล้อเลียนคนผมทอง
หล่อนเป็นคนผมทองแท้
และมีอะไรคล้ายสโมสรหรือกระบวนการ
ต่อต้านตลกล้อเลียนคนผมทอง ทั่วประเทศ
หล่อนเป็นประธาน
ทุกแห่งที่หล่อนไป ไม่ว่าโอกาสใด
หากมีคนล้อเลียนคนผมทอง หล่อนจะโจมตีทันที
ใช่แล้ว หล่อนเป็นนักปฏิบัติการ ที่ยิ่งใหญ่มาก ๆ สำหรับคนผมทอง
เอาล่ะ วันหนึ่งหล่อนหยุดพักผ่อน
และขับรถไปตามทางหลวง
เพื่อไปยังสถานที่พักผ่อน
แล้วจากนั้น ตามทางหลวงสายนั้น…
ทางหลวง…มาก
รู้ไหม มันเป็นถนนช่วงหนึ่งที่อยู่สูงมาก
คล้ายเป็นสะพานอยู่ในอากาศ ใช่
และข้างล่าง มีถนนสายอื่นอีกมากมายหลายสาย ใช่
รู้ไหม พวกทางแยกแบบนั้น ทางแยกที่มีถนนหลายสาย
และหล่อนก็ขับอยู่บนทางหลวง
บนถนนสายที่อยู่บนสุด บนทางหลวง
หล่อนขับรถไป แล้วหล่อนเห็นทางขวา
ห่างไปสักระยะ รู้ไหม
ห่างไปจาก ถนนที่ไขว้กันไปมามากมายเหล่านี้
หล่อนก็เห็นทุ่ง… ทุ่งข้าวสาลี
และในนั้นก็มีเรืออยู่ลำหนึ่ง
และมีสาวผมทองนั่งอยู่ที่นั่น
แล้วหล่อนก็โกรธเคืองมาก และบอกว่า
“คราวนี้มาอีกเรื่องแล้ว! เป็นตลกเรื่องคนผมทองอีกแล้ว
โอ พระเจ้า! ฉันเกลียดจังเลย”
แล้วหล่อนก็เปิดหน้าต่าง และตะโกนออกไปที่นั่น
หล่อนบอกว่า “นี่เธอ! ใครก็ตามที่อยู่ตรงนั้น!
อย่ากล้าดีมาล้อเลียนฉันอย่างนี้อีกนะ!
รอจนฉันสามารถว่ายน้ำไปที่นั่นได้ ฉันจะตีให้หายบ้าไปเลย!”
พูดถึงเรือ!
เธอไม่คิดว่า มันตลกหรือ?
เธอเข้าใจไหม? (ใช่แล้ว ไม่เลว)
ไม่เลวเลย โอเค ๆ
เอาล่ะ คนบางคนก็เป็นแบบนั้นแหละ หืม
แล้วมีอะไรไม่ดีกับการไม่… มีอะไรไม่ดีรึ?
คือว่า พวกเขารู้สึกว่า มันเป็นการยาก ที่จะคงอยู่กับงานประเภทหนึ่ง ๆ
หรือพบว่า มันยาก ที่จะทำงานได้เป็นปกติในชีวิตทางโลก
ถ้าอย่างนั้น ปกติพวกเขาทำอะไร หากพวกเขาทำงานไม่ได้?
คือว่า พวกเขาพยายามทำงาน และพยา- ยามอย่างดีที่สุด เท่าที่พวกเขาจะทำได้
แต่พวกเขาจะรู้สึกว่า ไม่สามารถเอาเท้าลงดินได้เสียทีเดียว
ฉันก็เหมือนกัน
คือ ฉันจะอยู่บนเวทีที่ถูกยกระดับ อยู่ตลอดเวลา (บินอยู่!)
มันเป็นการยากสำหรับฉัน ที่จะเอาเท้าลงดิน ไม่ว่าที่ไหน
ฉันมองไม่เห็นพื้นใด ๆ ด้วยซ้ำ!
ไม่ว่าฉันไปที่ไหน พวกเธอทั้งหลายก็จะบังพื้นทั่วไปหมด
ฉันไม่สามารถหาพื้นใด ๆ เดินได้ด้วยซ้ำ ใช่!
รู้อะไรไหม? พวกเขาอาจเพียงพูด ให้ปัญหาฟังดูใหญ่เกินความจริง ใช่แล้ว
โดยแสร้งทำหรือ?
ไม่ใช่ ๆ ไม่ใช่อย่างนั้น แต่พวกเราทุกคนมีปัญหาเดียวกัน
ให้เธอลองถามพวกเขาคนไหนดูก็ได้ว่า พวกเขาสามารถทำงานได้ถูกต้อง เป็นปกติจริง ๆ ไหมที่นี่
หรือว่า พวกเขามีความสุขจริง ๆ ไหม ใน งานของเขา รู้ไหม… (นั่นเป็นความจริง)
…หรือว่า พวกเขาสามารถดำรงอยู่กับ คู่คนหนึ่งได้ตลอดเวลาจริง ๆ หรือไม่
เราต่างก็ได้แต่พยายาม เข้าใจไหม?
ฉันพยายามดำรงอยู่กับงานของฉันที่นี่ เหมือนกัน
เพราะฉันก็ไม่ชอบงานของฉันเหมือนกัน
แต่มันไม่มีอะไรอื่นคล้ายคลึงกัน ให้ฉันเปลี่ยนไปทำได้
ฉันกำลังสมัครงานแห่งใหม่
แต่พระองค์ยังคงตรัสว่า “โอ เราต้องคิดดูก่อนนะ จริง ๆ "
ดังนั้น ก็ไม่เป็นไร วันนี้เธอชอบ พรุ่งนี้เธอไม่ชอบ
ก็แค่พยายามให้ดีที่สุด เข้าใจไหม?
เราทำอะไรกับโลกนี้ได้ไม่มาก
นอกจากสุขใจกับอะไรก็ตาม ที่เรามี
และพยายามทำสถานการณ์ใดก็ตาม ที่ เราเผชิญอยู่ในขณะนี้ ให้ออกมาดีที่สุด ใช่
และถ้าเธอเปลี่ยนงานได้ ก็ให้ลองดู! ก็จงเปลี่ยนงานเสีย!
หากมันดีกว่าสำหรับเธอ ก็จงอยู่ที่นั่นไป
หากเธอยังคงคิดว่า มันไม่ดี ทำไมไม่เปลี่ยนไปทำงานอื่นดูเล่า
หากเธอทำได้ หากเธอทำแล้ว ไม่เสียหาย เข้าใจไหม?
เพียงเรื่องของเรื่องคือ ก่อนเธอจะเปลี่ยนงาน
ให้ดูให้แน่ใจว่า เธอมีความมั่นคง ทางการเงินเพียงพอเสียก่อน ใช่ไหม?
ไม่ใช่ลาออกจากงานแรก แล้วค่อยหางานอีกงานหนึ่งทำ
นั่นจะเป็นเรื่องยาก เข้าใจไหม?
แต่ไม่มีอะไรผิด กับการหางานอื่นทำ
หรือหางานที่มีสภาพแวดล้อมอย่างอื่น
เพราะบางทีผู้ร่วมงาน หัวหน้า ใช่ สถานที่ ที่เธอทำงานอยู่ ก็สำคัญมากเช่นกัน!
มันไม่ง่ายนัก ที่จะหาสถานที่ หรืองานที่เธอชอบ ได้ในทีแรก
หรือที่เธอจะชอบตลอดไป เข้าใจไหม?
เพียงแต่อย่าโทษตัวเอง
หากเธอคิดว่า มันยังเป็นอะไรที่พอทนได้จริง ๆ
ก็ให้ทนไปก่อนสักระยะหนึ่ง
หากทนไม่ได้ หากเธอคิดว่า มันน่าจะดีกว่านั้นได้ ก็ให้เธอลองมองหาดู เข้าใจไหม?
พวกเขามีปัญหาเฉพาะเรื่องงาน หรือเรื่องสามีด้วย?
(ทุกอย่างเลย) ทุกอย่างเลย!
ก็ขอให้คำแนะนำแบบเดียวกัน! (ค่ะ)
คือว่า มันเป็นการยากยิ่ง ที่จะพบความพึงพอใจในโลกนี้
นอกจากเธอยอมรับอะไรก็ตาม ที่เธอได้มา แล้วก็ไม่คิดอะไรมาก
เมื่อนั้น ก็ไม่มีปัญหาอะไรเช่นกัน ใช่
หากเธอไม่พึงพอใจ เธอก็ต้องพยายามหาทางแก้ เข้าใจไหม?
เข้าใจไหม? (เข้าใจแล้ว โอเค…) หนังสือเล่มต่อไป (ใช่แล้ว!)
นี่เป็นคำถามสุดท้าย ที่จะขอความเห็นจากท่าน (ไม่เป็นไร)
ฉันมีญาติสนิทอยู่คนหนึ่ง
ผู้มีศรัทธาในศาสนาคริสต์ และนับถือบัญญัติ ๑๐ ประการ
และพวกเขาถามฉันเสมอเลยว่า ฉันรักษาศีลวันพระหรือไม่
ซึ่งคือวันเสาร์ ตามความเชื่อของพวกเขา และนอกจากนี้…
ของคริสเตียนคือวันเสาร์หรือ? ควรจะเป็นวันศุกร์ไม่ใช่หรือ?
เปล่า มันเป็นวันเสาร์ (บางแห่งเป็นวันเสาร์)
อ๋อ! วันเสาร์ วันอาทิตย์ อ๋อ โอเค
และดังนั้น นั่นคือวิถีทาง ที่ฉันถูกเลี้ยงดูมา
และพวกเขาบอกว่า พระเจ้าให้พรกับวันที่ ๗
และทำให้มันศักดิ์สิทธิ์ และแยกไปจากวันอื่น ๆ ทั้งหมด… (ใช่ นั่นเป็นความจริง)
…และเราต้องให้เกียรติมัน โดยไม่ซื้อ ไม่ขาย
และพักผ่อนในวันนั้น (นั่นเป็นความจริง)
และคำถามของฉันคือ ฉันจะจัดการกับข้อเรียกร้องของญาติ
ด้วยวิธีที่เปี่ยมไปด้วย ความรักและความเมตตาได้อย่างไร?
ให้เธอบอกพวกเขาว่า เธอรักษาศีลวันพระของเธอ แตกต่างกันไปในวันที่ต่างไป ใช่
สมาธิกลุ่มของเรา นั่นคือวันพระ
เดิมทีมันเป็นเช่นนั้น
เห็นไหม เราควรเก็บเวลาไว้วันหนึ่งเพื่อทำสมาธิ
รู้ไหม เพื่อคิดถึงพระเจ้า จำได้ไหม?
ด้วยเหตุนี้ ฉันจึงบอกให้เธอไปสมาธิกลุ่ม
วันอาทิตย์ วันเสาร์ หรือวันไหนก็ได้
ใช่แล้ว จัดวันไว้สำหรับตัวเองวันหนึ่ง เข้าใจไหม?
นั่นเป็นไปตามแผนการของพระเจ้า มาก ๆ เลย เข้าใจไหม?
แต่ถ้าเธอไม่มีอาจารย์ เธอก็ไม่มีวิถีที่ดี
แล้วเธอจะเคร่งวันพระไปทำไม ใช่ไหม?
ได้แต่ปล่อยเวลาให้ล่วงเลยไป และ เสียชั่วขณะอันมีค่าของเธอไปอย่างไร้ค่า
ใช่ แต่เธอไม่… ฉันทราบว่า พวกเขาไม่เข้าใจเรื่องนี้
เธอบอกว่า เธอเก็บเอาไว้วันหนึ่ง
แต่นั่นเป็นเพียงเรื่องระหว่างเธอ กับพระเจ้า ช่างสะดวกสำหรับเธอยิ่งนัก
เธอจำพระเจ้าได้ไหม (ทุกวัน!) ใช่ ๆ เธอจำได้
แต่เพราะรูปแบบการทำงาน และการใช้ชีวิตของเธอ
การเก็บวันไว้หนึ่ง ไม่ได้หมายความว่า เธอจะต้องเก็บไว้วันหนึ่ง ๆ โดยเฉพาะ
แน่นอน พวกเขา จะไม่พึงพอใจเสียทีเดียวกับคำตอบนี้
แต่จะไปสนใจทำไม? เธอใช้ชีวิตอยู่ เพื่อพวกเขาหรือเพื่อตัวเธอเอง?
ใช่แล้ว… ใช่
ใช่แล้ว มันเป็นปัญหากวนใจ
เราสามารถรับความเห็นและความรู้สึก ของคนอื่นได้เพียงปริมาณหนึ่งเท่านั้น
ที่เหลือ เธอต้องเป็นตัวเธอเอง เข้าใจไหม?
เธอทำได้มากเพียงเท่าที่
เธอไม่เสียสละความเป็นตัวของตัวเอง และพัฒนาการทางจิตวิญญาณของเธอไป
การทำเช่นนี้… เขาคิดว่า การทำเช่นนี้ เป็นการช่วยกู้พวกเขา
และว่า มันเป็นสิ่งหนึ่งเดียวนั้น ที่จะนำพวกเขาไปสู่ประตูมุกได้
ให้บอกพวกเขาไปว่า… ให้แสดงความยินดีกับพวกเขา!
และดำเนินตามวิถีทางของเธอเองไป
และวิธีนี้เธอก็เชื่อเช่นกันว่า มันจะนำเธอไปสู่ประตูมุกและไกลกว่านั้น
บางทีวิธีของพวกเขา แค่นำพวกเขาไปสู่ประตูมุก
แต่วิธีของเธอ จะนำเธอตลอดทาง ไปถึงข้างใน (ไปตลอดทางถึงข้างใน)
บอกพวกเขาไปว่า เธอทราบเรื่องนี้อย่างแน่ชัด ด้วยประสบการณ์ของตัวเธอเอง ใช่แล้ว
เข้าใจไหม? (ขอบคุณค่ะ)
บอกพวกเขาไปว่า เธอระลึกถึงพระเจ้า เสมอ มิใช่เพียงในวันพระ
แต่ตลอด ๒๔ ชั่วโมง ทุกวันของสัปดาห์ ในเดือน ในปี
เธอระลึกถึงพระเจ้าตลอดเวลา
และพระเจ้าอยู่กับเธอ นั่นเป็นเรื่อง ที่เธอทราบอย่างแน่ชัด
และหากพวกเขาถามเธอว่า ทำไมเธอถึงได้แน่ใจนัก
ก็ให้เธอบอกว่า “ก็ฉันรู้ ก็เหมือนถ้าฉันรักกับใครสักคน
ฉันทราบ และเขาก็ทราบ แต่เธอไม่สามารถทราบได้” เข้าใจไหม?
คือว่า พวกเขามีสิทธิ์ของเขา เธอก็มีสิทธิ์ของเธอ เข้าใจไหม?
พวกเขามีความเชื่อของเขา เธอก็มีความเชื่อของเธอ ใช่ไหม?
ความเชื่อของพวกเขา มีมูลฐานเพียงจากหนังสือ
ความเชื่อของเธอมีมูลฐานจากประสบ การณ์มากกว่า ดังนั้น ใครดีกว่ากัน?
แต่ไม่ต้องไปเถียงกับเขา เพียงแต่บอกไปว่า “ก็ฉันทราบ”
ใช่แล้ว “ฉันมีความสุขกับวิถีนี้
และพระเจ้าอยู่กับฉัน และฉันทราบเรื่องนี้อย่างแน่ชัด” จบแค่นี้!
ให้บอกอย่างอ่อนหวาน (ค่ะ)
แรกเริ่ม ให้แสดงความยินดีกับเขาก่อน ที่เขามีความเชื่ออย่างแรงกล้าในพระเจ้า
บอกไปว่า เธอก็มีความเชื่ออย่างเดียวกัน ๆ
เป็นเพียงเพราะ เรามีชีวิตที่แตกต่างกัน รู้ไหม
เราจึงต้องจัดวันพระคนละวันกัน ก็แค่นั้น!
แต่เธอไม่ได้มี เธอมีในวันอาทิตย์ หรืออาจเป็นวันศุกร์
อธิบายให้เขาเข้าใจ
ขอโทษ ท่านอาจารย์
เธอเป็นคนผมทองแท้ หรือย้อมผม?
ท่านอาจารย์ คำถามของฉันเกี่ยวข้องกับ สิ่งที่ท่านกล่าวเมื่อวานนี้ (ใช่)
ท่านกล่าวอะไรบางอย่างที่สำคัญมาก ฉันคิด
ว่า ท่านพูดเกี่ยวกับการใช้พลังจิตผิดประเด็น
การใช้การรักษาทางจิตกับผู้อื่น
บางครั้งในชีวิตประจำวัน ฉันเดินทางผ่านอุบัติเหตุบนถนน
หรือเห็นใครอื่นที่ไหนสักแห่ง ตกอยู่ในความทุกข์ หรือมีใครป่วย
และแรงกระตุ้นภายในฉันคือ แค่อยาก จะส่งความรักสู่อะไรก็ตาม ที่มีปัญหานั้น
โอ นั่นไม่เป็นไร! ๆ (นั่นจะไม่เข้าไปแทรกแซงหรือ?)
ไม่ ๆ ๆ นั่นไม่เป็นไร นั่นเป็นเพียงความเห็นอกเห็นใจ
เป็นเพียงความรัก เสมือนว่า คนผู้นั้นเป็นเธอ เข้าใจไหม?
และอีก… นั่นแตกต่างไป เราต่างก็ทำอะไร ๆ อย่างนั้น
นั่นคือปฏิกิริยาอันเป็นธรรมชาติ ของบุคคลที่เปี่ยมไปด้วยความรักภายใน
แต่ผู้ที่ทำเช่นนั้นเพื่อหาเงินเลี้ยงชีพ
เช่น รู้ไหม คนที่มาหาพวกเขา มาขอร้องเขา
แล้วจากนั้น พวกเขาก็ วางมือลงไปบนตัวเขา ใช้พลังจิต พลังอสูร
เพื่อจัดความไม่เป็นระเบียบทางจิตและ อะไรเหล่านั้นทั้งหลายเสียใหม่ ซึ่งคงจะ…
นั่นไม่ใช่กรณีของเธอ เข้าใจไหม? ไม่ต้องกังวลไป
ถ้าอย่างนั้น ฉันมีอีกคำถามหนึ่งเกี่ยวกับการรักษา
วิธีการอย่างเช่น การกดจุดและประสาทสะท้อนวิทยา
ซึ่งเราใช้แรงกดรักษาคน แต่ไม่ได้ใช้พลังทางจิต…
ไม่เป็นไร ทำได้ ไม่เป็นไร (ไม่เป็นไรหรือ?)
ใช่แล้ว เพราะมันมีจุดต่าง ๆ อยู่ในร่างกาย
ที่เชื่อมต่ออยู่กับเส้นประสาทต่าง ๆ กับระบบประสาท
และเมื่อกดจุดประเภทนั้น จุดนั้น ๆ
ประสาททั้งหลาย จะถูกกระตุ้นให้รักษาตนเอง (ใช่แล้ว)
รู้ไหม เช่น เวลามีบริเวณ ที่การเดินเลือดในเส้นเลือดขัดข้อง
หรือในข้อของเธอ ใช่!
แล้วเมื่อเธอกดที่ไหนสักแห่ง มันจะส่งกระ -แสแรงๆ ไปปรับให้มันเป็นปกติ ใช่ไหม?
ก็เหมือนเธอทำให้ส้วมหายตัน หรือรู้ไหม ระบบท่อน้ำ เข้าใจไหม?
วิธีการแบบนั้น ฉันชอบ เพราะมันเป็นวิธีการ ที่
ฉันรู้สึกว่า ผู้คนสามารถเรียนรู้ เพื่อนำมาใช้กับตัวเองได้ด้วย
(ใช่แล้ว การนวด หรือ…) และครั้นพวกเขาเรียนรู้วิธีแล้ว
พวกเขาก็สามารถรักษาตัวเองได้ หรือรักษาสุขภาพไว้ได้ (ใช่แล้ว มันมีประโยชน์)
ใช่แล้ว ไม่มีปัญหา (ขอบคุณค่ะ) ด้วยความยินดี
การนวด การฝังเข็ม การกดจุด การใช้ยา
เหล่านี้ล้วนเป็นวิธีการธรรมชาติ ที่จะรักษาการเจ็บป่วยทางกาย
มีเพียง พลังทางจิตวิญญาณเท่านั้น ที่สามารถ รักษาการป่วยทางจิตวิญญาณได้ ใช่แล้ว
คำถามของฉันคือ
เวลาเช้าตรู่หรือเวลากลางคืน เมื่อฉันทำสมาธิ
ฉันจะรู้สึกว่า มีพลังงานอะไรอย่างหนึ่งอยู่ในขาของฉัน
มันเป็นพลังงาน ที่ฉันยากจะทนได้
ฉันเข้าใจ
มันมีแนวโน้มว่า จะแล่นผ่านร่างกายขึ้นไป
ฉันพยายามจะอดทนมัน เพื่อจะได้เอาชนะความรู้สึกนี้ไปได้
แต่ฉันไม่ทราบว่า มันจะดีไหม ถ้าฉันทนไปแบบนี้
บางทีฉันก็เต็มใจที่จะลุกขึ้น และยืดขา
และออกกำลังนิดหน่อย
แต่ฉันไม่ทราบว่า ทำอย่างนั้น จะดีหรือไม่
เธอนวดตัวเองสักหน่อยก็ได้ แล้วมันจะดีขึ้นทันที
แล้วให้เปลี่ยนท่านั่ง
ตัวอย่างเช่น หากเธอทำสมาธิเพ่งแสงอยู่
ก็ให้เธอเปลี่ยนไปเพ่งเสียง
แต่ทำไมมันจึงคอยเกิดขึ้น
เวลาเช้าตรู่หรือเวลากลางคืน ขณะทำสมาธิ
แต่ไม่เกิดขึ้น เมื่อทำสมาธิเวลากลางวัน?
บางทีเพราะอากาศหนาว
บางทีเรามีอาการไขข้ออักเสบ บางทีมันเป็นเช่นนั้น
เธอควรนำอะไรบางอย่างมาด้วย อย่างเช่น ถุงร้อนแบบนี้
และเมื่อใดก็ตามที่เธอรู้สึกปวด อย่าง ที่เธออธิบายมานั้น ก็ให้เธอถูอย่างนี้
มันจะช่วยบรรเทา เข้าใจไหม?
เธอทราบไหมว่า มันคืออะไร? (ขอบคุณมาก!)
เธอมีคำถามอื่นอีกไหม? แค่นั้นหรือ?
ใช่แล้ว ตอนนี้ยังไม่มีคำถามอะไรเพิ่มเติม
ท่านอาจารย์ ที่ทำงาน มีคนถามผมเสมอว่า
“เธอต้องรับประทานเนื้อสัตว์ มิฉะนั้นแล้ว เธอจะเป็นโรคโลหิตจาง และไม่มีแรง”
เมื่อมีคนคอยถามเราอย่างนั้น เราควรจะตอบเขาว่าอย่างไรดี?
เธอเองเป็นโรคโลหิตจางหรือเปล่า?
ที่ทำงาน พวกเขาคอยแต่พูดว่า “เธอจะ ไม่มีแรง ถ้าเธอไม่รับประทานเนื้อสัตว์”
โอ้ ให้บอกพวกเขาไปว่า มันไม่ใช่กงการอะไรของเขา
ให้บอกพวกเขาไปว่า ทุกคนที่นอนโรงพยาบาลนั้น เป็นคนรับประทานเนื้อสัตว์ ใช่
คนจำนวนมาก หลายคน ใช่ไหม?
ทุกวันนี้ ยิ่งเรามีเนื้อสัตว์มากเท่าไร เรา ก็ยิ่งต้องสร้างโรงพยาบาลมากขึ้นเท่านั้น
นั่นคือคำตอบ ดีไหม?
และหากเขายังคงพูดต่อไป ก็ให้บอก เขาไปว่า มันไม่ใช่กงการอะไรของเขา
ใช่ นั่นคือไพ่ใบสุดท้าย
เพราะบางทีหากเธอบอกเขาว่า “มันไม่ใช่กงการอะไรของคุณ”
พวกเขาก็จะโกรธ
รู้ไหม พวกเขาจะรู้สึกน้อยใจ พวกเขาจะรู้สึกว่า เธอไม่มีน้ำใจ
แค่บอกพวกเขาไปว่า เธอสบายดี เธอแข็งแรง ใช่แล้ว!
มีวิธีดี ๆ อะไร ที่เธอจะพิสูจน์ให้เขาทราบได้ไหม?
คือว่า ที่ผมทำมานั้น…
เรื่องนี้เกิดขึ้นมาได้ ๖ เดือนแล้ว (อะไรนะ?)
เรื่องนี้เกิดขึ้นมาได้ ๖ เดือนแล้ว พวกเขาคอยแต่ถามเรื่องเดิม (ใช่ ๆ ๆ )
ดังนั้น หลังเลิกงาน ผมจึงเดินออกกำลังไปที่รถ
และผมจะเป็นคนเดียวที่เหลืออยู่
คนอื่น ๆ ดูเหมือนจะล้าหลังอยู่
ดังนั้น มันเป็นการอธิบาย ด้วยตัวของมันเอง รู้ไหม
ใช่แล้ว บอกพวกเขาไป ใช่แล้ว มันก็เป็นอย่างนั้นล่ะ
แล้วพวกเขายังไม่เลิกพูดอีกหรือ?
คือว่า ยังเลย จนกระทั่งเมื่อ ๒, ๓ สัปดาห์ที่แล้วมา
มีอยู่คนหนึ่ง เราวิ่งแข่งกันไปที่รถ และผมก็ยังคงชนะเขาอยู่ดี
แล้วเธอก็ยังชนะเขาอยู่ดีหรือ? (ใช่แล้ว!)
แล้วพวกเขายังไม่เลิกพูดอีกหรือ? (ยัง)
อา! คนเรา พวกเขาแค่กลัว หรืออยากรู้อยากเห็น รู้ไหม?
บางทีพวกเขาอยากรู้อยากเห็นมาก
บางทีพวกเขากลัว เพราะเธอทำอะไร ที่พวกเขาทำไม่ได้
และพวกเขาทราบว่า มันถูกต้องแล้ว แต่พวกเขาต่อสู้ดิ้นรนกับตัวเอง
ดังนั้น พวกเขาจึงพยายามพิสูจน์ว่า เธอผิด
ใช่แล้ว แค่นั้นเอง พวกเขากลัว
มีอยู่บางคน ผมคิดว่า พวกเขาหวังดี
แต่ก็มีอยู่หลายคน ที่แค่ทำไปเพื่อ…
รู้ไหม เพราะพวกเขารับประทานเนื้อสัตว์ และพวกเขารู้สึกลำบากใจ
ใช่แล้ว ๆ เอาล่ะ
อย่างไรก็ตาม มันมีอะไรบางอย่าง ที่เธอทำได้เหมือนกัน ที่เป็นบวกมากกว่า
ให้เธอพิมพ์บทความมาจำนวนหนึ่ง เกี่ยวกับ “ทำไมจึงเป็นมังสวิรัติ?”
หรือ “ประโยชน์ของอาหารมังสวิรัติ” ใช่ไหม?
หรือ “การอยู่รอดสู่ศตวรรษที่ ๒๑ ”
ให้พิมพ์หน้าที่ตรงประเด็น และดึงดูดสายตา และมีเหตุมีผล
จากหนังสือเหล่านี้ ใช่
และนำไปให้เขา “นี่ไง! คือคำตอบ”
และมันเป็นเรื่องของพวกเขาว่า พวกเขาจะให้เวลาอ่านมันหรือไม่
นี่อาจช่วยพวกเขาได้ เข้าใจไหม?
เพราะเธอไม่สามารถคอยให้คำตอบไป ตลอดได้ แล้วก็ถกเถียงกันกลับไปกลับมา
มันเป็นเรื่องที่น่าเหนื่อยใจ
แต่หากพวกเขาเห็นคำเหล่านี้ลงพิมพ์!
รู้อะไรไหม? คนเราทุกวันนี้เชื่อแต่คำที่ลงพิมพ์
ใช่แล้ว โอเคไหม?
หากมันเป็นหนังสือพิมพ์ มันถูกเขียนไว้ “โอเค! โอ้ มันท่าทางจะเป็นจริง!”
หากเป็นใครสักคน ที่เขียนหนังสือขายดีอันดับ ๑
รู้ไหม อย่างเช่น บุตรชายของแบสคิน รอบบินส์ ที่ชื่อจอห์น รอบบินส์ ใช่แล้ว
พวกเขาก็จะเชื่อ
“ดูนี่สิ เป็นหนังสือขายดีอันดับ ๑! เป็นเศรษฐีเงินล้านด้วยซ้ำ!”
เข้าใจไหม? คนต่อไป (เพียงว่า…) โอ เธอยังมีอีกคำถามหนึ่งหรือ?
ได้ แน่นอน! ไม่มีปัญหา (ใช่แล้ว มีอีกเพียงคำถามเดียว)
เราจะไม่…
หากเราสร้างกรรมเลวไว้จำนวนมาก หลังจากเราประทับจิตแล้ว
กรรมนั้นจะถูกเผาไปได้อย่างไร หรือถูกกำจัดไปอย่างไร
ก่อนที่เราจะออกไปจากโลกวัตถุนี้?
เราจะกำจัดกรรมนั้นไปได้อย่างไร?
โอ้! กรรมในอนาคตจะหายไป ใช่ไหม? ณ เวลาประทับจิต
แต่กรรมลิขิตนั้น รู้ไหม
ซึ่งเธอเกิดมาเพื่อใช้มันในชาตินี้นั้น
จะยังคงดำเนินต่อไป ใช่
แต่เมื่อเธอทำสมาธิมาก ๆ และด้วยความช่วยเหลือของอาจารย์
อะไร ๆ ก็จะดีขึ้น รู้ไหม คล้ายกับราบเรียบขึ้น ถูกหล่อลื่นมากขึ้น
ดังนั้น เธอจะไม่รู้สึกว่า ต้องทนทุกข์ มากเกินไป ว่า มีความทุกข์มากเกินไป
เมื่อเธอต้องเผชิญกรรมของเธอ เข้าใจไหม?
เอาล่ะ คนต่อไป อะไรหรือ!
ท่านอาจารย์ ในอดีต เคยมีผู้จัดองค์กรอยู่แห่งหนึ่ง
คือว่า มันเกิดขึ้นช่วงปี ค.ศ. ๑๑๐๐ หรือ ๑๒๐๐ มีชื่อว่าฮิลเดการ์ดแห่งบินเจ็น
ผมไม่ทราบว่า ท่านเคยได้ยินเรื่องของหล่อนหรือไม่
หล่อนมิเพียงเขียนวิธีรักษาโรค แต่ยังประพันธ์ดนตรีและอะไรอย่างนั้นไว้ จำนวนมากด้วย
และเมื่อเร็ว ๆ นี้ ได้มีการนำเรื่องนี้ขึ้นมาดูกันใหม่
คราวนี้ สิ่งที่ผมอยากทราบคือ
เคยมีเวลาใดไหม ที่จำเป็นต้องมีการรักษาโดยใช้เนื้อสัตว์?
เพราะผมทราบว่า หล่อนใช้เนื้อสัตว์และสมุนไพร
โดยเฉพาะตับกวาง
และหล่อนยังใช้เหล้าองุ่นทำยาบำรุงด้วย
คราวนี้ เคยมีเวลาใดไหม ที่การใช้สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่ยอมรับได้?
หรือมันก็เป็นสิ่งที่เกิดจาก ความเข้าใจผิดอีกเช่นกันในเวลานั้น?
ไม่เคยมีเวลาใด ที่เรื่องอย่างนี้ควรเป็นที่ยอมรับ
นอกจากเธอไม่ได้ประทับจิต เข้าใจไหม?
และนอกจาก มันไม่มีอะไรอื่นเลยบนดาวดวงนี้
ที่สามารถใช้แทนของเหล่านี้ได้
เข้าใจไหม?
แน่นอน! เธอย่อมทราบ (ขอบคุณ ท่านอาจารย์)
ตัวอย่างเช่น
แม้แต่การบรรเทาความหิวของเราใน แต่ละวัน ใช่ไหม? ก็มีอยู่ ๒ วิธี เห็นไหม?
เธอสามารถ บรรเทาความหิวได้ด้วยเนื้อสัตว์
หรือบรรเทาได้ ด้วยการรับประทานอาหารมังสวิรัติ
เนื้อมังสวิรัติและเนื้อสัตว์ เห็นไหม มันมีอยู่ ๒ อย่าง
ทั้ง ๒ อย่างต่างใช้ได้ผล ใช่ไหม?
แต่ในระยะยาวแล้ว
ผู้ที่รับประทานเนื้อสัตว์ จะทำให้ตนเอง สึกหรอมากกว่าผู้รับประทานมังสวิรัติ
ใช่ ในแง่ของสุขภาพ เข้าใจไหม?
เพราะฉะนั้น เธอมองเห็นได้ ใช่ไหม? ใช่
ขอบคุณ ท่านอาจารย์ แค่มี อีกประเด็นหนึ่ง กระนั้น เกี่ยวเนื่องกับ…
แต่หล่อนเป็นนักรักษา
แน่นอน หล่อนจะใช้อะไรก็ได้ ๆ ที่หล่อนต้องการ เพื่อรักษาคน
ก็เหมือนที่แพทย์ทำ ใช่ไหม? เห็นไหม ใช่แล้ว คนต่อไป
คำตอบสำหรับคำถามของอีกคนหนึ่งนั้น ก็เหมือนกัน เขาอาจจะใช้ว่า
ช้างและฮิปโปโปเตมัส เป็น ๑ ในสัตว์ที่แข็งแรงที่สุดในโลก
กระนั้น พวกมันก็รับประทานมังสวิรัติ
ใช้มัน? ใช้? อ๋อ ใช้คำอธิบายนี้สำหรับ… (เพื่อบอกพวกเขา…)
โอเค เป็นตัวอย่าง ใช่แล้ว แน่นอน ทำอย่างนั้นก็ได้ ใช่แล้ว
แต่เราได้เขียนข้อมูลส่วนใหญ่ไว้
อย่างรวบรัดจับความใน “ทำไม จึงควรรับประทานมังสวิรัติ?” ใช่ไหม? “ประโยชน์ของการรับประทานมังสวิรัติ”
จริง ๆ แล้ว เราไม่ควรพูดว่า “ทำไมจึงควรรับประทานมังสวิรัติ”
แต่ควรพูดว่า “ประโยชน์ ของการรับประทานมังสวิรัติ” ใช่!
ประโยชน์อันแน่แท้ หลักฐานอันแน่ชัด
อาหารมังสวิรัติซึ่งถูกลองแล้ว และได้รับความไว้วางใจ
นี่ฟังดูเป็นแง่บวกมากกว่า
ใช่แล้ว อะไรอย่างนั้น และให้พิมพ์ใหม่
รู้ไหม แค่ถ่ายเอกสารมาสักนิด แล้วก็เอาไปให้พวกเขา
และขีดเส้นใต้ส่วนที่สำคัญไว้
รู้ไหม ดังเช่น โมฮัมหมัดเป็น…
รู้ไหม เป็นนักมวยปล้ำแชมป์โลกมาก่อน
ว่าอย่างไรนะ? (เขาเป็นนักมวย) เป็นนักมวย ใช่แล้ว
โมฮัมหมัด อาลี ใช่แล้ว เขารับประทานมังสวิรัติ เป็นต้น
ไอน์สไตน์ รับประทานมังสวิรัติ โซคราตีส…
โอ มีตั้งมากมาย มากมายหลายคน ที่รับประทานมังสวิรัติ
โอเคไหม? ดีแล้ว คนต่อไป คำถามต่อไป ใช่แล้ว
ผมประทับจิตมาได้ประมาณ ๒๐ วันแล้ว
และผมพบว่า การทำกวนอิมนั้นยากจริง ๆ
เช่น อาจทำไปแค่ รู้ไหม ๑๐ นาที
แล้วมันก็ได้แต่... ได้แต่รู้สึกปั่นป่วนอยู่ภายใน ผมแค่…
ใช่ ๆ ฉันเข้าใจ มันกระสับกระส่าย ใช่แล้ว (จริง ๆ เลย ใช่แล้ว)
เอาล่ะ เธอไม่ชินกับมัน
เพราะกระแสต่าง ๆ กระแสเสียงต่าง ๆ มีพลังมากเกินไป ใช่ไหม?
และอะไรก็ตามที่อยู่ภายในเธอ มันต่อต้าน เข้าใจไหม?
ดังเช่น พลังทางลบ ความเจ็บป่วย โรคภัยไข้เจ็บ
สิ่งไม่ดีนานาประการที่อยู่ภายในเธอ มันต่อต้าน ใช่แล้ว
แต่เธอทำต่อไปเรื่อย ๆ แล้วมันจะดีขึ้น
และบางทีเธอจะนั่งได้นาน
เธอจะไม่รู้เวลาด้วยซ้ำไป ใช่!
เธอเติมเข้าไปอีกหน่อยก็ได้
รู้ไหม ตัวอย่างเช่น ปกติเธอนั่งได้แค่ ๑๐ นาที
แล้วเธอก็รู้สึกว่า ทำได้ดี รู้สึกว่า ทำได้
แต่ผ่านไประยะหนึ่ง เธอก็เติมเข้าไป รู้ไหม เช่น วันนี้ ๑ นาที
พรุ่งนี้อีก ๒ นาที
๒, ๓ วันต่อมาอีก ๓ นาที และอีก ๕ นาทีในสัปดาห์ต่อไป ใช่ไหม?
หรือวันละครึ่งนาที จนกระทั่งเธอทำได้ เข้าใจไหม?
วันละครึ่งนาที จิตคิดของเธอ สามารถทนได้ ใช่ เข้าใจไหม?
และมีอีกเรื่องหนึ่ง
สิ่งที่ผมทำเพื่อหาเลี้ยงชีพคือ ผมเก็บเลือด
ดังนั้น ผมทำงานในแผนกพยาธิวิทยา ในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง
เก็บอะไรนะ? (เก็บเลือด) อ๋อ เลือด อ๋อ ใช่
รู้ไหม ตรวจเลือด เวลาเราต้องไปตรวจเลือด
ใช่ ๆ ๆ
คือว่า ผมข้องเกี่ยวกับคนป่วยจำนวนมาก ในระหว่างวัน ตลอดทั้งวัน
และผมสงสัยว่า มันมี… นอกจากการท่องนามทั้ง ๕ แล้ว
เมื่อผมเข้าไปข้องเกี่ยวกับคนไข้แต่ละคน
มันมีวิธีอื่นไหม ที่ผมจะป้องกันตนเองจากอะไร ๆ ได้?
โอ้! เธอไม่ต้องป้องกันตนเองหรอก มันไม่เป็นไร
เธอหมายความว่า ป้องกันตนเองจากโรคหรือจากพลังงาน?
ใช่แล้ว เพราะบางทีเราได้คนไข้มา
และเราไม่อยากจะไปเข้าใกล้เขา (เธอกังวล! เข้าใจ)
เอาล่ะ ให้เธอท่องนามทั้ง ๕ และล้างมือให้สะอาด
หรือที่ใดก็ตาม ที่เธอสัมผัสกับผู้ป่วย ก็ให้ทำทันทีหลังจากนั้น
ใช่แล้ว ผมทำอย่างนั้นอยู่แล้ว (ใช่ ๆ ) เพราะเราต้องทำอย่างนั้น
ถ้าเธอทำได้ เวลาท้ายวันหรือ เวลาไหนก็ได้ ให้หามะนาวมาสักหน่อย
(มะนาวหรือ?) ใช่แล้ว มะนาวแถว ๆ นั้น เธอจะได้ล้างมือด้วยมะนาว (เข้าใจ)
มันตัดพลังงานได้ดีกว่า ตัดการเชื่อมต่อทางจิต
มะนาวและเกลือ เข้าใจไหม? (เข้าใจ)
แต่เพียงนิดเดียว นิดเดียวเท่านั้น แค่ไม่กี่หยด และเกลือสักนิด
และล้างเร็ว ๆ แล้วล้างออก
แล้วสะบัดมือ ๗ ครั้งหลังจากนั้น ใช่
เพื่อตัดการเชื่อมต่อทางจิต
ถ้าทำอย่างนั้นแล้ว เธอรู้สึกดีขึ้น ก็ ให้ทำอย่างนั้นไป เข้าใจไหม? มันช่วยได้
หากเธอรู้สึกไม่ค่อยดี ก็ให้ทำอย่างนั้น เข้าใจไหม? (เข้าใจ)
โอเคไหม? (ครับ)
ไม่ใช่ ๗ ครั้งพอดี ๆ แต่มากกว่า ๗ ครั้ง
หลังจากสะบัดไป ๗ ครั้งแล้ว จะสะบัดอีก ก็ได้ รู้ไหม เมื่อใดก็ตามที่เธอทำได้
แต่อย่างน้อย ๗ ครั้ง เข้าใจไหม? ใช่แล้ว โอเค
ให้สะบัดแรง ๆ รู้ไหม สะบัดมันออกไป ไปที่ไหนก็ได้…
ปกติแล้ว เธอสัมผัสพวกเขา ด้วยมือของเธอ ใช่ไหม?
ดังนั้น ให้ล้างก่อน ล้างแล้ว ก็ให้สะบัดทันที
ใช้น้ำให้มาก ปริมาณมาก ๆ
เอาล่ะ พวกผู้ชาย ถามต่อ
สวัสดี ท่านอาจารย์ ท่านได้ยินผมหรือเปล่า? (ได้ยิน ๆ ๆ )
ขอโทษครับ ผมตื่นเต้นนิดหน่อย
เพราะปกติ ผมไม่ค่อยได้พูด ต่อหน้าคนจำนวนมากขนาดนี้
โอ หนุ่มน้อย ๆ หนุ่มน้อยตัวใหญ่!
ก่อนอื่น ผมแค่ อยากจะขอบคุณมากเลยสำหรับทุกสิ่ง
เพราะผมมีชีวิตมาน่าสนใจทีเดียว
และมีชั่วขณะที่มีความสุขจำนวนมาก และมีชั่วขณะเศร้า ๆ อยู่บ้างเหมือนกัน
และผมเพียง…
มีอยู่ส่วนหนึ่งของผม ที่ดูเหมือนจะคิดว่า ทุก ๆ อย่างก็ดีไปหมดอยู่แล้ว
ดังนั้น ผมแค่อยากขอบคุณท่านสำหรับ…
สำหรับทุกอย่าง
ไม่เป็นไร น้องชาย! หายใจเข้าลึก ๆ พักสักนิด
แล้วพยายามคิดดูว่า เธออยากพูดว่าอะไร
ประมาณ ๖ เดือนมาแล้ว
ผมคล้ายกับ เข้าสู่สภาวะที่ค่อนข้างสงบ และ…
เธอเข้าสู่สภาวะที่สงบหรือ? (ใช่แล้ว) ใช่
และ ผมได้รับความช่วยเหลือจากท่านมากมาย
แล้วผมก็เริ่มคิดเรื่องนี้มากเกินไป และ…
ผมต่อสู้กับจิตคิดของผมอย่างหนัก เป็นเวลานาน
และบางครั้ง ผมก็คล้ายกับ ปล่อยให้มันชนะไป และ… มัน…
เธอตื่นเต้นขนาดนั้นเชียวหรือ?
ผมแค่อยากบอกว่า ผมเสียใจมาก
ผมมีความคิด และอะไร ๆ ที่ไม่บริสุทธิ์อยู่มากมาย
บางครั้งเธอแพ้หรือ?
เธอเสียเวลาดี ๆ ของเธอไปบางส่วน ทำสิ่งที่ไม่ค่อยดีใช่ไหม?
ไม่เป็นไร ลืมมันไปเถอะ มันผ่านไปแล้ว
นั่นคือสิ่งที่รบกวนใจเธออยู่เดี๋ยวนี้หรือ?
เอาล่ะ ถ้าอย่างนั้น ให้เธอสัญญา กับตัวเองว่า จะไม่ทำอย่างนั้นอีก
และนั่นคือสิ่งเดียว ที่เธอจะทำ เอาล่ะ แล้วก็อภัยให้ตัวเองเสีย
(ขอบคุณ ท่านอาจารย์) ด้วยความยินดี
เธอได้แต่เสียเวลาของตัวเธอไป ไม่ใช่เวลาใครอื่น
ดังนั้น ให้เริ่มใหม่ เข้าใจไหม?
บางครั้งเราทำอย่างนั้น เราเบื่อ
เราเบื่อ ดังนั้น เราจะเริ่มหละหลวม
ไม่ต้องกังวล เป็นเรื่องเล็ก
จงจำไว้ว่า เธอคือพระเจ้า เข้าใจไหม? เธอเป็นผู้ตัดสินใจว่า เธอจะทำอะไร
แต่บางครั้ง การตัดสินใจของเธอก็ไม่สูงส่ง ดังที่เธอต้องการ
ดังนั้น จงเปลี่ยนแปลงมันเสีย เข้าใจไหม? ง่ายมาก
เธอยังตื่นเต้นอยู่หรือเปล่า?
เอาล่ะ คือว่า หากเธอ อยากถามคำถามเพิ่มเติมในภายหลัง
ให้เธอเขียนไว้จะดีกว่า แล้วให้อ่านเอา
“ท่านอาจารย์ คำถามแรก
ผมอยากทราบว่า มันจะเป็นอะไรไหม
ถ้าไม่ทำสมาธิวันละ ๒ ชั่วโมงครึ่ง”
นี่…
เธอไม่ได้ตื่นเต้นขนาดนั้นนี่!
ตอนนี้ไม่ค่อยตื่นเต้นแล้ว
ประมาณ ๖ เดือนมาแล้ว ผมไปชายหาดที่ออสเตรเลียที่ไหนสักแห่ง
แล้วผมพยายามนึกถึงเพลงเพลงหนึ่ง
ที่จะช่วยสอนอะไรบางอย่างให้กับผม เกี่ยวกับวิถีกวนอิมและอะไร ๆ
แล้วอะไรคล้ายเพลง ก็เข้ามาในหัวผม แล้วผมก็คล้ายกับร้องให้ตัวเองฟัง
และผมก็คิดด้วยว่า ผมได้ทำให้ท่านดีใจ
และผมก็สงสัยว่า วันหนึ่ง ใน ๒, ๓ วันที่จะถึงนี้หรืออะไรอย่างนั้น
ผมจะร้องให้ท่านฟังได้หรือเปล่า?
โอ! ถ้าเธอร้องเพราะ พวกเขาจะอนุญาต ให้เธอชนะการประกวด
ในวันที่ ๑ ของสหัสวรรษใหม่ เราจะมีงานเลี้ยง
เธอลองไปบอกพวกเขาดูก็ได้
แล้วเขาจะอนุญาตให้เธอร้อง ใน ๑ ในรายการต่าง ๆ ดีไหม?
(ขอบคุณครับ) ทุกคนจะได้ได้ยิน ดีไหม?
วันนั้นจะมีคนมามากกว่าวันนี้อีก เป็นพันหรืออะไรอย่างนั้น
ดังนั้น ให้เก็บไว้สำหรับงานใหญ่
(ขอบคุณครับ) ด้วยความยินดี
อรุณสวัสดิ์ ท่านอาจารย์ (อรุณสวัสดิ์)
มันเป็นเกียรติอย่างยิ่งจริง ๆ ที่ได้นั่งอยู่ที่นี่ต่อหน้าท่าน
เธอแค่ถ่อมตัวมากเกินไปต่างหาก
ความคิดของผมวกกลับไปสู่บางอย่าง
ที่สตรีผู้นั้นพูดถึงเมื่อเช้านี้
เกี่ยวกับกลุ่มทางศาสนาและวันพระ
หากเราพูดถึงศาสนาเดียวกัน
ศาสนานั้นยังพูดถึง เนื้อสัตว์ที่สะอาดและไม่สะอาด
ตามกฎของโมเสก
และผมก็ได้แต่นั่งอยู่ที่นี่ คิดไปพลาง ขณะที่หล่อนพูดอยู่
ว่า คนเหล่านี้ยังไม่รู้แจ้งเลย… (แน่นอน)
…เนื่องจากมันมีความจริงอยู่ว่า มันไม่มีอะไรดังเช่นเนื้อสัตว์สะอาด และเนื้อสัตว์ไม่สะอาด
เราไม่ควรรับประทาน ไม่ว่าอย่างใด
และพวกเขายังไม่รู้แจ้ง เนื่องจากมันมีความจริงอยู่ว่า ไข่ก็อยู่นอกประเด็นเหมือนกัน
ใช่แล้ว แน่นอน
แต่พวกเขาอยู่ไม่ไกลเกินกว่า ที่หล่อนจะบอกเรื่องทั้งหมดนี้ กับพวกเขาได้ ดังนั้น อะไรก็ตามแต่
เธอต้องพยายามขยับไปทีละนิ้ว ใช่แล้ว
แค่บอกพวกเขา ให้อ่านบางย่อหน้าในพระคัมภีร์ก็พอ
มันมีบอกไว้ว่า อย่ารับประทานเนื้อสัตว์ และอะไร ๆ อย่างนั้น
บางทีพวกเขาก็อ่าน บางทีก็ไม่อ่าน
มารดาของผมมีอายุประมาณ ๖๖ ปี และท่านบำเพ็ญศาสนาอิสลาม
และท่านอยากประทับจิต ท่านประทับจิตได้ไหม?
อ๋อ ได้แน่นอน ไม่เป็นไร (ไม่เป็นไรหรือ?)
ใช่แล้ว ท่านอยู่ที่ไหน? (อยู่ที่แคลิฟอร์เนีย)
เอาล่ะ บอกให้ท่านรีบ ๆ มา เมื่อมีการประทับจิตคราวต่อไป
ขอบคุณครับ
ท่านอาจารย์ ฉันประทับจิตเกือบ ๔ ปีแล้ว
และฉันไม่เคยประสบแสงหรือเสียงเลย
แสงหรือเสียง? ไม่มีแสง ไม่มีเสียงหรือ?
โอ้… ลาก่อน! ถ้าอย่างนั้น เธอยังอยู่ที่นี่ทำไม?
ที่นี่ เราเป็นเพียงกลุ่มแสงและเสียง
เธอทำอะไรอยู่ที่นี่? (ฉันทราบ) อยู่แต่ในความมืดแบบนี้!
เธอเป็นพันธุ์ที่แตกต่างออกไป!
เธอแน่ใจหรือว่า เธอยังอยากอยู่แถวนี้กับเราต่อไป?
อะไรทำให้เธอรีรออยู่นานขนาดนี้ โดยไร้แสง?
เธอคืบคลานอยู่ในความมืด
ฉันแค่รู้สึกว่า ฉันมีสายเชื่อมต่อกับท่านอย่าง เหนียวแน่น และรักท่านอย่างแรงกล้า
มันทำให้ฉันมีกำลังใจทำต่อไป
โอ อย่างนั้นหรือ? นั่นยอดเยี่ยม
นั่นเป็นประสบการณ์อีกแบบหนึ่ง ใช่ไหม? (อย่างนั้นหรือ?)
ใช่แล้ว แต่ไม่เป็นไร
เธอมานั่งที่นี่ก็ได้ และลากโต๊ะไปตรงนั้น
และมานั่งที่นี่ได้ และดูว่า เธอรู้สึกดีขึ้นหรือเปล่า
เอาล่ะ พอแล้ว
เห็นไหม? เห็นเครื่องประดับทั้งหลายนี่ไหม? ฉันจะทำให้มันปนกันยุ่งไปหมดทุกครั้ง
ไปนั่งตรงนั้น
มีคำถามอะไรอีกไหม? (ไม่มีค่ะ) แค่นั้นเองหรือ?
เอาล่ะ นั่งห่างออกไปอีกนิด อย่างนั้นล่ะ… ตรงนั้น ดีแล้ว
คราวนี้ให้นั่งตรงนั้น และทำสมาธิ เข้าใจไหม? ทำสักระยะหนึ่ง
มีคำถามอะไรอื่นอีกไหม?
สวัสดีค่ะ ท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์ ท่านได้ยินฉันหรือเปล่า? (ได้ยิน)
ส่วนหนึ่งในของงานของฉันคือ การจัดชั้นเพื่อให้คำแนะนำ
และสอนคนให้ติดต่อสื่อสารกันได้ดีขึ้น
๑ ในสิ่งที่เราสอนคือ การประสานสายตา (เข้าใจ)
คราวนี้ฉันอ่านมาว่า
มันไม่ดี ที่จะมองตาใคร เนื่องเพราะเรื่องของกรรม (ใช่)
ฉันจะเอาเรื่องนี้ไปบอกคนได้อย่างไร โดยที่ไม่…
ไม่ ไม่ให้เธอเอาไปบอกคนอื่น (ถ้าอย่างนั้น มันไม่เป็นไรหรือ?)
กรรมของพวกเขาทั้งหมดนั้น เหมือน ๆ กัน
ดังนั้น ถ้าพวกเขามองตากันและกัน มันไม่เป็นไร
เมื่อเธอมองตาพวกเขา ให้เธอท่องนามทั้ง ๕ เข้าใจไหม?
และให้อวยพรเขา
ขอบคุณค่ะ ท่านอาจารย์ (ไม่เป็นไร)
ท่านอาจารย์ ท่านสามารถ ยกระดับทางจิตวิญญาณของผมได้ไหม?
มันเป็นไปได้ไหม? (การทำอย่างนั้น ทำอย่างไรหรือ?)
หากท่านอยากทำ ท่านทำได้ไหม?
อา ให้ฉันคิดดูซิ…
ขอร้องเถอะ!
สักวันในสัปดาห์นี้ดีไหม?
ขณะนี้เธออยู่ที่ไหน?
ระดับไหนหรือ? (ใช่แล้ว) อา ที่ไหนสักแห่งแถว ๆ ระดับที่ ๑
คือ เราสามารถไปได้ เพียงทีละระดับเดียว รู้ไหม?
ใช่แล้ว ๑ กับอีกครึ่ง หรือ…
ใช่แล้ว ทำไมเธอไม่ลองไปนั่งที่นั่น แล้วทำสมาธิสักระยะ
ดูซิว่า มันจะดีขึ้นหรือเปล่า ดีไหม?
เธอไม่จำเป็นต้องขัดสมาธิก็ได้ แต่ถ้าเธออยาก ก็ทำได้
มิฉะนั้น ก็ให้เตะข้าง ๆ ชายที่อยู่ข้างหน้า
แล้วก็ยืดขาไปหรืออะไรก็ตามแต่
ให้นั่งให้สบาย ๆ ใช่แล้ว
เอาล่ะ คนต่อไป
ท่านอาจารย์ ตรงนี้ (เชิญ!)
ภรรยาของผมกับผมประทับจิตกัน ที่อิสตันบุล ตุรกี วันที่ ๒๐ พ.ย.
ผมอยากจะขอขอบคุณท่านมาก สำหรับการประทับจิตครั้งพิเศษนั้น
ผมมีคำถามอยู่คำถามหนึ่ง ผมประสบ กับเรื่องปาฏิหาริย์อยู่เรื่อย ๆ ในชีวิต
และเมื่อมาที่ฌานนี้ ผมได้โอกาส
ฟังเรื่องต่าง ๆ จากพี่น้องคนอื่น ๆ
เกี่ยวกับปาฏิหาริย์จำนวนมาก ที่เกิดขึ้นโดยท่าน
และผมสงสัยว่า ท่านทำเรื่องปาฏิหาริย์ จำนวนมากขนาดนี้ได้อย่างไร?
ปาฏิหาริย์ก็คือว่า ฉันไม่เคยทำอะไรเลย
มันเป็นไปเองโดยอัตโนมัติ เข้าใจไหม!
บางทีมันเป็นไปโดยผ่านกายเนื้อนี้ แต่ผู้ที่กระทำคือพระเจ้า
ขอขอบคุณ
และบางทีพระเจ้าจะเลือก เครื่องมือบางอย่าง ใช่ ดังเช่น ตัวฉันเอง
เพื่อแสดงปาฏิหาริย์กับใครก็ตาม ที่พระองค์รู้สึกว่า ควรค่าที่จะรับ
(ขอบคุณมากครับ) ด้วยความยินดี
เธอมาตั้งไกลจากตุรกีเชียวหรือ?
ผมอาศัยอยู่ที่เนเธอแลนด์ (โอ!)
และนั่นเป็นสถานที่ที่ใกล้ที่สุด ที่จะประทับจิต (ใช่ ๆ ๆ )
ทั้งนี้ทั้งนั้น ผมมาจากสหรัฐอเมริกา (โอเค)
ใช่แล้ว เป็นคนที่นานาชาติมาก
เอาล่ะ เธอเป็นคนที่อยากได้มัน ใช่แล้ว
ใช่แล้ว ฉันอยากขอบคุณ ที่ท่านเอาใจเรา พระอัลเลาะห์
และทุกครั้งที่ท่านถามว่า เรารู้สึกอย่างไร
ฉันก็อยากถามท่านกลับว่า “ท่านรู้สึกอย่างไร”
แต่ฉันขัดจังหวะท่านไม่ได้
อืม… ฉันรู้สึกดี
ฉันจะรู้สึกดีตลอดไปไม่ได้หรอก แต่ฉันรู้สึกดีมาก
ขอบคุณ ท่านอาจารย์
ใช่แล้ว ฉันโชคดีมาก และได้รับพรมาก และได้รับความรักมาก
ดังนั้นส่วนมาก ฉันได้แต่รู้สึกดี ใช่แล้ว
นอกเหนือไปจาก… งานอะไรก็ตาม ที่ฉันต้องทำ
ฉันจะรู้สึกดีอยู่ตลอดเวลา
เราดีใจมาก ที่ได้อยู่กับท่าน
ขอบคุณ
ข้างหน้า
ท่านอาจารย์ ประมาณ ๒ ปีมาแล้ว ฉันมีหนังสืออยู่เล่มหนึ่ง
ฉันอ่านหนังสือเล่มนี้
มันมีพูดถึงกลุ่มคน เป็นหมู่บ้านอะไรอย่างหนึ่งในเปรู
ที่ประสบกับ…
ในระหว่างที่มีชีวิตอยู่ พวกเขาหายเข้าไป ในอะไรทางจิตวิญญาณบางอย่าง…
โอ้ เธออ่านหนังสือเรื่อง เซเสลทีน พร๊อบเฟอซี่หรือเปล่า (อ่าน ๆ )
ฉันทราบว่า วิถีของเราไม่ใช่อย่างนั้น
เธอทราบว่าอะไรนะ? ไม่ใช่อย่างนั้นใช่ไหม?
วิถีของเราไม่ใช่อย่างนั้น
เราจะใช้ชีวิตนี้ของเรา แล้วจากนั้น ก็จะกลับไปหาพระบิดาของเรา
แต่พวกเขาไปสวรรค์ ไปหาพระบิดาเราหรือเปล่า?
พวกเขาไปสู่ระดับชั้นของพวกเขา เข้าใจไหม?
ถ้าอย่างนั้น ทุกคนในชาตินี้ ก็ทำอย่างเดียวกันได้หรือ?
ไม่ใช่ทุกคน
มันจะดี ถ้าเราไป เมื่อเรามีชีวิตอยู่ในกายเนื้อหรือ?
เธอทำได้ เธอทำอย่างนั้นได้เหมือนกัน แต่เราไม่ได้เร่งรีบ
เรามีเวลาใช้ชีวิตอยู่เพียงไม่กี่ปี หรือไม่กี่ทศวรรษ
ให้สนุกกับมัน เข้าใจไหม?
เราจะไปเองโดยธรรมชาติ เมื่อเวลามาถึง (ค่ะ)
แต่คนเหล่านั้น พวกเขาเลือกจะทำอย่างนั้น
และนั่นก็ไม่เป็นไรสำหรับพวกเขา
แต่ละคนก็มีวิธีเลือกใช้ชีวิต แตกต่างกันไป เข้าใจไหม?
และฉันมีอยู่อีกเรื่องหนึ่ง
ว่า ฉันจะบอกว่า ฉันรักท่านมาก
ฉันเพียง…
ฉันเชื่อ ที่ท่านพูด ทุกอย่าง แต่ฉันแค่…
บางครั้งจิตคิดของฉันเป็นลบมาก และมันก็เป็นอย่างนี้
หากฉันสามารถควบคุมเรือใบหรือ อะไรบางอย่าง เพื่อทำให้มันเป็นบวกได้
ฉันก็จะทำ แต่ฉันไม่ทราบว่า จะทำอย่างไรกับมันดี
เธอคิดว่า ฉันมีอะไรเป็นลบบ้าง?
ฉันไม่ทราบ
บางทีจะมีอะไรบางอย่างเข้าหัวฉัน แล้วฉันก็จะบอกว่า “ทำอย่างไรดี?”
ถึงแม้ฉันจะมีความรักมาก ๆ และ…
ใช่ ฉันทราบ ๆ แต่คำถามคืออะไรล่ะ?
เธออยากทราบอะไรเกี่ยวกับฉัน?
หากฉันสามารถ กำจัดสิ่งที่เป็นลบต่าง ๆ ออกไปได้
แต่มันคืออะไร ที่เธอสงสัยเกี่ยวกับตัวฉัน?
คำสอนของฉันหรือ? (เปล่า เปล่าค่ะ เปล่า)
พฤติกรรมของฉันหรือ? (เปล่าค่ะ!)
บางทีเป็นฉันเอง ฉันเล่าไปว่า ฉันทำอะไร
ไม่ใช่ ๆ จะถามว่าอะไร
ฉันบอกไปว่า ฉันทำอะไรไป มันดีไหม?
ไม่ มันไม่ดี
แต่อะไรคือเหตุผล ที่ทำให้เธอคิดในด้านลบเล่า?
(บางทีบางครั้ง…) เธอไม่ชอบผมของฉันใช่ไหม?
ฉันชอบทุกอย่าง ที่ท่านทำ ฉันชอบจริง ๆ
เหอ? เธอเข้าใจนี่นะ? เธอเห็นนั่นแล้วนะ?
เธอออกไปดูหนังเรื่องนั้นมาหรือ? ใช่แล้ว? อะไรหรือ?
บางทีมันอาจจะเป็นอย่างนี้ ว่าถ้า…
บางทีฉันดุคนหรือ? (ขอโทษ อะไรนะคะ?)
บางทีฉันดุคน มันทำให้เธอหงุดหงิดใจหรือ?
(นิดหน่อย) โอ ใช่แล้ว ฉันทราบ ๆ
ใช่แล้ว ฉันก็ไม่ชอบเหมือนกัน ฉันเกลียดงานส่วนนั้นของฉันจริง ๆ
นั่นคืองาน ส่วนที่ฉันเกลียดที่สุด ใช่
เป็นงานส่วนที่ยากที่สุด ที่ฉันไม่ชอบ
มิฉะนั้นแล้ว อย่างอื่น ฉันชอบหมดทุกอย่าง
ฉันชอบ เวลาคนปรบมือ ชอบมือที่ปรบ ชอบดวงตาที่ชื่นชม
ชอบรองเท้าส้นสูง เครื่องสำอาง เสื้อผ้าสวยงาม
เพลงต่าง ๆ คำยกย่องเชิดชู ใช่แล้ว
และความสำเร็จ ในความก้าวหน้าทางจิตวิญญาณของเธอ
เพียงว่า ฉันไม่ชอบงาน
ส่วนที่ฉันต้องยกของหนัก กรรมที่มองไม่เห็นหนัก ๆ
ด้วยแรงทั้งหมดที่ฉันมี
ฉันไม่ชอบ บางครั้งมันทำให้ฉันหมดแรง หืม
ดังนั้น ฉันไม่โทษเธอ ถ้าเธอก็ไม่ชอบมันเหมือนกัน
ถ้าอย่างนั้น เราต่างก็ไม่ชอบกันทั้งคู่ เป็นเรา ๒ คน
ฮื่ม มีอะไรอื่นอีกไหม?
เปล่า ฉันเพียงอยากจะบอกว่า ฉันรู้สึกละอายใจ ที่มีความรู้สึกอย่างนั้น
ไม่เป็นไร มันไม่เป็นไร
เธอแค่ไม่ชอบ สิ่งที่ฉันทำ ไม่ใช่ว่า เธอไม่ชอบฉัน เข้าใจไหม? (ค่ะ)
ฉันก็ไม่ชอบเหมือนกัน
เพียงว่าเธอไม่เข้าใจหน้าที่ของฉัน แค่นั้นเอง เข้าใจไหม?
เธอไม่เข้าใจหน้าที่การงานของฉัน
ตัวอย่างเช่น เธอมีลูกอยู่ ๒, ๓ คน ใช่ เธอมีลูกหรือเปล่า? (ไม่มีค่ะ)
ไม่มี! แล้วฉันจะอธิบายให้เธอได้อย่างไร?
เธอมีพี่น้องหรือเปล่า? พี่น้องที่ทำตัวมีปัญหา? (มีค่ะ)
บางทีเธอมีทะเลาะกันบ้างไหม? (มีค่ะ) เถียงกันไหม? เอาล่ะ
คืออย่างนี้ สำหรับคนภายนอก พี่น้องของเธอดูเรียบร้อยดีทุกอย่าง
อ่อนหวาน สุภาพ เฉลียวฉลาด
แต่กับเธอ บางทีพวกเขาทำตัวมีปัญหา
ชอบเถียง ดื้อรั้น ชอบสร้างปัญหาให้กับเธอ
ชอบทำให้เธอร้องไห้ด้วยคำพูด ด้วยลิ้นอันคมกริบ ด้วยการกระทำอันก่อกวน ใช่ไหม?
และเธอก็จะต้องเถียงกับพวกเขา ทะเลาะกับพวกเขา
แล้วเธอก็ร้องไห้ และเธอก็ไม่ชอบ
แต่ชีวิตเป็นเช่นนั้น ใช่ไหม?
ไม่มีใครเข้าใจเธอ เมื่อเธอทะเลาะกับ น้องสาวผู้สวยงาม อ่อนหวานของเธอ
พวกเขาจะบอกว่า "ทำไมคุณถึงไปทำกับเขาอย่างนั้น?”
พวกเขาไม่ทราบเรื่องภายใน และเรื่อง ของกรรมระหว่างพวกเธอ เข้าใจไหม?
ในทำนองเดียวกัน ฉันมีพี่น้องเป็นพัน และพัน และพันคน
ที่ทำตัวมีปัญหามากกว่าพี่น้องของเธอ หืม
และเราจะกระทบกระทั่งกันเป็นบางครั้ง เพื่อพวกเขาจะได้ดีขึ้น
โดยเอาชื่อเสียงและกิริยาอันสง่างาม ของฉันเข้าแลก เข้าใจไหม? (ใช่)
ดังนั้น เธอไม่ใช่คนเดียว ที่ไม่ชอบมัน
ฉันเป็นคนแรกด้วยซ้ำ ที่ไม่ชอบมากกว่าด้วยซ้ำ!
แต่ฉันต้องทำหน้าที่ของฉัน เข้าใจไหม? (ค่ะ ฉันเข้าใจ) ดีแล้ว
ดังนั้น มันไม่สำคัญอะไร หากเธอไม่ชอบส่วนนั้นในหน้าที่ฉัน
ไม่เป็นไร มันไม่ได้หมายความว่า เธอไม่ชอบฉัน
ดังนั้น มันไม่เป็นไร จงให้อภัยตนเอง หืม
ขนาดฉันยังไม่ชอบเลย แล้ว ฉันจะไปคาดหวังให้เธอชอบได้อย่างไร?
แต่คนบางคนจำเป็นต้องถูกดุ เข้าใจไหม? เชื่อฉันเถอะ!
คนบางคนจำเป็นต้องถูกผ่าตัด และต้องได้มีด เพื่อให้ดีขึ้น
เพียงรับประทานยาเม็ดหนึ่ง ยาหวาน ๆ เม็ดหนึ่งนั้น ไม่เพียงพอสำหรับพวกเขา
คนบางคนแย่เหลือเกิน พวกเขาจำเป็นต้องได้รับการผ่าตัด
และอย่าไปโทษแพทย์ เข้าใจไหม?
มันเจ็บปวด แต่มันจะทำให้พวกเขาดีขึ้น เชื่อฉันเถอะ!
ใช่แล้ว ฉันต้องได้รับพรมามาก ถึงได้มีท่านอยู่ในชีวิต ขอบคุณค่ะ
ด้วยความยินดี และฉันได้พรเป็น ความทุ่มเทและศรัทธาของเธอในตัวฉัน
ถึงแม้ว่าเธอไม่ชอบหน้าที่การงานของฉัน เธอก็ยังชอบฉัน และฉันก็ได้รับพร
เอาล่ะ
ท่านอาจารย์ (อะไรจ๊ะ)
โอ มันคือเสียงของฉัน! ฉันจำเสียงตัวเองไม่ได้
(มีปัญหาอะไรหรือ?) ใช้ไมโครโฟน แล้วมันผิดไป
เธอแค่ตื่นเต้นเท่านั้นเอง ฉันคิด ใช่แล้ว
ฉันมีคำถามทางเทคนิคอยู่ ๒, ๓ ข้อ
เช่น เมื่อฉันทำสมาธิที่บ้าน และเพ่งเสียง
แล้วหลังจากนั้น ฉันนอนลง ฉันก็ยังได้ยินเสียงอยู่
จริง ๆ แล้ว จะได้ยินดีกว่า
เวลาฉันทำกวนอิมปกติมากเลยด้วย
และบางครั้ง ฉันจะเริ่มเห็นอะไร ๆ
หรือรู้สึก เหมือนฉันจะออกไปจากร่าง
แต่ ณ เวลานั้น
ฉันจะได้ยิน เหมือนมีใครดุฉัน เช่น บิดามารดาของฉัน
หรือ ฉันกระทั่งเห็นคนเข้ามาในห้องของฉัน
และมันดูจริงมาก หรือบางครั้งฟังดูจริงมาก จนฉันตื่นขึ้น
แล้วฉันก็จะเห็นว่า ไม่มีใครอยู่ที่นั่น
ทุกคนนอนหลับอยู่ หรือไม่ได้อยู่บ้านด้วยซ้ำ (เข้าใจ)
และบางครั้งมันเป็นเหมือนว่า เกิดขึ้นเวลานั้นพอดี ๆ
เช่น เมื่อฉันคิดว่า คนคนนี้น่าจะกลับบ้านแล้ว
ฉันก็จะได้ยินเสียงคนคนนี้เรียกฉัน
และบอกอะไรคล้ายว่า “นี่เป็นเหตุฉุกเฉิน เธอจะต้องไปแล้ว
และเธอจะต้องทำนี่ เธอจะต้องทำนั่น”
และแม้บางครั้งฉันทราบว่า มันไม่เป็นความจริง
และพยายามไม่ไปใส่ใจกับมัน
มันก็ยังเบนความสนใจฉัน และฉันก็จะเสียอะไรก็ตาม ที่ฉันเห็นหรือได้ยินไป (อื้ม)
ฉันก็เลยสงสัยว่า ฉันทำอะไรได้บ้าง เพื่อหยุดมัน?
คราวต่อไป แค่ให้พยายามหนักขึ้น เข้าใจไหม อย่าไปใส่ใจกับมัน
ค่ะ และฉันมีอีกคำถามหนึ่ง (เรื่องการบำเพ็ญ ได้)
ส่วนมาก ฉันจะได้ยินอะไร เฉพาะเมื่อฉันไม่ได้ทำเพ่งเสียง
เมื่อฉันนอนลงไปหลังจากนั้น เช่น…
และบางครั้งฉันจะได้ยินเสียงดนตรี เช่น กีตาร์หรือเปียโน
แต่มันฟังดูราวกับว่า ใครสักคนที่เล่นนั้น เล่นได้แย่มาก รู้ไหม
(ฉันทราบ) เหมือนกับพวกเขาเพิ่งหัดเล่น
ดังนั้น ฉันจึงสงสัยว่า ฉันควรฟังมันหรือเปล่า
หรือมันมาจากที่ไหนสักแห่งที่เป็นที่ไม่ดี?
เธอเกลียดนักดนตรีหรือ? เธอโทษพวกเขาไปทุกเรื่อง
บางทีอาจเป็นเธอ กีตาร์ของเธอเสียงเพี้ยน
เธอควรจะไปตั้งสายใหม่ จะดีกว่า
แต่ฉันควรฟังมัน หรือควรไม่ใส่ใจมัน?
ใช่แล้ว ให้ฟังต่อไป และซ่อมแซมเสีย
(ค่ะ ขอบคุณ) ด้วยความยินดี
คนต่อไป
ให้เธอยกมือ และบอกว่า “ตรงนี้!”
คนจะได้ทราบว่า อยู่ตรงไหน
ท่านอาจารย์ ผู้ประทับจิตทั้งหมดจากแอฟริกาใต้
ขอให้เราขอบคุณท่าน สำหรับพรและความรักทั้งมวล
ที่ท่านได้นำมาสู่แอฟริกาใต้ และที่ท่านได้ให้กับเรา
และพวกเราจำนวนมากมาไม่ได้ แต่ พวกเรารู้สึกสำนึกในบุญคุณมากจริง ๆ
และพวกเขาส่งความรักจำนวนมากมาย มาให้ท่าน และส่งคำขอบคุณอย่างยิ่งยวด
และนอกจากนี้ ขอบคุณจากฉันด้วย ท่านอาจารย์
สำหรับทุกอย่าง ที่ท่านทำให้ฉัน
มันเป็นอะไรที่พิเศษมาก ๆ และมาได้ถูกเวลาพอดีเลย
ฉันรู้สึกสำนึกในบุญคุณมากจริง ๆ (โอเค)
แต่ในเวลาเดียวกัน ท่านอาจารย์
ฉันรู้สึกละอายใจในตนเองนิดหน่อย ใน ๒ ระดับ
ระดับแรก ฉันพยายามไม่เป็นคนช่าง ตัดสิน ฉันพยายามเติบโตผ่านเรื่องนี้ไป
แต่ในอีกระดับหนึ่ง ท่านอาจารย์
ฉันรู้สึกว่า ฉันมีโอกาสมากมายหลายครั้ง
ที่จะมาฌานเพื่อใช้เวลา ที่ฉันมีกับท่าน
แต่กระนั้น ฉันก็ยังมีความกังขาในใจ เรื่องการบำเพ็ญของฉัน
เมื่อแรกฉันประทับจิต ฉันไม่เห็นแสง
อย่างน้อย นั่นคือ สิ่งที่จิตคิดบอกฉัน
และประมาณ ๑ ปีต่อมา
ฉันจำขึ้นมาได้ว่า ฉันเห็นอะไรขณะประทับจิต
ดังนั้น ฉันจึงทราบว่า ฉันเห็นแสงจริง
แล้วจากนั้น เมื่อประมาณ ๑ ปีครึ่งที่ผ่านมา
ในคืนหนึ่ง ฉันเห็นนิมิต เมื่อฉันทำสมาธิ
และมันน่ากลัวมากเลย
และเพราะมันน่ากลัวมาก ฉันจึงขอให้มันหายไป
และนับแต่นั้นมา เท่าที่รู้ ฉันก็ไม่ได้ประสบกับอะไรเลย
ทั้งนี้ทั้งนั้น ฉันวางใจ เชื่อว่า ฉันประสบกับแสง
เพราะฉันเชื่อ สิ่งที่ท่านสอนเราจริง ๆ
แต่ความรู้สึกส่วนที่เป็นความละอายใจ จะเกิดขึ้น เมื่อฉันรู้สึกว่า ฉันได้มาฌาน
แต่ยังคงนั่งอยู่ที่นี่ ทำสมาธิไป
และยังไม่รู้ตัวว่า ตัวเองมีประสบการณ์อะไร
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ฉันก็ยังมีความฝันด้วย ท่านอาจารย์
ซึ่งบางครั้ง ฉันไม่แน่ใจว่า มันเป็นความฝันของการหลับ หรือว่า มันเป็นประสบการณ์
และฉันฝันถึงท่านอยู่บ่อย ๆ
ดังนั้น ฉันคิดว่า บางทีฉันคงแค่อยากให้ ท่านอธิบาย ให้ฉันเกิดความชัดเจนขึ้น
เธออยากได้ประกาศนียบัตรหรือ?
ว่า จบการศึกษาหรืออะไรอย่างนั้นหรือ?
ชั้น ๕, ชั้น ๖… เอาชั้น ๗ ไหมล่ะ?
ท่านอาจารย์ ท่านทราบไหมว่า ทำไมฉันยังรู้สึกแย่ขนาดนั้นด้วย?
ในเคปทาวน์ ฉันเคยอ่านนิตยสาร เกี่ยวกับผู้ประทับจิตหญิงคนหนึ่งที่ตายไป
และน้องสาวของหล่อนได้พูดคุยกับหล่อน หลังจากหล่อนตายไปแล้ว
และน้องสาวถามพี่สาวตนว่า หล่อน เห็นเสียงและแสงไหม เมื่อหล่อนเสียไป
และพี่สาวก็ตอบว่า “ไม่ค่อยเห็น มันแย่มากเลย” (ใช่แล้ว)
แล้วจากนั้น น้องสาวก็ถาม พี่สาวผู้เสียไปนั้นว่า “แล้วทำไมล่ะ?”
แล้วหล่อนก็ตอบว่า “เพราะฉันเป็นผู้บำเพ็ญที่ไม่เอาไหน
เป็นผู้บำเพ็ญระดับต่ำ เมื่อฉันอยู่ในโลก”
และฉันเดาว่า นั่นทำให้ฉันกลัวมากเลย
เพราะหลังจากนั้น ฉันได้คุยกับทูต
และทูตอธิบายให้ฉันฟังเกี่ยวกับ
ถ้าเรายังคงติดอยู่ในโลกอสูร
ว่า เราจะไม่สามารถ หลุดพ้นไปจากที่นั่นอย่างไร
ทำได้! ก็ยังทำได้ (ยังทำได้ ใช่)
ไม่มีปัญหา! ท่านอาจารย์อยู่ทุกที่
สามารถไปดักจับเธอในโลกอสูร “อ้า! จับเธอได้แล้ว!”
…แล้วจากนั้น ก็โยนเธอขึ้นไป
ถ้าอย่างนั้น ท่านจะยังรับเราไปหรือ?
แน่นอน! รถโดยสารนั้นมีขนาดใหญ่
ท่านอาจารย์ แล้วฉันก็ยังมีคำถาม ที่ออกจะโง่เขลาอยู่คำถามหนึ่ง
ไม่ต้องกังวล เข้าใจไหม?
ตราบใดที่เธอต้องการจะขึ้นไป ฉันก็พอแล้วนั่น เข้าใจไหม?
ค่ะ ขอบคุณ ท่านอาจารย์
และหากเธออยากกลับลงมาที่นี่อีก
นั่นก็พออีกเหมือนกัน เพื่อส่งเธอกลับ
ไม่มีปัญหา เข้าใจไหม? (ฉันไม่อยากทำอย่างนั้น)
มันก็แล้วแต่
เห็นไหม นั่นก็หมายความว่า เธอพัฒนาขึ้นแล้ว
เพราะหากเธอไม่ได้พัฒนา เธอจะยึดติดอยู่กับโลกนี้มากกว่านี้
และจะยังคงไม่อยากไป แม้แต่เดี๋ยวนี้!
แต่แม้แต่เดี๋ยวนี้ เธอก็อยากไปแล้ว
ถ้าเช่นนั้น อย่าว่าแต่เมื่อเธอตายเลย เห็นไหม?
ถ้าอย่างนั้น นี่เป็นความต้องการเดียว ที่ประทับอยู่ในจิตคิดของเธอ
ว่า เธออยากหลุดพ้น
เพราะฉะนั้น มันจะเป็นอย่างนั้น เข้าใจไหม? ไม่มีปัญหา
(ค่ะ ขอบคุณ ท่านอาจารย์) ด้วยความยินดี
แล้วฉันก็ มีคำถามที่ออกจะโง่เขลาอยู่สักหน่อย
และฉันถามท่าน เพราะ
ฉันต่อสู้ดิ้นรนกับความพยายาม ที่จะ รักษาสมดุล ที่จะเป็นคนยุติธรรมให้ได้
ฉันย้ายออกไปจากบ้าน
และย้ายเข้าไปในบ้าน ที่ฉันแบ่งอยู่กับคนอื่น
แต่พวกเขาไม่ได้ประทับจิต
และจริง ๆ แล้ว พวกเขาเป็นคนที่มีจิตใจงดงาม
พวกเขาอ่อนน้อมถ่อมตนมาก และไม่ช่างติเตียน
แต่เมื่อพวกเขาหุงต้มเนื้อสัตว์
ฉันรู้สึกว่า ฉันลำบากใจมากจริง ๆ
พวกเขาหุงต้มเนื้อสัตว์หรือ? เวลาที่พวกเขาทำหรือ?
เวลาที่พวกเขาทำกินกันเอง ใช่แล้ว
ฉันทำอาหารรับประทานเอง และพวกเขาก็ทำของพวกเขาเอง (เข้าใจ)
และฉันรู้สึกลำบากใจ
ที่จะประสบกับกลิ่นนั้น และการที่พวกเขาหุง
แต่กระนั้น ฉันก็พบว่า พวกเขาเป็นคนที่มีจิตใจงดงาม (ใช่ ๆ )
ดังนั้น ฉันจึงสงสัยว่า มันจะมีผลกระทบ ต่อการบำเพ็ญของฉันอย่างไร?
ฉันจะเสียอะไรไปมากไหม ถ้าทำอย่างนั้น? หรือมันไม่เป็นไร?
หรือฉันควรหาที่อื่นที่สะดวกใจกว่า?
ถ้าเธอทำได้ เข้าใจไหม? ถ้าเธอไม่สบายใจ
แน่นอน เธอก็ต้องจัดการอะไรบางอย่าง ไป จนกว่าเธอจะสบายใจขึ้น ใช่แล้ว
ผู้คนจะอ่อนหวานและถ่อมตน
แต่ถ้าพวกเขาทำให้เธอไม่สบายใจ โดยไม่รู้ตัวด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง
เธอก็ต้อง พยายามจัดการชีวิตของเธอให้ดีขึ้น
แต่ไม่ต้องรีบร้อน เข้าใจไหม?
มันไม่เป็นไร มันเป็นเรื่องธรรมดา ที่เธอรู้สึกไม่ดี เมื่อพวกเขาหุงเนื้อสัตว์
มันเป็นเรื่องไม่ธรรมดา เฉพาะถ้าเธอไม่รู้สึกลำบากใจ
หรือถ้าเธออยากเข้าไปร่วมวงด้วย เข้าใจไหม? ดังนั้น มันไม่เป็นไร ใช่แล้ว
เอาล่ะ ขอบคุณ ท่านอาจารย์
อา ด้วยความยินดี
มันเป็นเรื่องยาก ที่จะบำเพ็ญในโลกนี้ และยากที่จะก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว รู้ไหม
เพราะเธอติดต่อกับคนจำนวนมากเกินไป
และเราจะต้องแบ่งปันอะไรก็ตาม ที่เรามี ทางจิตวิญญาณ เข้าใจไหม?
ดังนั้น มันไม่เป็นไร ไม่ต้องกังวล
มันเป็นช่วงสุดท้ายของกลียุค และพระเจ้ามีใจกว้างมาก ๆ เข้าใจไหม?
ดังนั้น ไม่ว่าเธอพยายามทำอะไร ตราบใดที่เธอจริงใจ และมีความพยายาม
นั่นก็พอแล้ว มันก็มีอยู่แค่นั้น
อย่างอื่นไม่นับ เข้าใจไหม?
จงจำไว้ว่า แม้แต่ในบทความเดียวกัน
ก็มีเขียนไว้ว่า พี่สาวบอกว่า
“สิ่งเดียวที่พระเจ้าต้องการคือ ความขยัน ของเธอและความจริงใจของเธอ”
จงขยัน แค่นั้นเอง!
ผลนั้นไม่ได้อยู่ในความควบคุมของเธอ มันไม่อยู่ในความควบคุมของเธอ เข้าใจไหม?
แค่ให้จริงใจและขยัน
ให้พยายามอย่างดีที่สุดเสมอ ที่จะทำสมาธิ
และที่เหลือ พระเจ้าจะดูแลเอง
ใช่แล้ว
ฉันเพิ่งจะจำได้ว่า ๘ เดือนมาแล้ว
ฉันเริ่มเข้าชั้นเรียนกวนดาลีโยคะ
อะไรอย่างนั้น ฉันจำชื่อที่ถูกต้องไม่ได้
แต่ในชั้นเรียนนี้ พวกเขาข้องเกี่ยวกับพลังงาน
ท่านคิดว่า ฉันควรเรียนต่อไปหรือไม่ หรือว่า มันเป็นอะไรที่…
เรียนต่อไปกับพวกเขาน่ะหรือ? (ค่ะ)
ทำไมล่ะ? เธอทำอะไรที่นั่น? (มันเป็นแค่…)
มันจำเป็นไหม?
ไม่ค่ะ แต่มันเป็นแค่โยคะธรรมดา ๆ
แต่พวกเขาเข้าสู่ แนวทางของการให้ได้พลังงานด้วย
โยคะคุนดาลินีหรือ? (ค่ะ)
คือว่า ถ้าเธอรู้สึกสบายใจกว่ากับพวกเขา ก็ให้ไปหาพวกเขา (เปล่า ฉัน…)
หากเธอรู้สึกไม่สบายใจ ก็ให้อยู่บ้านไป ทำสมาธิ
ถ้าอย่างนั้น ไปที่นั่นไม่ดีหรือ?
ฉันไม่ได้บอกว่าไม่ดี
มันไม่ดี เพราะเธอวิ่งวนไปทุกที่
และกระจายจิตและพลังงานของเธอ เข้าใจไหม?
เธอทำให้ตัวเองสับสน
นั่นคือเหตุ ที่บางครั้งเธอมีข้อกังขา
เธอไม่ได้มุ่งสู่จุดเดียว
การทำสมาธิในวิถีเดียวนั้น ก็ยากมากพออยู่แล้ว ใช่ไหม?
การตั้งสมาธิกับหน้าที่เดียวนั้น ก็ยากมากพออยู่แล้ว
ดังนั้น อย่ากระโดดไปทั่วทุกที่ เข้าใจไหม? (ค่ะ) ดีแล้ว
ขอบคุณค่ะ
คนอื่น ๆ ถ้าเธอหิว ให้ไปรับประทานอาหารได้ เข้าใจไหม?
ขณะนี้ ๑๑.๓๐ น. แล้ว เธอไม่อยากไปรับประทานอาหารหรือ?
แล้วก็กลับมาในตอนบ่าย เรากลับมา คุยกันใหม่ในตอนบ่ายก็ได้ ดีไหม?
คิดว่าอย่างไร? เอาล่ะ!
อะไรหรือ? เธออยากจะถามคำถามสุดท้ายของเธอ
หรือจะเก็บไว้ถามในตอนบ่าย เมื่อฉันกลับมา?
(เก็บไว้ค่ะ) ดีล่ะ! เราไปรับประทาน อาหารกันดีกว่า ดีไหม? ใช่แล้ว!
ใช่แล้ว เธอควรต้องพักผ่อนเหมือนกัน
เธอลุกมาแต่ตี ๓ หรือตี ๒
แล้วก็เดินมาไกลถึงที่นี่ แล้วก็เข้าแถวและอะไรอย่างนั้น
ฉันเข้าใจถึงความพยายามของเธอ เธอควรต้องพักผ่อนสักนิด เข้าใจไหม?
จากนั้น เธอจะได้รู้สึกดีขึ้นหลังจากนั้น
ใช่แล้ว ขอบคุณ! แล้วอีกเดี๋ยวเจอกันในตอนบ่าย!