Tip:
Highlight text to annotate it
X
Translator: phapatson Junchalen Reviewer: Kelwalin Dhanasarnsombut
ผมรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้มาอยู่ ณ ที่นี้ในวันนี้
เพื่อที่จะเล่าให้พวกคุณฟัง เกี่ยวกับความเป็นไปได้
ที่เราจะซ่อมแซมสมองที่ได้รับความเสียหาย
และผมก็ตื่นเต้นโดยเฉพาะกับวิทยาการนี้
เพราะว่า ในฐานะที่ผมเป็นนักประสาทวิทยา
ผมเชื่อว่า มันจะให้แนวทางที่ดีเยี่ยม แนวทางหนึ่ง
ที่พวกเราอาจจะสามารถมอบความหวัง
ให้กับผู้ป่วยซึ่งต้องทนทุกข์กับโรคทางสมอง
ที่ยังไม่สามารถรักษาได้
และนี่คือปัญหา
ที่คุณสามารถเห็นได้ จากรูปสมองของใครบางคน
ซึ่งเป็นโรคอัลไซเมอร์
เมื่อเทียบกับสมองที่สุขภาพดี
และเห็นได้ชัดว่าสมองที่เป็นอัลไซเมอร์
ส่วนที่ล้อมรอบด้วยสีแดง เป็นส่วนที่เสียหาย -- มีการฝ่อ หรือมีแผล
และผมอยากให้คุณดูภาพที่เทียบเคียงกันได้
จากโรคอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็น โรคมัลติเพิลสเคลอโรซิส
โรคเซลล์ประสาทสั่งการเสื่อม (โรค M.S.) โรคพาร์กินสัน
หรือแม้แต่โรคฮันติงตัน
พวกมันบ่งบอกถึงเรื่องราวที่คล้ายกัน
และโดยภาพรวมแล้วสมองที่ผิดปกติเหล่านี้ เป็นตัวแทน
ของหนึ่งในภัยหลักทางสาธารณสุข ในยุคของเรา
และสถิติเหล่านี้ก็น่าตกใจ
ในช่วงเวลาหนึ่ง มีผู้คน 35 ล้านคนในปัจจุบัน
ที่เป็นหนึ่งในโรคทางสมองเหล่านี้
และค่าใช้จ่ายทั่วโลกต่อปี
ก็คือ 7 แสนล้านดอลล่าร์
ผมหมายถึง คิดดูสิครับ
นั่นมันมากกว่า 1 เปอร์เซ็นต์
ของ GDP ทั่วโลกเลยนะ
และที่แย่ไปกว่านั้น
เพราะสถิติที่กำลังเพิ่มขึ้นนี้
เพราะว่าโดยภาพรวมแล้ว
มันเป็นโรคที่เกี่ยวข้องกับอายุ และพวกเรามีอายุขัยยาวนานขึ้น
ฉะนั้นคำถามที่พวกเรา ต้องถามตัวเองอย่างจริงจังก็คือ
ทำไม โรคที่ส่งผลกระทบเลวร้ายเหล่านี้
ต่อผู้คน
ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันมีผลกระทบ ในทางสังคมมากมายแค่ไหน
ทำไมเราจึงยังไม่มีการรักษาที่มีประสิทธิภาพ
ตอนนี้ ผมขอให้คุณมาพิจารณากัน
อย่างแรก ผมจะสอนหลักสูตรเร่งรัดให้กับคุณ
ในเรื่องการทำงานของสมอง
พูดนัยหนึ่งก็คือ ผมอยากจะบอกคุณ
ถึงทุกสิ่งทุกอย่าง ที่ผมได้เรียนรู้จากโรงเรียนแพทย์
(เสียงหัวเราะ)
แต่เชื่อผมเถอะ ใช้เวลาไม่นานนักหรอกครับ
โอเคนะครับ (เสียงหัวเราะ)
สมองนั้นดูเรียบง่ายมาก
มันประกอบด้วยเซลล์สี่ชนิด
เราแสดงให้คุณเห็นสองชนิดตรงนี้
มีเซลล์ประสาท
และที่อยู่ถัดมานี่คือเซลล์ที่สร้างไมอิลิน
หรือเซลล์ที่คอยป้องกัน
มันถูกเรียกว่า โอลิโกเดนโดรไซต์
และเมื่อทั้งสี่ซลล์นี้ทำงานร่วมกัน
ด้วยสภาพที่สมบูรณ์และสอดคล้องกัน
พวกมันจะสร้างกิจกรรมทางไฟฟ้า ที่น่ามหัศจรรย์
และกิจกรรมทางไฟฟ้านี่เอง
ที่คอยสนับสนุนสมรรถภาพต่าง ๆ ของเรา ในการคิด การมีอารมณ์
การจดจำ การเรียนรู้ การเคลื่อนไหว การรู้สึก และด้านอื่น ๆ
แต่มีโอกาสเท่า ๆ กัน สำหรับเซลล์ทั้งสี่นี้
ทั้งเซลล์เดี่ยวหรือด้วยกัน อาจไม่ทำงานหรือตายได้
และเมื่อสิ่งนั้นเกิดขึ้น คุณจะได้รับความเสียหาย
คุณจะได้รับความเสียหาย ในการเชื่อมสัญญาณ
การเชื่อมต่อถูกรบกวน
และหลักฐานก็คือการนำกระแสไฟฟ้าที่ช้าลง
แล้วในที่สุด ความเสียหายนี้จะแสดงออกมาอย่างชัดเจน
ในรูปแบบของโรค
และถ้าเซลล์ประสาทที่เริ่มตาย
ยกตัวอย่างเช่น เป็นเซลล์ประสาทสั่งการ
คุณจะเป็นโรคเซลล์ประสาทสั่งการเสื่อม
ผมอยากจะแสดงภาพประกอบจากชีวิตจริง ให้คุณดู
ว่ามันเป็นอย่างไรถ้าเป็น โรคเซลล์ประสาทสั่งการเสื่อม
นี่คือคนไข้ของผมเอง เขาชื่อจอห์น
เราพบกันเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาที่คลินิก
และผมขอให้จอห์นบอกเราถึงปัญหาของเขา
ที่จะนำไปสู่การวินิจฉัยเบื้องต้น
ต่อโรคเซลล์ประสาทสั่งการเสื่อม
จอห์น: ผมรับการตรวจครั้งแรก ในเดือนตุลาคมปี ค.ศ. 2011
และปัญหาหลักก็คือเรื่องของการหายใจ
ผมหายใจลำบาก
สิทธาทาน: ผมไม่รู้ว่าคุณ จับประเด็นได้หรือเปล่า แต่สิ่งที่จอห์นบอกเรา
คือเรื่องอาการหายใจลำบากของเขา
ในที่สุด นำไปสู่การวินิจฉัย
ต่อโรคเซลล์ประสาทสั่งการเสื่อม
ตอนนี้ 18 เดือนผ่านไป
และตอนนี้ผมได้ขอให้เขาบอกเรา
ถึงสถานการณ์ของเขาในปัจจุบัน
จอห์น: ตอนนี้การหายใจของผม ย่ำแย่ลงกว่าเดิม
มือของผมอ่อนแรง แขนและขาของผมก็เช่นกัน
ผมต้องใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่บนรถเข็น
สิทธาทาน: จอห์นบอกเราว่า เขาต้องอยู่บนรถเข็น
เป็นส่วนใหญ่
สิ่งที่สองคลิปนี้แสดงให้เห็น
ไม่ใช่แค่ผลพวงที่น่าตกใจจากการโรคเท่านั้น
แต่พวกมันยังบอกเราเกี่ยวกับ
ความรวดเร็วของการเสื่อมถอยที่น่าตกใจ
เพราะในระยะเวลาเพียง 18 เดือน
ผู้ชายที่ร่างกายสมบูรณ์คนหนึ่งได้ถูกทำให้
ต้องพึ่งพาอยู่บนรถเข็น และต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ
และดูสิครับ คนที่เป็นแบบจอห์น อาจจะเป็นพ่อ
พี่ชาย หรือเพื่อนของใครก็ได้
และนั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้น เมื่อเซลล์ประสาทสั่งการตาย
แต่จะเกิดอะไรขึ้น เมื่อเซลล์ไมอิลินตาย
คุณจะเป็นโรคมัลติเพิลสเคลอโรซิส
ภาพสแกนฝั่งซ้ายของคุณ
คือภาพประกอบของสมอง
และมันคือแผนที่การเชื่อมต่อของสมอง
และที่ทับซ้อนมันอยู่
คือบริเวณที่เสียหาย
เราเรียกพวกมันว่าแผลของการสลายไมอีลิน
มันเสียหาย และเป็นสีขาว
ผมรู้ว่าพวกคุณกำลังคิดอะไรอยู่
คุณคิดว่า "พระเจ้า เจ้าหมอนี่ขึ้นมา
แล้วก็บอกว่าเขาจะพูดเกี่ยวกับความหวัง
และทั้งหมดที่เขาทำก็คือ เล่าเรื่องราวชวนขนลุก
และน่าหดหู่"
ผมได้บอกพวกคุณแล้วว่าโรคเหล่านี้ น่ากลัวโหดร้าย
พวกมันสร้างความเสียหาย จำนวนผู้ป่วยก็กำลังเพิ่มขึ้น
ค่าใช้จ่ายก็แพงสุด ๆ และที่แย่ที่สุด
พวกเรายังไม่มีวิธีรักษา แล้วความหวังอยู่ที่ไหนกันล่ะ
คุณรู้อะไรไหมครับ ผมคิดเรามีความหวัง
และความหวังก็อยู่ในส่วนต่อไป
ของสมองส่วนนี้ ของใครอีกคนที่เป็นโรค M.S.
เพราะสิ่งที่มันแสดงให้เห็น
ช่างอัศจรรย์ สมองสามารถฟื้นฟูเองได้
เพียงแค่มันยังทำได้ไม่ดีพอเท่านั้น
และเป็นอีกครั้ง ที่ผมมี 2 สิ่งที่อยากจะแสดงให้คุณดู
อย่างแรกก็คือความเสียหายที่เกิดกับคนไข้ ที่เป็นโรค M.S.
นี่เป็นอีกครั้ง มีกลุ่มก้อนสีขาวเหล่านี้อีกแล้ว
แต่ที่สำคัญคือ บริเวณที่ถูกวงกลมสีแดง
เน้นบริเวณที่เป็นสีฟ้าจาง ๆ
แต่บริเวณที่เป็นสีฟ้าจางเคยเป็นสีขาวมาก่อน
มันเคยเสียหาย แต่ตอนนี้มันซ่อมแล้ว
ขอบอกชัด ๆ ว่า มันไม่ได้เป็นแบบนั้นเพราะหมอนะครับ
นั่นไม่ได้เป็นเพราะหมอเลย
นี่เป็นการฟื้นฟูเองตามธรรมชาติ
มันน่าอัศจรรย์มากและมันเกิดขึ้น
เพราะว่ามีสเต็มเซลล์ในสมอง
ที่สามารถจะสร้างไมอิลินขึ้นมาใหม่ ปลอกหุ้มใหม่
ที่ถูกวางไว้เหนือเซลล์ประสาทที่เสียหาย
และการค้นพบนี้มีความสำคัญมาก ด้วยเหตุผลสองประการ
เหตุผลแรกคือ มันท้าทายความเชื่อดั้งเดิม
ที่พวกเราได้ใช้ร่ำเรียนกันมา จากโรงเรียนแพทย์
หรืออย่างน้อยที่สุด ที่ผมเคยได้เรียนรู้มา เมื่อศตวรรษที่ผ่านมา
ซึ่งก็คือ สมองไม่สามารถฟื้นฟูเองได้
ไม่เหมือนกับกระดูกหรือตับ เป็นต้น
แต่อันที่จริงแล้ว สมองทำได้ เพียงแค่มันยังทำได้ไม่ดีพอเท่านั้น
และเหตุผลที่สองคือ มันสร้าง
และให้ทิศทางที่ชัดเจนกับเรา เพื่อเดินทางไปสู่การรักษาแบบใหม่
ผมหมายถึง คุณไม่จำเป็นต้อง เป็นนักวิทยาศาสตร์ติดจรวด
เพื่อที่จะเข้าใจว่าต้องทำอะไร
คุณเพียงต้องหาทางที่จะส่งเสริม
การฟื้นฟูภายในโดยธรรมชาติ ที่เกิดขึ้นอยู่แล้วตามปกติ
ดังนั้น คำถามคือ ทำไม ถ้าเรารู้เรื่องเหล่านี้แล้ว
มาได้ระยะเวลาหนึ่งแล้ว
ทำไมพวกเราถึงไม่ใช้มันในการรักษา
และส่วนหนึ่ง มันสะท้อนความซับซ้อน
ในการพัฒนายา
สำหรับการพัฒนายา คุณอาจจะคิดว่า
มันเป็นการเดิมพันที่ค่อนข้างแพงแต่เสี่ยง
สถิติของการเดิมพันนี้ก็ประมาณ
10,000 ต่อ 1
เพราะคุณจะต้องตรวจหา ประมาณ 10,000 ส่วนผสม
เพื่อที่จะหาว่าที่ผู้ชนะเพียงหนึ่งเดียว
และจากนั้นคุณก็ต้องใช้เวลา 15 ปี
และใช้เงินกว่าพันล้านดอลลาร์
และถึงกระนั้น คุณก็อาจจะไม่เจอผู้ชนะก็ได้
ดังนั้นคำถามสำหรับเราคือ
คุณสามารถที่จะเปลี่ยนกติกาในเกมส์
และลดความเสี่ยงให้ต่ำลงได้หรือไม่
และเพื่อที่จะทำแบบนั้น คุณต้องคิดว่า
ส่วนที่ติดขัดในการค้นพบยาใหม่นี้อยู่ที่ไหน
และส่วนติดขัดหนึ่ง คือช่วงแรก ๆ ในการค้นพบยาใหม่
การตรวจหาทั้งหมดเกิดขึ้นในสัตว์ทดลอง
แต่พวกเรารู้ว่าการศึกษาที่เหมาะสมของมนุษยชาติ คือการศึกษามนุษย์
ขอยืมข้อความที่กล่าวไว้โดย อเล็กซานเดอร์ โปป นะครับ
คำถามคือ พวกเราสามารถศึกษาโรคเหล่านี้
โดยใช้ส่วนประกอบของมนุษย์ได้หรือไม่
และแน่นอน เราทำได้แน่ ๆ
พวกเราสามารถใช้สเต็มเซลล์
และที่จำเพาะเจาะจงไปกว่านั้นคือ เราสามารถใช้สเต็มเซลล์มนุษย์ได้
และสเต็มเซลล์มนุษย์ก็คือ
เซลล์พื้นฐานที่แสนพิเศษ ที่สามารถทำได้สองสิ่งคือ
พวกมันสามารถซ่อมแซมตัวเองได้ หรือเพิ่มจำนวนพวกมันเองได้
แต่พวกมันยังสามารถกลายเป็นเซลล์จำเพาะ
ที่จะสร้างกระดูก ตับ และที่สำคัญ เซลล์ประสาท
หรือแม้กระทั่งเซลล์ประสาทสั่งการ
หรือเซลล์ไมอิลิน
และสิ่งที่เป็นความท้าทายมาอย่างยาวนาน
ก็คือพวกเราสามารถที่จะกำกับความสามารถนั้น
ความสามารถที่ไม่มีข้อกังขา ของสเต็มเซลล์เหล่านี้
เพื่อทำให้ความหวังของพวกมันเป็นจริง
สำหรับศาสตร์การซ่อมแซมระบบประสาท ได้หรือไม่
และผมคิดว่าตอนนี้เราสามารถทำได้ และเหตุผลที่พวกเราสามารถทำได้
ก็เพราะมีการค้นพบสองสามอย่างที่สำคัญ
ใน 10, 20 ปีที่ผ่านมา
หนึ่งในการค้นพบนั้นอยู่ที่นี่ ในเอดินเบิร์ก
และมันก็ต้องเป็น ดอลลี่ แกะที่โด่งดัง
ดอลลี่ถูกสร้างขึ้นในเอดินเบิร์ก
และดอลลี่ก็เป็นตัวอย่าง
ของการโคลนนิ่งของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เป็นครั้งแรก
จากเซลล์ที่โตเต็มวัย
แต่ผมคิดการค้นพบครั้งยิ่งใหญ่ ที่สำคัญมากกว่า
สำหรับจุดประสงค์ของการสนทนา ของพวกเราในวันนี้
เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 2006 โดยนักวิทยาศาสตร์ชาวญี่ปุ่น
ที่มีชื่อว่า ยามานากะ
และสิ่งที่ยามานากะได้ทำ
ในรูปแบบการปรุงอาหารแบบวิทยาาศาสตร์ ที่แสนมหัศจรรย์
คือเขาแสดงว่าวัตถุดิบสี่ชนิด
แค่สี่ชนิดเท่านั้น
ก็สามารถเปลี่ยนเซลล์ใด ๆ ที่เป็นเซลล์เต็มวัย
ให้กลายเป็นมาสเตอร์สเต็มเซลล์ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
และความสำคัญของสิ่งนี้ ก็ยากที่จะกล่าวให้เกินจริง
เพราะมันหมายความว่า ใครก็ได้ในห้องนี้
แต่โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ป่วย
ตอนนี้คุณสามารถจะสร้าง
อุปกรณ์ช่อมเนื้อเยื่อส่วนบุคคล ที่เรากล่าวถึงได้
นำเอาเซลล์ผิวหนัง ทำให้มัน เป็นมาสเตอร์ พลูริโพเทนท์เซลล์
แล้วจากนั้น คุณอาจทสร้างเซลล์เหล่านั้น
มีความเกี่ยวข้องกับโรคของพวกเขา
ทั้งต่อการศึกษา และอาจเป็นไปได้ที่จะใช้ในการรักษา
สำหรับในโรงเรียนแพทย์ แนวคิดเรื่องนี้ --
ผมพูดซ้ำ ๆ อีกแล้ว ใช่ไหมครับเนี่ย ผมและโรงเรียนแพทย์ --
คงเคยเป็นเรื่องล้อเล่นแน่ ๆ
แต่มันกลายเป็นไปได้จริงแล้วในปัจจุบัน
และผมเห็นว่ามันเป็นเหมือนรากฐานสำคัญ
ของการฟื้นฟู การซ่อมแซม และความหวัง
และในขณะที่พวกเรา กำลังพูดกันถึงเรื่องความหวัง
สำหรับพวกคุณ ผู้ที่อาจไม่ประสบความสำเร็จในโรงเรียน
นั่นเป็นความหวังสำหรับคุณเช่นกัน
เพราะนี่คือรายงานผลการเรียน ของจอห์น เจอร์ดอน
[“ผมเชื่อว่าเขามีความคิดที่จะเป็นนักวิทยาศาสตร์ แต่จากสภาพเขาตอนนี้มันดูท่าจะเป็นเรื่องน่าขัน”]
ดังนั้น พวกเขาจึงไม่หวังอะไรกับเขามาก
แต่สิ่งที่คุณอาจจะไม่รู้ก็คือ เขาได้รับรางวัลโนเบลสาขาการแพทย์
ในเมื่อ 3 เดือนที่ผ่านมานี้เอง
กลับไปยังปัญหาแรกของเรา
จะมีโอกาสแค่ไหนสำหรับสเต็มเซลล์เหล่านี้
หรือเทคโนโลยีใหม่นี้
สำหรับการนำมันไปซ่อมแซมสมองที่เสียหาย
ที่เราเรียกกันว่าการฟื้นฟูระบบประสาท
ผมคิดว่ามันมีสองแนวทางสำหรับเรื่องนี้
ในฐานะเครื่องมือสำหรับการค้นพบยา ที่เป็นเลิศแห่งศตวรรษที่ 21
และ/หรือ ในฐานะรูปแบบหนึ่งของการรักษา
ดังนั้น ผมอยากจะบอกคุณอีกเล็กน้อย เกี่ยวกับทั้งสองแนวทางนั้น
ต่อไปในการบรรยายนี้
การค้นพบยาในถาดทดลอง มักจะเป็นเรื่อง
ที่คนพูดกันถึงสิ่งนี้
มันไม่ยากเลย คุณนำผู้ป่วยที่เป็นโรคอย่างหนึ่ง
เช่น โรคเซลล์ประสาทสั่งการเสื่อม
คุณเก็บตัวอย่างผิวหนัง
คุณทำการกระตุ้นพลูริโพเทนท์เซลล์ ให้จัดเรียงโปรแกรมใหม่
เหมือนกับที่ผมได้บอกคุณไปแล้ว
และคุณก็จะได้เซลล์ประสาทสั่งการที่มีชีวิต
นั่นมันตรงไปตรงมา เพราะนั่นเป็นสิ่งที่
พลูริโพเทนท์เซลล์สามารถทำได้
แต่ที่สำคัญมากคือ จากนั้นคุณสามารถเปรียบเทียบ พฤติกรรมของพวกมัน
กับเซลล์ที่เป็นสมมูลกันที่สุขภาพดี
ตามหลักการคือเซลล์พวกเดียวกัน ที่ไม่ได้รับผลกระทบจากโรค
ด้วยวิธีการนี้ คุณจะได้เปรียบเทียบ การผันแปรทางพันธุกรรม
และแน่นอนว่า นั่นเป็นสิ่งที่พวกเราทำที่นี่
นี่เป็นการร่วมมือกันของเพื่อนร่วมงาน
คริส ชอว์ ที่ลอนดอน สตีฟ ฟิงค์ไบเนอร์ และทอม แมเนียทีส ที่สหรัฐฯ
และสิ่งที่คุณกำลังดูอยู่ และมันช่างอัศจรรย์
คือเซลล์ประสาทสั่งการที่มีชีวิตและกำลังเติบโต
ที่ได้จากคนไข้ ที่เป็นโรคเซลล์ประสาทสั่งการเสื่อม
กลายเป็นว่ามันเป็นรูปแบบ ที่ถูกถ่ายทอดส่งต่อทางพันธุกรรม
ลองคิดดูสิครับ
นี่เป็นสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดใน 10 ปีที่ผ่านมา
ดังนั้น นอกจากการดูพวกมันเติบโต และทำกระบวนการต่าง ๆ
พวกเราดัดแปลงมันด้วย ดังนั้นพวกมันจะเรืองแสงได้
แต่ที่สำคัญ คือหลังจากนั้นพวกเราสามารถติดตาม สุขภาพของแต่ละเซลล์
แล้วเปรียบเทียบ เซลล์ประสาทสั่งการที่เป็นโรค
กับเซลล์ที่สุขภาพดี
และเมื่อคุณทำแบบนั้น และนำทั้งหมดมาประกอบรวมกัน
คุณจะระบุได้ว่าเซลล์ที่โรค
ซึ่งถูกแสดงในที่นี้เป็นเส้นสีแดง
มีความเป็นไปได้ที่จะตาย มากเป็นสองจุดห้าเท่า
เมื่อเทียบกับเซลล์ที่สุขภาพดี
และจุดที่สำคัญมากเกี่ยวกับสิ่งนี้คือ
คุณได้การทดสอบที่อัศจรรย์เพื่อค้นพบยาใหม่
เพราะสิ่งที่คุณอยากรู้เกี่ยวกับยา
และคุณสามารถทำได้ อย่างรวดเร็วในคราวละมาก ๆ
ในระบบตรวจสอบโดยอัตโนมัติ
คำถามของคุณที่มีต่อยาก็คือ ทำสิ่งหนึ่งให้ผมหน่อย
หายาที่จะทำให้เส้นสีแดง
เข้ามาใกล้กับเส้นสีฟ้าให้ผมที
เพราะยานั้นจะมีแนวโน้มเป็นว่าที่ยา
ที่เป็นไปได้ว่า คุณจะสามารถ นำไปทดสอบกับมนุษย์ได้โดยตรง
และเกือบทีจะลัดผ่านอุปสรรค์ที่ติดขัดนั่น
ที่ผมได้บอกคุณไปแล้ว เกี่ยวกับการค้นพบยาใหม่
โดยการใช้สัตว์ทดลอง
ถ้าสามารถทำแบบนั้นได้ มันก็มหัศจรรย์มาก
แต่ผมอยากจะกลับไปสู่เรื่องที่ว่า
คุณจะใช้สเต็มเซลล์โดยตรงได้อย่างไรบ้าง
ในการซ่อมแซมส่วนที่เสียหาย
และก็เช่นกัน เราคิดได้เป็นสองแนวทาง
และพวกมันก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกันทั้งหมด
อย่างแรก ผมคิดมานานในระยะยาว
สิ่งที่จะให้ผลตอบแทนกับเรามากที่สุด
แต่มันยังไม่ได้ถูกใช้ในแนวทางนั้น
คือการมองว่าสเต็มเซลล์เหล่านั้น
อยู่ในสมองของคุณอยู่แล้ว อย่างที่ผมบอกกับคุณ
พวกเราทุกคนมีสเต็มเซลล์อยู่ในสมอง
แม้แต่สมองที่เป็นโรคก็เถอะ
และแน่นอน แนวทางที่ชาญฉลาด จะใช้ในก้าวต่อไป
คือการทางที่คุณ จะสามารถส่งเสริมและกระตุ้น
สเต็มเซลล์ที่อยู่ในสมองคุณอยู่แล้ว
ให้เกิดปฏิกิริยาและตอบสนองอย่างเหมาะสม ต่อความเสียหาย
เพื่อที่จะซ่อมแซมมัน
นั่นน่าจะเป็นอนาคตที่เรารอคอย
จะมียาที่สามารถทำแบบนั้นได้
แต่อีกแนวทางคือกระโดดร่มชูชีพ ลงไปในเซลล์อย่างมีประสิทธิภาพ
คือปลูกถ่ายพวกมันเข้าไป
เพื่อทดแทนเซลล์ที่กำลังจะตาย หรือหายไปแล้ว แม้กระทั่งในสมอง
และผมอยากจะบอกพวกคุณถึงการทดลอง
มันเป็นการทดลองทางคลินิค ที่พวกเราได้ทำ
ซึ่งเพิ่งจะเสร็จไปเมื่อไม่นานนี้เอง
โดยความร่วมมือกับเพื่อนร่วมงานใน UCL
โดยเฉพาะกับ เดวิด มิลเลอร์
การศึกษาครั้งนี้เรียบง่ายมาก ๆ
พวกเรานำคนไข้ ที่เป็นโรคมัลติเพิลสเคลอโรซิส
และถามคำถามง่าย ๆ ว่า
สเต็มเซลล์ที่จากไขกระดูก
จะปกป้องเส้นประสาทของพวกมัน ได้หรือเปล่า
ดังนั้น พวกเราเก็บไขกระดูกนี้มา
เพาะเลี้ยงสเต็มเซลล์ในห้องทดลอง
จากนั้นจึงใส่มันกลับเข้าไปในเส้นเลือดดำ
ผมทำให้มันฟังดูง่ายมาก ๆ
ต้องใช้เวลาห้าปี และคนอีกมากมายนะครับ
มันทำให้ผมบนศีรษะผมกลายสีเทา
และยังก่อปัญหาสารพัด
แต่ในแง่ของแนวคิดแล้ว มันเรียบง่ายจริง ๆ ครับ
นั่นล่ะครับ เราใส่พวกมัน เข้าไปในเส้นเลือดดำแล้วนะครับ
และเพื่อที่จะวัดว่ามันได้ผลหรือไม่
เราใช้การวัดเส้นประสาทตา
เป็นผลการวัดของพวกเรา
และนั่นเป็นข้อดีในการวัดที่ทำในผู้ป่วย โรคมัลติเพิลสเคลอโรซิส
เพราะพวกเขาต้องพบกับปัญหา
การมองเห็น
การสูญเสียการมองเห็น การมองเห็นไม่ชัด
และพวกเรายังวัดขนาดของเส้นประสาทตา
โดยใช้การตรวจหาโดย เดวิด มิลเลอร์
3 ครั้ง -- ตอน 12 เดือน, 6 เดือน
และก่อนที่จะฉีดสารเข้าทางเส้นเลือด --
คุณสามารถสังเกตเห็น เส้นสีแดงที่ลดลงเล็กน้อย
และนั่นบ่งบอกว่าเส้นประสาทตา กำลังหดตัวลง
ซึ่งมันเป็นเหตุเป็นผล เพราะเส้นประสาทของพวกเขากำลังจะตาย
จากนั้นพวกเราได้ฉีดสเต็มเซลล์ เข้าไปทางเส้นเลือด
และทำการวัดรูปแบบเดิมซ้ำอีกสองครั้ง --
ใน 3 เดือน และ 6 เดือน
และพวกเราก็ประหลาดใจ
เส้นนั้นขยับขึ้น
นั่นบ่งบอกว่าการลุกลามนั้น
ได้ถูกป้องกันแล้ว
ผมไม่ได้คิดนะครับว่าสิ่งที่เกิดขึ้น
คือสเต็มเซลล์เหล่าได้สร้างไมอิลินขึ้นใหม่
หรือเซลล์ประสาทใหม่
สผมคิดว่าพวกมันส่งเสริม
สเต็มเซลล์ที่มีอยู่แต่เดิม หรือเซลล์ตั้งต้น
ให้ทำงานของพวกมัน ตื่นขึ้น วางไมอิลินใหม่
และนี่เป็นบทสูจน์ของแนวคิดนี้
ผมตื่นเต้นกับเรื่องนี้มาก
ดังนั้น ผมอยากจะจบ ด้วยเรื่องที่ผมเริ่มเอาไว้
เกี่ยวกับการฟื้นฟูใหม่และความหวัง
ผมได้ถามจอห์น
ถึงความหวังและอนาคตของเขา
จอห์น: ผมหวังว่า
สักวันหนึ่งในอนาคต
ด้วยงานวิจัยที่พวกคุณกำลังทำกัน
เราสามารถค้นพบวิธีการรักษา
และทำให้คนที่เป็นอย่างผม สามารถจะดำเนินชีวิตได้ตามปกติ
สิทธาทาน: นั่นเป็นการบ่งบอก ถึงความสำคัญครับ
ผมอยากจะจบการบรรยายนี้ เริ่มต้นด้วยการขอบคุณจอห์น --
ของคุณจอห์นที่อนุญาตให้ผมแบ่งปัน
เรื่องราวเบื้องลึกของเขา และคลิปเหล่านี้ กับพวกคุณทุกคน
นอกจากนี้ ผมยังอยากจะบอก กับจอห์นและคนอื่น ๆ ว่า
โดยส่วนตัวแล้ว ผมมีความหวังกับอนาคตครับ
ผมเชื่อว่าเทคโนโลยีใหม่เหล่านี้
อย่างสเต็มเซลล์ ที่ผมได้พยายามอธิบายให้พวกคุณฟัง
มันจะให้ความหวังที่แท้จริง
และผมคิดว่า วันที่พวกเราจะสามารถ
ซ่อมแซมสมองที่เสียหายได้
จะมาถึงเร็วกว่าที่พวกเราคิด
ขอบคุณครับ
(เสียงปรบมือ)