Tip:
Highlight text to annotate it
X
Translator: yamela areesamarn Reviewer: Kelwalin Dhanasarnsombut
ผมจะไม่ลืมวันนั้นเลย
ย้อนหลังไปในฤดูใบไม้ผลิปี 2006
ตอนนั้นผมเป็นแพทย์ศัลยกรรมฝึกหัด
ที่โรงพยาบาลจอห์นส์ ฮอพกินส์ (Johns Hopkins)
คอยรับคนไข้ฉุกเฉิน
ผมถูกเรียกมาที่ห้องฉุกเฉินตอนประมาณตีสอง
ให้มาดูหญิงคนหนึ่งที่มีแผลเน่าเปื่อย จากโรคเบาหวาน
ที่เท้าของเธอ
ผมยังคงจำ แบบว่ากลิ่นของเนื้อที่เน่านั้น
เมื่อผมดึงม่านออก เพื่อดูเธอ
และทุกๆคนที่นั่นก็เห็นพ้องกันว่าหญิงคนนี้ป่วยมาก
และเธอจำเป็นต้องอยู่โรงพยาบาล
แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่จะต้องถาม
คำถามที่ผมจะถามนั้นต่างออกไป
ซึ่งก็คือ จำเป็นต้องตัดขาเธอด้วยหรือไม่
เมื่อมองย้อนกลับไปในคืนนั้น
ผมอยากเหลือเกินที่จะเชื่อว่า ผมให้การรักษาผู้หญิงคนนั้น
ในคืนนั้น ด้วยความรู้สึกเข้าใจและเห็นใจ
เหมือนเช่น ที่ผมได้แสดงต่อหญิงสาวอายุ 27 ปี ที่เพิ่งจะแต่งงาน
ซึ่งมาที่ห้องฉุกเฉิน เมื่อสามคืนก่อนหน้านั้น
ด้วยอาการเจ็บโคนหลัง
ซึ่งพบว่ามันเป็นโรคมะเร็งตับอ่อน ที่ลุกลามไปมากแล้ว
ในกรณีเธอ ผมรู้ว่าผมไม่สามารถทำอะไรได้เลย
จะช่วยชีวิตเธอไว้ได้จริงๆ
มะเร็งนั้นได้ลุกลามมากเกินไปแล้ว
แต่ผมก็มุ่งมั่นที่จะให้แน่ใจได้ว่า
ผมจะทำทุกอย่างที่ทำได้ เพื่อให้เธออยู่รอด
อย่างสบายกว่านี้ ผมนำผ้าห่มอุ่นมาให้เธอ
และกาแฟหนึ่งถ้วย
ผมนำกาแฟมาให้พ่อแม่เธอด้วย
แต่ที่สำคัญกว่านะครับ ผมไม่ได้ด่วนตัดสินประณามเธอ
เพราะว่าเห็นได้ชัดว่า เธอไม่ได้ทำอะไรผิด
ที่เอาโรคนี้มาสู่ตัวเธอเอง
ดังนั้น ทำไม เพียงแค่สองสามคืนหลังจากนั้น
ขณะที่ผมยืนอยู่ในห้องฉุกเฉินเดิม และตัดสินใจ
ว่าคนไข้เบาหวานของผม จำเป็นต้องตัดขา
ทำไมผมจึงดูถูกดูแคลนเธออย่างขมขื่่นแบบนั้น
ไม่เหมือนดั่งเช่นกับผู้หญิงเมื่อคืนก่อนนั้น
หญิงคนนี้เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2
เธออ้วน
และเราทุกคนรู้ว่า นั่นมาจากการกินมากจนเกินไป
และไม่ได้ออกกำลังกายอย่างเพียงพอ ใช่ไหมครับ
ผมหมายถึงว่า มันจะยากขนาดไหนกันเชียว
เมื่อผมก้มลงมองเธอบนเตียง ผมก็คิดในใจว่า
ถ้าคุณแค่พยายามเอาใจใส่ แม้เพียงนิดเดียว
คุณก็จะไม่ตกอยู่ในสภาพนี้ ในขณะนี้
แพทย์ที่คุณไม่เคยพบเห็นมาก่อน
กำลังจะตัดเท้าคุณทิ้ง
ทำไมผมจึงรู้สึกว่าถูกต้องแล้ว ที่ตัดสินเธออย่างนั้น
ผมอยากจะบอกว่า ผมก็ไม่ทราบ
แต่จริงๆแล้ว ผมรู้
ด้วยความอวดดีของคนหนุ่ม
ผมจึงคิดว่า ผมรู้จักเธอทะลุปรุโปร่ง
เธอกินมากเกินไป และเธอก็โชคไม่ดี
เธอก็เป็นโรคเบาหวาน จบเรื่อง
ถ้าพูดอย่างประชดประชันแล้ว ช่วงเวลานั้น
ผมกำลังทำวิจัยโรคมะเร็งอยู่ด้วย
เรื่อง การรักษามะเร็งผิวหนัง (melanoma) โดยใช้รากฐานภูมิคุ้มกัน
และในโลกวิจัยนั้น ผมถูกสอนให้ตั้งคำถามกับทุกๆสิ่ง
ให้ท้าทายกับสมมติฐานทั้งหมด
และรักษามันไว้ ให้ได้มาตรฐานวิทยาศาสตร์ สูงสุดเท่าที่จะเป็นได้
แต่เมื่อมาถึงเรื่องโรค เช่น โรคเบาหวาน
ที่ฆ่าคนอเมริกันไปมากกว่ามะเร็งผิวหนังถึงแปดเท่า
ผมไม่เคยข้องใจแม้แต่สักครั้งเดียว ในความรู้เดิมๆ
แท้จริงแล้ว ผมแค่ทึกทักเอาเอง ว่าลำดับพยาธิวิทยาของโรคนั้น [ลำดับอาการ]
เป็นศาสตร์ที่คงที่ ไม่เปลี่ยนแปลง
สามปีต่อจากนั้น ผมก็พบว่าผมผิดไปมากมายเพียงใด
แต่ครั้งนี้ ผมเป็นผู้ป่วยซะเอง
แม้จะออกกำลังกายสามหรือสี่ชั่วโมงต่อวัน
และแม้จะรับประทานอาหาร ตามที่กำหนดไว้ในพีระมิดอาหาร ทุกประการ
นํ้าหนักตัวผมก็เพิ่มขึ้น และพัฒนาเป็นบางอย่าง
ที่เรียกว่า โรคอ้วนลงพุง (metabolic syndrome)
บางท่านอาจจะเคยได้ยินได้ฟังเรื่องนี้มาแล้ว
ผมกลายเป็นโรคภาวะดื้อต่ออินซูลิน (insulin-resistant)
คุณสามารถคิดถึงอินซูลินได้ว่า เป็นฮอร์โมนตัวสำคัญ
ซึ่งควบคุมว่าร่างกายเรา จะจัดการกับอาหารที่เรากินเข้าไปอย่างไร
ว่าเราจะเผาผลาญมันไป หรือจะเก็บสะสมมันไว้
สิ่งนี้ศัพท์เฉพาะเรียกกันว่า การแบ่งสันปันส่วนพลังงาน (fuel partitioning)
ทีนี้ ความล้มเหลวที่จะผลิตอินซูลินให้ได้เพียงพอ นั้นขัดต่อการดำรงชีวิต
และ อย่างที่ชื่อของมันบอก ภาวะดื้อต่ออินซูลิน
ก็คือ เมื่อเซลล์ของคุณต้านทานมากขึ้นเรื่อยๆ
ต่ออิทธิพลของอินซูลิน
ทันทีที่คุณเกิดภาวะดื้อต่ออินซูลิน
คุณก็กำลังดำเนินไปสู่การเป็นโรคเบาหวาน
ซึ่งก็คือ สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อตับอ่อนของคุณ
ทำงานไม่ทันกับความต้านทานนั้น และสร้างอินซูลินได้ไม่พอเพียง
ทีนี้ ระดับนํ้าตาลในเลือดของคุณก็จะเริ่มสูงขึ้น
และบรรดาอากัปอาการทั้งหลายก็พรั่งพรูเข้ามา
ชนิดที่ว่าหมุนหลุดการควบคุม และนำไปสู่การเกิดโรคหัวใจ
มะเร็ง หรือแม้โรคสมองเสื่อม (Alzheimer)
และการตัดอวัยวะ เหมือนกับผู้หญิงคนนั้น เมื่อสองสามปีก่อน
ด้วยความกลัว ผมจึงวุ่นอยู่กับ การเปลี่ยนแปลงอาหารที่ผมทานอย่างสุดๆ
โดยการเพิ่มและตัด สิ่งที่ถ้าพวกคุณส่วนใหญ่เห็นแล้ว
จะแทบช็อกแน่ๆ
ผมทำเช่นนั้นและลดนํ้าหนักไป 40 ปอนด์ น่าแปลกนะครับ ในขณะที่ออกกำลังกายน้อยลง
อย่างที่คุณเห็น ผมคิดว่าผมไม่อ้วนแล้ว
แต่ที่สำคัญมากกว่านี้ ผมไม่มีอาการภาวะดื้อต่ออินซูลิน
แต่ที่สำคัญที่สุดนั้น ผมยังคงถูกทิ้งไว้กับ
คำถามสามข้อที่แผดเผาผมอยู่ แบบไม่มอดดับไปไหน
สิ่งนี้เกิดกับผมได้อย่างไร ในเมื่อดูเหมือนว่าผม
ได้ทำทุกสิ่งอย่างถูกต้องแล้ว
ถ้าความรู้เดิมๆเกี่ยวกับโภชนาการ ทำให้ผมผิดพลาด
จะเป็นไปได้หรือไม่ ที่มันก็ทำให้คนอื่นผิดพลาดมาเช่นกัน
และด้วยพื้นฐานสำคัญที่ซ่อนอยู่ในคำถามเหล่านี้
ผมเกือบที่จะหมกมุ่นกับมันอย่างบ้าคลั่ง
ในความพยายามที่จะเข้าใจ ความสัมพันธ์ที่แท้จริง
ระหว่างโรคอ้วน กับภาวะดื้อต่ออินซูลิน
ปัจจุบัน นักวิจัยส่วนมากเชื่่อว่าโรคอ้วน
เป็นสาเหตุของภาวะดื้อต่ออินซูลิน
โดยตรรกะแล้ว ถ้าคุณต้องการรักษาภาวะดื้อต่ออินซูลิน
คุณก็ให้คนลดนํ้าหนัก ใช่หรือไม่ครับ
คุณรักษาโรคอ้วน
ถ้าเราทำมันย้อนกลับล่ะ
แล้วถ้าโรคอ้วน ไม่ได้เป็นสาเหตุของภาวะดื้อต่ออินซูลินเลย
แต่ที่จริงแล้ว ถ้ามันเป็นอาการหนึ่ง ของปัญหาที่อยู่ลึกลงไปมากกว่านั้น
เป็นดั่ง แค่ปลายยอดของภูเขานํ้าแข็งล่ะ
ผมก็รู้ว่า ฟังดูมันไม่เข้าท่า เพราะเป็นที่ชัดเจนว่าเราอยู่ท่ามกลาง
การระบาดของโรคอ้วน แต่ฟังผมก่อนนะครับ
แล้วถ้าโรคอ้วนเป็นกลไกเพื่อรับมือ
กับปัญหาที่ร้ายแรงมากกว่าสิ่งที่กำลังเป็นอยู่
ภายในเซลล์นั้นล่ะ
ผมไม่ได้แนะว่าโรคอ้วนนั้นไม่เป็นอันตราย
แต่สิ่งที่ผมกำลังเสนอแนะอยู่ขณะนี้ก็คือ มันอาจจะร้ายแรงน้อยกว่า
เมื่อเทียบกับการเผาผลาญอาหารที่ผิดปกตินั้น
คุณอาจคิดถึงภาวะดื้อต่ออินซูลินได้ว่า เหมือนกับความสามารถที่ลดลง
ของตัวเราเองในการแบ่งเชื้อพลังงาน
ตามที่ได้พูดเป็นนัยไว้แล้วเมื่อครู่นี้
เอาพลังงานจากที่เรารับประทานเข้าไป
เผาผลาญไปบ้างอย่างพอเหมาะ และเก็บเอาไว้บ้างอย่างพอเหมาะ
แต่เมื่อเราเป็นโรคภาวะดื้อต่ออินซูลิน
ความสมดุลย์ในร่างกายเบี่ยงเบนไปจากภาวะธำรงดุลย์ (homeostasis)
ดังนั้น เมื่ออินซูลินบอกกับเซลล์ว่า
ฉันต้องการให้คุณเผาผลาญพลังงานให้มากขึ้น
มากกว่าที่เซลล์นั้นพิจารณาว่าปลอดภัย เซลล์ตัวนั้นก็ต้องบอกว่า
"ไม่ได้ครับ จริงๆผมควรจะสะสมพลังงานนี้ไว้มากกว่า"
และเพราะว่า จริงๆแล้วเซลล์ไขมัน (fat cell) จะขาด
กลไกเซลล์ที่ซับซ้อนส่วนใหญ่ที่พบได้ในเซลล์อื่นๆ
มันจึงน่าจะเป็นที่ที่ปลอดภัยที่สุด ที่จะเก็บสะสมพลังงานไว้
ดังนั้น สำหรับพวกเราจำนวนมาก คนอเมริกันประมาณ 75 ล้านคน
การตอบรับที่เหมาะสม ต่อภาวะดื้อต่ออินซูลิน
ที่่จริงแล้ว อาจเป็นการเก็บสะสมพลังงานไว้ ในรูปไขมัน ไม่ใช่ในทางกลับกัน
กล่าวคือ การเป็นโรคภาวะดื้อต่ออินซูลิน เพื่อตอบสนองต่ออาการอ้วนขึ้น
สิ่งนี้เป็น ที่จริงแล้วไม่ได้ชัดเจนนัก
แต่ผลจากมันอาจเป็นอะไรที่ลึกซึ้ง
ลองพิจารณาการเปรียบเทียบต่อไปนี้ดู
คิดถึงรอยฟกชํ้าที่หน้าแข้งของคุณ
เมื่อคุณเลินเล่อเอาขาไปกระแทกกับโต๊ะกาแฟ
แน่นอน รอยฟกชํ้านั้นเจ็บปวดนัก และค่อนข้างจะแน่ใจได้ว่า
คุณคงไม่ชอบสีที่เปลี่ยนไปนั้น แต่เราทุกคนรู้ว่า
รอยฟกชํ้าโดยตัวของมันเองแล้ว ไม่ใช่ปัญหา
ความจริง มันตรงกันข้าม มันเป็นการตอบรับที่ดีต่ออาการบาดเจ็บ
เซลล์ภูมิคุ้มกันทั้งหลายนั้น รีบเร่งไปยังที่ที่ได้รับบาดเจ็บ
เพื่อกอบกู้เศษชิ้นส่วนของเซลล์ และป้องกันการแพร่กระจาย
ของการอักเสบไปยังส่วนอื่นของร่างกาย
เอาละ ลองจินตนาการดูว่า ถ้าเราคิดว่ารอยฟกชํ้าเป็นปัญหา
และเราได้พัฒนาสถาบันทางการแพทย์ที่ยิ่งใหญ่
และแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการรักษาโรคฟกชํ้า ซึ่งได้แก่
การพอกด้วยครีม ทานยาแก้ปวด และอื่นๆ
ในขณะที่ไม่สนใจกับข้อเท็จจริงที่ว่า ผู้คนนั้น
ก็ยังคงเอาหน้าแข้งไปกระแทกกับโต๊ะกาแฟ อยู่เหมือนเดิม
มันดีกว่าเพียงใด ถ้าเรารักษาที่ต้นเหตุ--
ด้วยการบอกผู้คนให้เอาใจใส่
เมื่อพวกเขาเดินอยู่ในห้องนั่งเล่น--
มากกว่าจะสนใจแผลฟกช้ำที่เกิดนั้น
การได้มาซึ่งสาเหตุและผลที่ถูกต้อง
ทำให้เกิดความแตกต่างขึ้นในโลกนี้
ถ้ามันไม่ถูกต้อง อุตสาหกรรมยา
ก็ยังคงทำกำไรได้เป็นกอบเป็นกำให้กับผู้ถือหุ้นในบริษัท
แต่สำหรับคนที่หน้าแข้งฟกชํ้าแล้ว มันไม่มีอะไรดีขึ้นเลย
เหตุและผล
ดังนั้นสิ่งที่ผมกำลังจะแนะก็คือ
มันอาจเป็นไปได้ว่า เราได้มาซึ่งเหตุและผลที่ไม่ถูกต้อง
ในเรื่องโรคอ้วนและโรคภาวะดื้อต่ออินซูลิน
บางที่ เราควรจะถามตัวเองว่า
เป็นไปได้หรือไม่ที่ ภาวะดื้อต่ออินซูลิน ทำให้เกิดนํ้าหนักตัวเพิ่มขึ้น
และทำให้เกิดโรคที่เกี่ยวข้องกับโรคอ้วน
อย่างน้อยที่สุดก็กับผู้คนส่วนมาก
ถ้าหากการเป็นโรคอ้วนนั้น เป็นเพียงการเผาผลาญในร่างกายที่ตอบรับ
ต่อบางสิ่งบางอย่างที่มีผลคุกคามกว่านั้นมาก
โรคระบาดที่ซ่อนอยู่
ที่เราควรจะปริวิตกกับมัน
เราลองมาดูข้อเท็จจริงเชิงเสนอแนะบางข้อ
เราทราบว่า ในสหรัฐอเมริกา
คนอเมริกัน30 ล้านคนที่อ้วน ไม่ได้เป็นโรคภาวะดื้อต่ออินซูลิน
และอีกอย่าง พวกเขานั้น ดูเหมือนจะไม่ได้มี
ความเสี่ยงต่อโรคอะไรไปมากกว่าคนที่ผอมเลย
ในทางกลับกัน เราทราบว่าคนผอมหกล้านคน
ในสหรัฐอเมริกา เป็นโรคภาวะดื้อต่ออินซูลิน
และ พวกเขาดูเหมือนจะมีความเสี่ยง
กับโรคเกี่ยวกับการเผาผลาญพวกนั้น ที่ผมได้กล่าวถึงเมื่อสักครู่นี้
ยิ่งกว่าเพื่อนๆที่อ้วนของเขาเสียอีก
ขณะนี้ ผมไม่ทราบว่าเป็นเพราะอะไร แต่อาจเป็นเพราะว่า
ในกรณีของเขาเหล่านั้น เซลล์ของเขา จริงๆมิอาจรู้
ว่าจะปฎิบัติให้ถูกต้องอย่างไรกับพลังงานที่มากเกินไปนั้น
ดังนั้น ถ้าคุณอ้วน โดยไม่เป็นโรคภาวะดื้อต่ออินซูลิน
และคุณผอมแต่เป็นโรคนั้น
สิ่งนี้ชี้ให้เห็นว่า โรคอ้วนอาจจะเป็นแค่เพียงตัวแทน ที่ทำให้เห็น
ว่าอะไรกำลังเกิดขึ้นอยู่
ดังนั้น เป็นไปได้ไหมที่เรากำลังทำสงครามผิดเป้าหมาย
ต่อสู้โรมรันกับโรคอ้วน แทนที่จะไปต่อสู้กับภาวะดื้อต่ออินซูลิน
ที่แย่ไปกว่านั้น ถ้าการกล่าวโทษความอ้วน
คือการที่เรากำลังกล่าวโทษเหยื่อที่เป็นโรคนั้นล่ะ
ถ้าแนวคิดพื้นฐานของเราเรื่องโรคอ้วนนั้น
มันเป็นเพียงความผิดพลาดล่ะ
โดยส่วนตัวแล้ว ผมไม่สามารถ ที่จะมีความหยิ่งยะโสอย่างสุดโต่งได้อีกต่อไปแล้ว
อย่าว่าแต่ความความแน่ใจอันสุดโต่งเลย
ผมมีแนวคิดของตัวเอง เกี่ยวกับสิ่งที่อาจเป็น หัวใจสำคัญของเรื่องนี้
แต่ผมก็เปิดกว้างต่อความคิดอื่นๆด้วย
เพราะว่าทุกๆคนถามผมอยู่เสมอ สมมติฐานของผม
ก็คือ
ถ้าคุณถามตัวเองว่า เซลล์พยายามจะปกป้องตัวมันเองจากอะไร
เมื่อมันเป็นโรคภาวะดื้อต่ออินซูลิน
คำตอบไม่น่าจะเป็น อาหารที่มากเกินไป
น่าจะเป็น กลูโคสที่มากเกินไป เช่น นํ้าตาลในเลือด
ทีนี้ เราทราบว่าข้าวที่สีจนขาว และแป้ง
ทำให้นํ้าตาลในเลือดสูงขึ้นในเวลาสั้นๆ
และมีเหตุผลที่จะเชื่อได้เสียด้วยว่า นํ้าตาล
อาจจะนำไปสู่ภาวะดื้อต่ออินซูลินโดยตรง
ดังนั้น ถ้าให้กระบวนการสรีรวิทยาพวกนี้ทำหน้าที่
ผมก็จะตั้งสมมติฐานว่า อาจเป็นการบริโภคที่เพิ่มขึ้น
ในอาหารจำพวก เมล็ดพืชที่ขัดจนขาว นํ้าตาลและแป้ง ที่ผลักดันให้เกิด
การระบาดของโรคอ้วน และโรคเบาหวาน
แต่โดยผ่านทางภาวะดื้อต่ออินซูลิน
ครับ และไม่จำเป็นต้อง แค่โดยการกินมากเกินไป และออกกำลังกายน้อยเกินไป
ตอนที่ผมนํ้าหนักลดลงไป 40 ปอนด์ เมื่อสองสามปีก่อนนั้น
ผมทำเพียงแค่จำกัดสิ่งเหล่านั้น
ซึ่งเป็นนัยให้ยอมรับว่า ผมมีอคติ
จากพื้นฐานประสบการณ์ส่วนตัวของผม
แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า อคติของผมนั้นผิด
และที่สำคัญที่สุด ทุกอย่างนี้สามารถทดสอบได้ ทางวิทยาศาสตร์
แต่ขั้นแรกคือ การยอมรับความเป็นไปได้
ว่าความเชื่อในปัจจุบันของเราเรื่องโรคอ้วน
โรคเบาหวาน และภาวะดื้อต่ออินซูลิน อาจจะผิดก็ได้
ด้วยเหตุนี้ จึงต้องมีการทดสอบ
ผมขอเอาอาชีพของผมเป็นเดิมพัน
ทุกวันนี้ ผมอุทิศเวลาทั้งหมดของผม ในการทำงานแก้ปัญหานี้
และผมจะย่างไม่ว่าที่ใดก็ตามที่วิทยาศาสตร์พาผมไป
ผมได้ตัดสินใจแล้วว่า สิ่งที่ผมทำไม่ได้ และจะไม่ทำอีกต่อไปนั้น
คือ แสร้งทำเป็นว่าผมมีคำตอบ ในขณะที่ผมไม่มี
ผมได้ถูกทำให้อ่อนน้อมถ่อมตัวเพียงพอแล้ว โดยทุกๆคนที่ผมไม่รู้จัก
ในปีที่แล้ว ผมโชคดีเพียงพอ
ที่ได้ทำงานแก้ปัญหานี้ กับกลุ่มวิจัยที่น่าทึ่งที่สุดในประเทศ
เรื่องโรคเบาหวานและโรคอ้วน
และส่วนที่ดีที่สุดก็คือ
เหมือนกับอับราฮัม ลินคอล์น ที่ล้อมรอบตัวเองด้วยทีมคู่แข่ง
เราก็ได้ทำสิ่งเดียวกันนั้น
เรารับกลุ่มคู่แข่งทางวิทยาศาสตร์ เข้ามาทำงาน
คนที่ดีที่สุดและฉลาดที่สุด ซึ่งทั้งหมดมีสมมติฐานที่แตกต่างกัน
ต่อเรื่องที่เป็นหัวใจสำคัญของโรคระบาดนี้
บางคนคิดว่า มันเป็นการบริโภคแคลอรี่มากเกินไป
คนอื่นๆคิดว่า มันเป็นไขมันในอาหารที่มากเกินไป
คนอื่นๆคิดว่า เป็นเมล็ดพืชที่ขัดจนขาวและแป้งที่มากเกินไป
แต่กลุ่มที่มาจากหลากหลายสาขาวิชา
นักวิจัยที่ช่างสงสัย และมีพรสวรรค์มากเหลือเกินนี้
เห็นตรงกันได้ในสองเรื่อง
ประการแรก ปัญหานี้สำคัญเกินกว่า
จะเพิกเฉยต่อไปอีก เพราะว่าเราคิดว่าเรารู้คำตอบแล้ว
ประการที่สอง ถ้าเราเต็มใจยอมรับว่ามันผิด
ถ้าเราเต็มใจที่จะท้าทายความรู้แบบเดิมๆนั้น
ด้วยการทดลองที่ดีที่สุด ที่วิทยาศาตร์นั้นจะมีให้
เราก็จะสามารถแก้ปัญหานี้ได้
ผมทราบว่า มันเย้ายวนใจที่เอาคำตอบในตอนนี้
ในรูปแบบของการปฏิบัติหรือนโยบาย คำสั่งควบคุมอาหารจากแพทย์ บางอย่าง เช่น
กินนี่สิ นั่นกินไม่ได้
แต่ถ้าเราต้องการที่จะได้คำตอบที่ถูกต้อง
เราจะต้องทำงานวิทยาศาสตร์ที่เคร่งครัดยิ่งกว่านี้มาก
ก่อนที่เราจะสามารถเขียนใบสั่งยาได้
โดนสรุป เพื่อจัดการปัญหานี้ โครงการวิจัยของเรา
จึงเน้นไปยังแนวคิดหลัก หรือคำถามสามข้อ
ข้อแรก อาหารต่างๆที่เราบริโภคเข้าไป
ส่งผลกระทบต่อการเผาผลาญ ฮอร์โมนและเอ็นไซม์ อย่างไร
และผ่านทางกลไกระดับโมเลกุลแตกต่างกันอย่างไรบ้าง
ข้อสอง จากพื้นฐานความเข้าใจอย่างถ่องแท้เหล่านี้
ผู้คนจะสามารถทำการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ ในเรื่องอาหารที่รับประทาน
ในวิธีการที่ปลอดภัยและนำไปปฏิบัติได้จริงหรือไม่
และข้อสุดท้าย ทันทีที่เราระบุได้ว่า อะไรที่ปลอดภัย
และสามารถนำไปใช้ ในการควบคุมอาหารของตนได้แล้ว
เราจะทำอย่างไรจึงจะเปลี่ยนพฤติกรรมของพวกเขา ให้ไปในทิศทางนั้นได้
เพื่อที่มันจะได้เป็นมาตราฐาน
มากกว่าที่จะเป็นข้อยกเว้น
เพียงแค่เพราะว่าคุณรู้ว่าจะทำอะไร ไม่ได้หมายความว่า
คุณจะทำสิ่งนั้นอยู่เสมอๆ
บางครั้งเราต้องเอาสิ่งกระตุ้นทั้งหลายไว้รอบๆผู้คน
เพื่อให้ง่ายขึ้น และเชื่่อหรือไม่ครับ
ว่าสิ่งนั้นสามารถศึกษาได้ในเชิงวิทยาศาสตร์
ผมไม่รู้ว่า การเดินทางครั้งนี้จะสิ้นสุดลงอย่างไร
แต่สิ่งนี้ อย่างน้อยที่สุดก็ ดูจะชัดเจนอย่างมากสำหรับผม
เราจะกล่าวโทษคนไข้ของเรา ที่อ้วนเกินไป และเป็นเบาหวานไม่ได้อีกต่อไป
เหมือนที่ผมเคยทำมาแล้ว
จริงๆแล้ว พวกเขาส่วนมากต้องการทำในสิ่งที่ถูกต้อง
แต่พวกเขาต้องรู้ว่า สิ่งนั้นคืออะไร
และมันจะต้องใช้ได้ผล
ผมฝันว่า สักวันหนึ่งเมื่อคนไข้ของเราสามารถ
สลัดนํ้าหนักที่มากเกินไปของเขาทิ้งไป
และรักษาตัวเองจากภาวะดื้อต่ออินซูลินได้
เพราะว่า ในฐานะที่เป็นผู้ประกอบวิชาชีพทางการแพทย์
เราได้สลัดความเชื่อและทัศนคติในอดึต ที่มากเกินของเราทิ้งไปแล้ว
และรักษาตัวเราเองจากการต่อต้านความคิดใหม่ๆ ได้อย่างพอเพียงแล้ว
เพื่อที่จะกลับไปยังอุดมการณ์ดั้งเดิมของเรา ซึ่งก็คือ
ใจที่เปิดกว้าง มีความกล้าที่จะโยนทิ้งความคิดเก่าๆ ของวันวานไปเสีย
เมื่อสิ่งเหล่านั้นดูจะใช้การไม่ได้แล้ว
และความเข้าใจที่ว่าความถูกต้องทางวิทยาศาสตร์นั้น ไม่ได้เป็นจุดสิ้นสุด
แต่มันค่อยๆเปลี่ยนไปตลอดเวลา
การคงไว้ซึ่งความเชื่อมั่นในแนวทางนี้ จะเป็นประโยชน์กว่าต่อคนไข้ของเรา
และต่อวิทยาศาสตร์
ถ้าโรคอ้วนไม่ใช่อะไรที่มากไปกว่า เป็นตัวแทนของอาการ
เจ็บป่วยเกี่ยวกับการเผาผลาญของร่างกาย
มันจะดีอย่างไร ที่จะไปลงโทษ คนที่มีอาการนั้น
บางครั้ง ผมก็คิดย้อนกลับไปในคืนนั้น ในห้องฉุกเฉิน
เมื่อเจ็ดปีที่แล้ว
ผมหวังว่าจะได้พูดกับผู้หญิงคนนั้นอีก
ผมอยากจะบอกเธอให้รู้ว่า ผมเสียใจเพียงใด
ในฐานะที่เป็นแพทย์ ผมอยากจะพูดว่า ผมได้ให้
การรักษาในสถานพยาบาลอย่างดีที่สุด เท่าที่ผมจะทำได้
แต่ในฐานะที่เป็นมนุษย์
ผมทำให้คุณผิดหวัง
คุณไม่ต้องการการตัดสิน และการดูแคลนจากผม
คุณต้องการความเข้าใจ และความเห็นอกเห็นใจจากผม
และเหนือสิ่งอื่นใด คุณต้องการแพทย์
ที่เต็มใจที่จะพิจารณาว่า
บางทีคุณไม่ได้ทำให้ระบบนั้นผิดหวัง
บางทีระบบนั้น ซึ่งผมเป็นส่วนหนึ่ง
ทำให้คุณผิดหวัง
ถ้าคุณกำลังดูอยู่ในขณะนี้
ผมหวังว่าคุณจะยกโทษให้ผมนะครับ
(เสียงปรบมือ)