Tip:
Highlight text to annotate it
X
เกาหลีเหนือ บางครั้งก็ถูกเรียกว่า ดินแดนแห่งเสียงกระซิบ
ผู้คนที่นั่น จะไม่พูดอะไรอย่างเปิดเผย
พวกเขามักจะกระซิบกระซาบกัน แล้วเดินจากไปอย่างรวดเร็ว
มันเป็นหนึ่งในดินแดนที่ลึกลับที่สุดในโลก
หนึ่งในประเทศที่โดดเดี่ยวที่สุดของโลก
และในฐานะนักท่องเที่ยว คุณจะได้พบกับความจริงแบบเดียวกันแทบทุกครั้ง
คุณจะไม่ได้เห็นภาพรวมทั้งหมด
คุณจะไม่ได้รับฟังเรื่องราวทั้งหมด
สิ่งที่คุณจะได้ทั้งหมด จะเป็นเพียงเงาพร่ามัว
สิ่งที่คุณได้ฟังจะเป็นเพียงเสียงกระซิบอันแสนแผ่วเบา
และมันขึ้นอยู่กับคุณเอง ที่จะตัดสินว่า อะไรคือความจริงใจ และอะไรคือความกลัว
อะไรคือความจริง และอะไรคือความโป้ปด
และอะไรคือข้อเท็จจริง หรืออะไร คือ การโฆษณาชวนเชื่ออย่างบริสุทธิสมบูรณ์แบบ
เพื่อนผมคนหนึ่ง ได้ไปเกาหลีเหนือมา และเธอถึงกับต้องตัวสั่นกับประสบการณ์ที่ได้รับ
เกาหลีเหนือเป็นประเทศที่บ้าสุดๆ!
มันเป็นสถานที่ที่หลุดโลกที่สุด ที่ฉันเคยพบมาในชีวิต
และมันได้เปลี่ยนมุมมองทั้งหมดที่ฉันคิดเกี่ยวกับโลกใบนี้
มันเปลียนวิธีคิดของฉันเกี่ยวกับรัฐบาล มันเปลี่ยนวิธีคิดของฉันเกี่ยวกับสังคม
มันได้เปลี่ยนวิธีคิดของฉันเกี่ยวกับการดำเนินชีวิตของผู้คน
มันเป็นเรื่องที่น่าทึ่ง! และทำให้ผมอยากรู้มากขึ้น
ผมเลยเปิดอินเตอร์เนต พยายามหาข้อมูลเกี่ยวกับเกาหลีเหนือเพิ่ม
แต่ไม่มีเนื้อหาอะไรใหม่ๆ ในนั้นมากนัก
สิ่งที่ผมพบส่วนใหญ่ ถูกผลิตขึ้นโดยชาวตะวันตก ผ่านมุมมองมุมเดียว
และบ่อยครั้ง มันไม่ได้ให้ความรู้อะไร
ในเดือนตุลาคม ปี 2000, ประธานาธิบดี ส่งเลขาธิการของรัฐ เมดีลีน อัลไบรท์ ไปยังกรุงเปียงยาง
เพื่อเจรจาโดยตรงกับคิม จอง อิล
ฉันได้รับการอธิบายโดยสรุปว่า เขาเป็นคนประหลาดยังไง
จากคนของเรา เขาถูกวาดภาพว่าเป็นคนรักสันโดษ
มีภรรยาหลายคน และชอบดูหนังโป้
เป็นคนแปลกประหลาด ที่คุณนึกไม่ออกเลย ว่าเขาจะเป็นแบบไหน
ผมมีความสนใจในช่วงเวลาของโซเวียต ทั้งในเรื่องศิลปะของการโฆษณาชวนเชื่อ สถาปัตยกรรม
และสถานที่แปลกๆ ที่อยู่ผิดที่ผิดทาง หลายๆ แห่ง
เพราะงั้น ผมเลยอยากไป
ทุกๆ ปี นักท่องเที่ยวต่างชาติประมาณ 1,000 - 2,000 คน ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในเกาหลีเหนือ
ส่วนใหญ่มาเพื่อชมงานแสดงอารีรัง และไม่ได้ไปเที่ยวสถานที่อื่นๆ มากนัก
แต่ผมไม่อยากไปแบบนักท่องเที่ยวทั่วๆ ไป
ผมอยากทำบางอย่าง ที่มันมีประโยชน์มากกว่านั้น
หลังจากส่งและรับอีเมลกับบริษัทนำเที่ยวในเกาหลีเหนืออยู่พักหนึ่ง
ผมได้รับอนุญาตที่ไม่ค่อยมีคนได้ ให้เอากล้องถ่ายวีดีโอไปด้วย
แลกกับที่ผมต้องถ่ายโฆษณาสั้นๆ ให้กับบริษัทนำเที่ยว
และได้รับอนุญาตให้ใช้วีดีโอที่เหลือ ในงานส่วนตัวของผมได้
คนส่วนใหญ่มักคิดไปเองว่า การมาเที่ยวเกาหลีเหนือ เป็นไปไม่ได้ หรือถ้าได้ ก็ยาก
แต่ความจริงแล้ว มันง่ายมาก
ที่ผมต้องทำทั้งหมด คือ ส่งสำเนาหนังสือเดินทาง ไปให้กับบริษัท
และพวกเขา ก็จัดการที่เหลือต่อเองจากที่นั่น
ข้อเสียของมัน คือ คุณต้องเดินทางไปเป็นกลุ่ม
และน่าเสียดาย มันเป็นทางเดียวที่เป็นไปได้ ที่จะเข้าเกาหลีเหนือ
เอาละ ผมก็คงต้องทำตามนั้น
การเดินทางของผมเริ่มขึ้นที่เวียตนาม ในเมืองที่ผมโปรดปราน
เมืองอันงดงามที่มีอายุนับพันปี อย่างฮานอย
จากที่นี่ ผมขึ้นรถไฟข้ามคืน ไปยังหนานหนิง และต่อไปยังปักกิ่งของจีน
เรากำลังจะขึ้นไปบนนั้น! ขึ้น ไปตรงนั้น ตรงไหนละ ผมมองไม่เห็น
...จริงๆ เขากำลังถ่ายวีดีโอ ไม่ใช่ถ่ายรูป
ในที่สุด ผมก็พร้อมขึ้นรถไฟ สู่กรุงเปียงยาง
ที่สถานี ผมพบกับหัวหน้ากลุ่มมัคคุเทศก์ชาวตะวันตกของผม
ไมค์มันดังรึเปล่า?
ลมคงไม่มีปัญหา ใช่มั๊ย?
ผมขึ้นมาบนรถไฟ ทุกคนตื่นเต้นที่จะได้ไปเกาหลีเหนือ
แล้วรถไฟก็เริ่มเคลื่อน และในทันใด
ก็เกิดเรื่องวุ่นวายขึ้น
และผมมองออกไปนอกหน้าต่าง
กลายเป็นว่า ผู้ชายคนหนึ่งตกรถไฟอยู่บนชานชาลา
เอาละ ถ้าเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติ มันเป็นความผิดของเขาเองที่ตกรถไฟ
เขาก็แค่ รอรถเที่ยวหน้า
แต่ถ้าเป็นคนเกาหลี ผมคงได้แต่สงสัยว่า
จะเกิดอะไรขึ้นกับผู้ชายคนนั้น เมื่อรถไฟขบวนนี้ถึงกรุงเปียงยาง
และเขาไม่อยู่บนรถไฟ
มันเหมือนละครชีวิต
หลังจากนั้นช่วงกลางคืน ผมได้คุยกับคนเกาหลีอีกคนหนึ่ง และเขาบอกผมว่า ชายคนนั้นทิ้งของไว้
บนรถไฟ รู้สึกชายคนนี้คิดว่า พี่น้องของเขา เขาเรียกชายคนนั้นแบบนี้
ต้องไปสถานทูตเกาหลีเหนือในปักกิ่ง และขอความช่วยเหลือจากพวกเขา
คุณรู้หรือเปล่า ผมคิดว่า เขาคงได้ขึ้นเครื่องบิน หรือรถไฟด่วน กลับมา
ผมถามชายคนนี้ ว่า จะมีปัญหากับพี่น้องของคุณหรือเปล่า เขาจะถูกลงโทษหรือเปล่า
เขาจะไม่เป็นไร...ผมหวังแบบนั้น
ชายคนนี้บอกผมว่า "ไม่ต้องห่วง เขาจะไม่ถูกลงโทษหรอก เขาจะถูกติเตียนเฉยๆ"
อ้าว แล้ว "ติเตียน" นี่ มันแปลว่าอะไร?!
เรากำลังจะไปเกาหลีเหนือ!
นี่คือวงดนตรีชื่อ 'โมรันบอง' เป็นวงดนตรีใหม่ ที่ดูเหมือนคิม จอง อึน จะเลือกเองกับมือ
...ถ่ายรูป - ไม่มีปัญหา! ...เออ, เพื่อนรัก!
ข้ามเขตชายแดน ที่เป็นแม่น้ำ
ฝั่งหนึ่ง คือ ประเทศจีน อีกฝั่ง คือ เกาหลี
ในฝั่งจีน คุณจะเห็นภาคธุรกิจ คุณเห็นตึกสูง คุณเห็นป้ายโฆษณา
จากนั้น คุณก็ข้ามแม่น้ำเข้าสู่ฝั่งเกาหลี และมีคนเตร็ดเตร่อยู่ตามริมตลิ่ง
ที่นี่...ที่นี่ไม่มีอะไรจริงๆ
และรถไฟก็จอดที่ท่าตรวจคนเข้าเมือง ผมเดาเอานะ เพราะมันเป็นตึกอะไรซักอย่าง
และความตื่นเต้นของเรา ก็ดับลงอย่างรวดเร็ว เพราะในอีกสามชั่วโมงถัดมา
ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยจริงๆ
และ หลังจากถูกตรวจสัมภาระทั่วๆ ไป รถไฟก็เริ่มเคลื่อนตัวช้าๆ อีกครั้ง และผมก็อยู่ในเกาหลีเหนือแล้ว
ประเทศที่ 33 เกาหลีเหนือ
พอตกเย็น ผมก็มาถึงเปียงยาง และผมก็ได้ไปเจอมัคคุเทศก์ของผม
พรรคแรงงานแห่งเกาหลีเหนือจงเจริญ!
ท่านผู้นำผู้ยิ่งใหญ่จงเจริญ, สหายคิม จอง อึน!
ประธานาธิบดี คิม อิล ซุง และท่านผู้นำที่รักคิม จอง อิล จะอยู่กับเราเสมอ!
...และจากนั้น ข้างหน้า คุณจะเห็นอนุสาวรีการสถาปนาพรรค...
...คุณไม่หนาวเหรอะ?
...ก็เย็นๆ นะ!
ผมเดินไปหามัคคุเทศก์ ผมแนะนำตัวเอง
พวกเขาไม่เป็นมิตรเท่าไหร่ พวกเขาไม่อยากพูดคุย
แต่สิ่งที่เขาทำ คือ แนะนำกฎหลายๆ ข้อ ที่ต้องปฏิบัติตาม เมื่อเข้ามาในประเทศของเขา
...ในประเทศของเรา คุณต้องทำแบบนั้น ในประเทศเราคุณห้ามทำแบบนี้
1. ห้ามถ่ายภาพสหายเกาหลี
ในประเทศของพวกเขา ผมไม่ได้รับอนุญาตให้ถ่ายวีดีโอ ผมไม่ได้รับอนุญาตให้ถ่ายรูป
ของผู้คนท้องถิ่น เพราะ มันจะทำให้พวกเขาโกรธผม
และมันจะสร้างปัญหาให้ผม
2. เคารพสื่อ
ในประเทศของพวกเขา ถ้าผมอ่านหนังสือพิมพ์ที่มีภาพของคิม จอง อิล
คิม อิง ซุง หรือคิม จอง อึน - ผมไม่ได้รับอนุญาตให้พับครึ่งหนังสือพิมพ์ฉบับนั้น
ผมไม่ได้รับอนุญาตให้ขย้ำมันทิ้ง ผมไม่ได้รับอนุญาตให้ไม่เคารพ ไม่ว่าทางใดๆ
และจริงๆ แล้ว หนังสือพิมพ์ทุกฉบับมีภาพท่านผู้นำของพวกเขา
อยู่บนทุกๆ หน้า
3. "การถ่ายภาพต้องสมจริง"
ทุกครั้งที่ถ่ายรูปประติมากรรม หรืออนุสาวรีใดๆ ของท่านผู้นำที่รัก
คุณต้องถ่ายรูปเหล่านั้นจากมุมต่ำเสมอ
คุณต้องถ่ายรูปแบบเต็มตัวเสมอ
คุณไม่ควรถ่ายให้ไหล่หลุดจากกรอบ คุณไม่ควรถ่ายให้รองเท้าหลุดจากกรอบ
คุณไม่ควรถ่ายอะไรให้หลุดกรอบเลย
ตอนนี้ ผมทำตามกฎพวกนี้แล้วหรือยัง?
อ่า ถ้าคิดตามเหตุผล ผมรู้สึกว่า ตัวเองทำมากพอที่จะไม่ไปทำให้ใครรู้สึกแย่จริงๆ
และยังคงรักษาความสัจต่อตัวเองไว้ได้
ผมพักอยู่ที่โรงแรม แยงกั๊กโด และมีคนบอกผมว่า
แยงกั๊กโด แปลว่า "เกาะแกะมีเขา"
ผมเลยสมมติเอาว่า ผมกำลังพักอยู่ที่โรงแรม "เกาะแกะมีเขา"
แยงกั๊กโด เป็นโรงแรมขนาด 50 ชั้น มีร้านอาหารล้อมรอบอยู่ชั้นบนสุด
มันตั้งอยู่บนเกาะที่แยกตัวอยู่เดี่ยวๆ กลางกรุงเปียงยาง
ผมได้อยู่บนชั้น 26 - ทุกชั้นใต้ชั้น 26 - ทุกชั้นเหนือชั้น 26 ทุกชั้นว่างเปล่า!
ไฟทั้งหมดถูกปิด ไม่มีใครเลยที่นั่น
ร้านอาหารที่อยู่ชั้นบนสุด - ว่างเปล่า!
มีบ่อนอยู่ชั้นใต้ดิน มีห้องคาราโอเกะสองสามห้อง รู้สึกจะมีสปา สระว่ายน้ำ
ร้านอาหารหลายๆ แบบ - ไม่มีคนเลย. ไม่มีใครเลยจริงๆ!
...ต้องขอโทษด้วย ห้ามถ่ายรูป!
และอีกอย่างหนึ่ง ที่โรงแรม แยงกั๊กโด ไม่มีชั้นหมายเลข 5
ไม่มีทางเข้าไปชั้น 4 และ ชั้น 6 ด้วย
มีอะไรในชั้นพวกนั้น? ไม่มีใครรู้!
เช้าวันต่อมา ผมตื่นค่อนข้างเช้า และมุ่งหน้าไปยังสนามบิน
เพื่อขึ้นเครื่องไปภูเขา พิกตุซัน ซึ่งเป็นสถานที่เกิดในตำนาน
ของท่านผู้นำที่รัก สหายคิม จอง อิล
สายการบินแห่งชาติเกาหลีเหนือ โคเรียวแอร์ เป็นสายการบินที่ไม่ได้รับความนิยม เพราะถูกมองว่า เป็นสายการบินที่แย่ที่สุดในโลก
เที่ยวบินนี้ไม่มีอะไรพิเศษ แต่อย่างว่า ผมเคยบินกับสายการบินอเมริกัน
ผมเคยบินกับยูไนเต็ด มาก่อน - พวกเขาห่วย!
โคเรียวแอร์ ไม่ได้แย่ขนาดนั้น. มันไม่ได้ดีกว่า, แต่มันก็ไม่ได้แย่
และพวกเขาไม่เก็บค่าสัมภาระเพิ่ม
จากเชิงเขา พิกตุซัน ที่รถโดยสารจอดอยู่
ถึงยอดเขา ซึ่งคุณสามารถมองเห็นทะเลสาบในตำนานอย่าง "ทะเลสาบสวรรค์"
มันใช้เวลาในการเดินพอสมควร
ทุกคนเดินไปตามที่ตัวเองต้องการ เพราะงั้น ผมเลยแยกตัวออกมาจากมัคคุเทศก์
เมื่อผมไปถึงยอดเขา ผมถ่ายรูปทะเลสาบแบบตั้งเวลา
แต่ ทันใดนั้น ชายเกาหลีคนหนึ่งเดินเข้ามาหาผมอย่างเกรี้ยวกราด และสั่งให้ผมย้ายกล้อง เพราะผมไปขวางทางเขา
เอาละ ผมพยายามให้เหตุผลกับชายคนนั้นอยู่เกือบสามนาที แต่สุดท้าย ผมก็ต้องตัดบท
ผมเลยเดินจากมา ผมขอชาวบ้านถ่ายรูปและ
ไม่รู้มาจากไหน ทั้งซ้ายและขวา ทุกคนอยากถ่ายรูปหมู่กัน
และก่อนผมจะรู้ตัว ชายหน้าบึ้งคนนั้น ก็โผลมาอีก!
เขาผลักคนอื่นๆ ออกไปข้างๆ และตอนนี้ เขาอยากจะถ่ายภาพหมู่ด้วยเหมือนกัน
แล้วมัคคุเทศก์ก็โผลมา และนั่นก็เป็นจุดจบของปฏิสัมพันธ์กับคนท้องถิ่นครั้งนี้
จากภูเขา พิกตุซัน ผมมุ่งหน้าไปยังค่ายลับ
เป็นสถานที่ทางประวัติศาสตร์ ที่ท่านผู้นำผู้ยิ่งใหญ่คิม จอง อิล เกิดและใช้ชีวิตในวัยเด็ก
รูปนั้นเป็นรูปของประธานาธิบดีของเรา คิม อิล ซุง และมารดาคิม จุง ซุก และจากนั้น
ท่านผู้นำที่ยิ่งใหญ่ของเราคิม จอง อิล ในวัยหนึ่งขวบ
และจากนั้น คุณจะเห็นอยู่ตรงนั้นยอดเขา "จอง อิล"
"จอง อิล" เป็นชื่อของท่านผู้นำผู้ยิ่งใหญ่ของเรา "คิม จอง อิล" หรือสั้นๆ "จอง อิล"
เราเลยเรียกยอดเขานั่นว่า "จอง อิล"
ครึ่งหนึ่งของสิ่งต่างๆ ครึ่งหนึ่งของสถานที่ ถูกตั้งชื่อตามท่านผู้นำที่ยิ่งใหญ่!
...พื้นที่ตรงนั้น เป็นพื้นที่อันเร้นลับ!
มีหลายภูเขา ที่ถูกตั้งชื่อตามท่านผู้นำที่รัก ต้นไม้หลายต้นถูกตั้งชื่อตามท่านผู้นำที่รัก
มีแม้กระทั้งดอกไม้ที่ตั้งชื่อตามท่านผู้นำที่รักในเกาหลี!
...นั่นเป็นบทกลอนที่เขียนโดยประธานาธิบดีของเรา คิม อิล ซุง
และถัดมา นั่นเป็นลายเซ็นต์ของท่านประธานาธิบดีคิม อิล ซุง
...ไปกันต่อเลย!
ตามเอกสารเก่าๆ จริงๆ แล้วคิม จอง อิล เกิดในรัซเซีย
แต่ในเกาหลี เรื่องราวจะไปเกี่ยวข้องกับสายรุ้งคู่ และนกพูดได้
ตลอดการอยู่ที่นั่น ผมทำอะไรไม่ได้นอกจากแปลกใจว่า
คนเหล่านั้นจะรู้สึกยังไง เมื่อวันหนึ่งเขาค้นพบความจริง?
ตั้งแต่เริ่มต้นการเดินทาง ผมได้แต่รอการพบประสบการณ์แบบบ้านๆ
ผมต้องติดอยู่บนรถไฟ และได้แต่คิดว่า "เอาละ พอถึงเปียงยาง การเดินทางจะได้เริ่มจริงๆ ซักที"
แล้วผมก็ถึงเปียงยาง และเอ่อ ผมติดอยู่ในโรงแรม
เช้าวันถัดมา ผมคิดว่า "เอาน่า เดี๋ยวก็ได้ไป" แต่ ไม่เลย!
ผมถูกพาไปรถโดยสาร ผมถูกจับยัดเครื่องบิน และมีผนังกั้นผมตลอด!
มันเป็นจุดที่ผมเริ่มรู้ตัวแล้วว่า ประสบการณ์แบบบ้านๆ ที่ผมต้องการ - อ่า มันคงไม่มีทางเกิดขึ้น
แต่ ผมเดินไปหาคุณ โมเอะ และถามเขาว่า: "คุณ โมเอะ ครับ คุณเล่าเรื่องชีวิตของคุณให้ผมฟังซักหน่อยได้หรือเปล่าครับ" - คำตอบ ไม่
"คุณ เซลมะ คุณเล่าเรื่องรัฐบาลของคุณให้ฟังซักหน่อยนะครับ?" - คำตอบ ไม่ได้เด็ดขาด.
และถึงจุดนี้ ผมก็เริ่มเข้าใจข้อเท็จจริงที่สองว่า สองคนนั้น จริงๆ ไม่ใช่มัคคุเทศก์!
พวกเขาเป็นแค่กระบอกเสียงของการโฆษณาชวนเชื่อ พวกเขาอยู่ตรงนี้ เพื่อย้ายผม จากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง ให้ประทับใจ
ทุกรอบของการท่องเที่ยว ทั้งที่จริงแล้ว พวกเขาแทบรอไม่ไหว ที่จะให้ผมกลับบ้านไปซะ
ความพยายามครั้งสุดท้าย ผมเดินไปหาคุณ จิม และถามว่า
"คุณ จิม ครับ ช่วยเล่าอะไรก็ได้ให้ผมฟังเกี่ยวกับความเชื่อเรื่อง จุ๊จเฉะ หน่อยครับ?"
และผมต้องประหลาดใจอย่างมาก เขาดูมีท่าทางสนใจ! และดูมีความสุขที่ผมถาม!
คำตอบของเขาไม่ค่อยสมเหตุสมผลเท่าไหร่ ส่วนใหญ่เป็นเรื่องโฆษณาชวนเชื่อ
ความเชื่อหลายอย่างของพวกเขาฟังแล้ว ไม่ค่อยสมเหตุสมผลสำหรับผม และถ้าให้ผมต้องเดา
คนเกาหลีส่วนใหญ่ ก็คงไม่ได้ทำตามเหมือนกัน
ความคิดเรื่อง จุ๊จเฉะ เป็นความคิดที่เชื่อเรื่อง "การพึงพาตนเอง" มันเป็นความคิดที่บอกว่า คนต้องสร้างโชคชะตาด้วยตนเอง
และโดยไม่ได้บีบเขา ผมถามเขาว่า
"เอ่อ, แล้วคุณเชื่อจริงๆ หรือว่า ความเชื่อนี้ถูกถ่ายทอดไปสู่ประชาชน?"
"คุณเชื่อจริงๆ หรือว่า คนเกาหลีสามารถประสบความสำเร็จอย่างที่ตัวเองฝันไว้ได้?"
เขาไม่มีคำตอบใดๆ ให้ผม และตรงนั้นเอง เราก็ถึงรถโดยสาร และการสนทนาของเราก็ต้องจบลง
เย็นวันนั้นที่โรงแรม มันทำให้ผมนึกถึงหนังของ สแตนลีย์ คูบริค เรื่อง "ไชน์นิ่ง"
มันอ้างว้าง มันเหมือนอยู่ท่ามกลางที่ไหนก็ไม่รู้ และมันรู้สึกเหมือนไม่มีใครมาที่นี่มาเป็นชาติแล้ว
และผมแปลกใจจริงๆ ว่า พนักงานของโรงแรมนี้ มาทำงานกันทุกวันหรือเปล่า โดยเฉพาะช่วงที่ไม่มีนักท่องเที่ยว
และพวกเขายังต้องแสร้งทำว่า นี่เป็นธุรกิจแบบปกติทั่วไปรึเปล่า?
แล้วผมก็มาถึงห้องพัก ผมเปิดโทรทัศน์
ผมเปิดมันทิ้งไว้ ตลอดเย็นวันนั้น
ผมอยากออกไปเจอประสบการณ์บ้านๆ และต้องไปให้ได้
ผมต้องนั่งในห้องห่วยๆ ของโรงแรม
ไม่มีน้ำร้อน มีแต่พรมเก่าๆ และกลิ่นสาบของมัน
กับภาพขาวดำ และเสียงเพลงยุคปฏิวัติที่ดังมาจากโทรทัศน์
และผมรู้สึกเหมือนกับว่า ถูกพาไปสู่โลกความจริงที่ดูแปลกๆ อีกใบหนึ่ง
ถ้านี่เป็นความสะดวกสบายแบบตะวันตกที่พวกเขาเปิดให้ชาวต่างชาติดู แล้วคนท้องถิ่นล่ะ เขาต้องอาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบไหน?
ทั้งเย็นวันนั้น หมดไปกับการดื่มไวน์บลูเบอรี่ในห้องโถงของโรงแรม
สิ่งที่ผมพบว่าน่าสนใจมากกว่า, เอ่อ, คือ บริกรหญิงน่ารัก และความจริงที่ว่า เธอ
ถูกสะกดโดยจอสัมผัสของแทปเล็ตของนักท่องเที่ยวคนหนึ่ง
เธอใช้เวลาเกือบทั้งเย็น เล่นเกม 'แองกรี่เบิร์ด' กระทั่ง คุณ โมเอะ โผล่มาอย่างกระทันหัน
เขาไล่สาวน้อยน่าสงสารคนนั้นไป และ...เขาเริ่มเล่นเกมซะเอง
ในวันที่ 4 กรกฎาคม 1976 ท่านผู้นำที่เป็นที่รัก คิม จอง อิล มาที่นี่ และกำหนดว่า เราสามารถสร้างอนุสาวรีได้ตรงไหน
ประชาชนเกาหลีทั้งหมดเรียกท่านประธานาธิบดีคิม อิล ซุงว่า เป็นพยัคฆ์แห่งภูผา
เราจึงสร้างอนุสาวรีนี้ไว้เป็นภาพในวัยเยาว์ของท่านประธานาธิบดีคิม อิล ซุง
หลังจากฟังเรื่องความสูง น้ำหนัก และความหนาแน่นของรูปปั้นท่านผู้นำที่รัก และ
ไปดูพิพิธภัณฑ์ที่อุทิศให้กับ... ท่านผู้นำที่รัก
ผมมุ่งหน้าไปสนามบินเพื่อขึ้นเครื่องไปยังเมือง ชงจิน
เขต ชงจิน ถูกปล่อยปะละเลยอย่างมาก มาหลายทศวรรษ
ในช่วงยุคปี 1990 พื้นที่นี้ต้องตกอยู่ในสภาพขาดแคลนอาหารอย่างหนัก ทำให้มีผู้เสียชีวิตจากการอดอยาก ถึง 20% ของประชากรในท้องที่
ในปี 2009 หนังสือที่ได้รับรางวัลชื่อ "ไม่มีอะไรให้อิจฉา" ซึ่งตีพิมพ์โดยนักข่าวชาวอเมริกัน
ผ่านการสัมภาษณ์คนที่แปรพักตร์หลายคน และการลักลอบนำข้อมูลจำนวนหนึ่งออกมา หนังสือพยายามเปิดเผยความจริงของชีวิตในแต่ละวันที่อาศัยในพื้นที่นี้ิ
การเปิดตัวของหนังสือ นำความเสื่อมเสียมาสู่การครองอำนาจของคิม จอง อิลเป็นอย่างมาก และเป็นอีกเหตุผลหนึ่ง ที่ทำให้มีการจำกัดนักท่องเที่ยวในเขตนี้มากขึ้น ในหลายปีที่ผ่านมา
ถ้าจะมีซักภาพที่ผมติดใจใน ชงจิน ก็คงเป็นพวกโรงงานต่างๆ
เมืองนี้เป็นเมืองหลักของอุตสาหกรรมหนัก มีตึกโลหะมากมาย และ
โรงงานสารเคมีจำนวนมากที่นี่ และที่นี่ยังมีฐานทัพจำนวนมากด้วย
ทุกๆ ครั้งที่เราเปิดโรงงาน ท่านผู้นำทั้งสอง จะมาที่นี่
ไม่ใช่สนับสนุนฐานทัพ แต่เพื่อพัฒนาชีวิตประชาชนเท่านั้น
ท่านผู้นำทั้งสอง มาที่นี่มากกว่าห้าสิบครั้ง
ภายใต้คำแนะนำอันอบอุ่นของท่านประธานาธิบดีคิม อิง ซุง และท่านผู้นำที่รักคิม จอง อิล เมืองแห่งนี้
ได้กลายเป็นเมืองสมัยใหม่แล้ว
หลังจาก 6 ชั่วโมงของการเดินทาง ผมถูกพาไปยังเมืองสมัยใหม่ อย่างเมือง ชงจิน
เมืองสโมสรชาวประมง
มันเป็นแค่ตึกที่มีประตู กับห้องคาราโอเกะห้องหนึ่ง กับโต๊ะพูล
กับเบียร์ และ...อะไรอื่นๆ อีกนิดหน่อย
เขาบอกว่า ผมฆ่าเวลาได้สามชั่วโมง ที่นี่
หลังจากนี้ มีแผนยังไงต่อล่ะ?
อ้อ ผมว่า รีบๆ กินเบียร์ให้หมด แล้วกลับไปโรงแรมให้ไว เช็คอิน อาบน้ำ
แล้วดื่มต่อที่โรงแรม - มันคงดีกว่า
ผมไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปเตร็ดเตร่ แต่คงออกไปตรงลานได้
และกลายเป็นว่า การปรากฎตัวของชาวต่างชาติ จุดความสนใจให้กับชาวบ้านได้เล็กน้อย
โดยเฉพาะจากเด็กๆ
เด็กหลายคน เดินมาดู มุดหน้าเข้ามาตามกำแพง เพื่อพยายามดูให้ชัดขึ้น
และผมโบกมือให้พวกเขาบางคน บางคนยิ้ม บางคนอาย
และเข้าใจได้ว่า พวกเขาคงอยากรู้อยากเห็นกันมาก เพราะคงไม่เคยเจอชาวต่างชาติมาก่อน
หลังกำแพงเหล็กที่กั้นถนนไว้ ผมพยายามถ่ายรูปเก็บไว้ผ่านรอยแตก
ด้วยเลนส์ทางยาวขึ้น แต่ไม่กี่วินาที เซลมะ ก็โผล่มา
เธอดูโกรธมากกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา และเธออ้างว่า ชาวบ้านมาหาเธอ
และเล่าเรื่องของผม เธออ้างว่าคนเหล่านั้นโกรธผมมาก
พูดง่ายๆ คือ ผมเจอปัญหาใหญ่เข้าให้แล้ว
ผมเดินเข้าไปในห้องของผม ผมมองผ่านหน้าต่าง และผมก็เริ่มตื่นเต้น!
ผมสามารถมองเห็นการดำเนินชีวิตของชาวเกาหลีจากตรงนี้ได้ใกล้ มากกว่าจุดไหนๆ ตั้งแต่เริ่มการเดินทาง
หลังจากนั้น เขาบอกผมว่า ไม่มีโรงแรมอื่นในเมืองนี้
มัคคุเทศก์ไม่มีทางเลือก นอกจากพาชาวต่างชาติไปยังใจกลางเมือง
ที่ซึ่งถูกห้อมล้อมไปด้วยคนท้องถิ่น
แต่หลังจากการเผชิญหน้าครั้งล่าสุดกับ เซลมะ ตอนนี้ผมรู้สึกระแวงหน่อยๆ และคอยสงสัยว่า
ถึงจะไม่มีเหล่ามัคคุเทศก์แถวนี้ ชาวบ้านจะเห็นผมรึเปล่า? เขาจะเอาเรื่องผมไปฟ้องรึเปล่า?
และผมจะเจอปัญหาเพราะถ่ายวีดีโอจริงๆ รึเปล่า?
ถึงมันจะรู้สึกค่อนข้างแข็งๆ แต่การแสดงช่วงอาหารเย็นของบริกรหญิงก็เป็นการผ่อนคลายที่ดี
สำหรับการสิ้นสุดวัน
สายกีตาร์ของพวกเขาบางสายขาดไป สายที่เหลือก็ไม่ได้ตั้งจนไพเราะ แต่พวกเขาก็ทำได้ดี
ด้วยรอยยิ้มเหล่านั้น
หลังจากอาหารเย็น จิม มาหาผม และถามว่า ผมพอใจกับคำตอบของเขาในครั้งก่อนหรือเปล่า
เกี่ยวกับความเชื่อเรื่อง จุ๊จเฉะ มันเห็นได้ชัดว่า เขาอยากคุยเพิ่มจากเดิม
ผมเล่าเรื่องการท่องเที่ยวของผมให้เขาฟังเล็กน้อย ผมเล่าเรื่องที่ผมรู้เกี่ยวกับเกาหลีใต้ให้เขาฟัง
ทันใดนั้น ผมก็ถูกมองอย่างไม่พอใจจากหัวหน้ากลุ่มมัคคุเทศก์ชาวตะวันตก
เขาอยากให้ผมหุบปาก แต่ช่างเหอะ ผมก็แค่ไม่สนใจเขา
และผมเล่าให้ จิม ฟังว่า จริงๆ ผมไม่คิดว่า เกาหลีเหนือเป็นสถานที่ที่ให้ความสุขกับคนของประเทศได้
ผมอาจจะไปไกลเกินไป แต่ จิม ก็รับฟัง
จากนั้น ผมถามเขาด้วยว่า - ถ้าเกาหลีเหนือคิดว่า เกาหลีเหนือและเกาหลีใต้เป็นประเทศหนึ่งเดียว
ทำไมเกาหลีเหนือถึงทิ้งระเบิดเกาะทางใต้อย่าง เยียนเพียนตุ
ทำไมพวกเขาถึงทำร้ายพี่น้องของตัวเองด้วย?
ห่ากระสุนที่ตกลงบนเกาะ เยียนเพียนตุ เป็นจุดเริ่มต้นของการโจมตีด้วยปืนใหญ่ บนดินแดนของเกาหลีใต้
หลังสงบมามากกว่าครึ่งศตวรรษ
และเพราะคลื่นของควันปืนที่หมุนวนจากชุมชนบนเกาะเล็กๆ นี่เอง โซล ยกระดับความพร้อมทางทหารไปสู่ระดับสูงสุด
สู่สงคราม
เพื่อตอบโต้ต่อกระสุนปืน 200 นัดของเกาหลีเหนือ
เกาหลีใต้ส่งเครื่องบินรบ เอฟ16 เข้าไปยังพื้นที่
การตอบโต้ใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมง
บ้านประมาณ 70 หลัง และโครงสร้างอื่นๆ ลุกเป็นไฟเพราะลูกปืนใหญ่ของเกาหลีเหนือ
ทำให้ประชาชนต้องอพยพลงไปยังบังเกอร์ใต้ดิน
จิม บอกผมว่า เรื่องนี้ถูกบิดเบือนโดยสื่อตะวันตก
เขาบอกผมว่า การโจมตีเป็นแค่การตอบโต้ และเป้าหมายของมันมีแค่ฐานทัพทางทหารบนเกาะทางใต้
ผมหาข้อมูลเพิ่มในภายหลัง และพบว่า ข้อมูลของเขามีมูลอยู่บ้าง
ทันใดนั้น โมเอะ เดินเข้ามา พร้อมกับกล่าวหาว่า ผมเป็นสายลับสองหน้า และเป็นนักข่าวปลอมตัวมา
ผมขอให้เขาแลกเปลี่ยนความคิดกับผมตรงๆ แต่แย่หน่อย เขาไม่อยากทำอย่างนั้น
ถ้าประเทศหุ่นเชิดอย่างเกาหลีใต้กล้าที่จะบุกรุกเข้ามาใน
น่านน้ำของเกาหลีเหนือแม้เพียงเสี้ยวเดียว กองทัพปลดแอก
ของเกาหลีเหนือ จะใช้กำลังทางทหารทั้งหมด เพื่อตอบโต้กลับไปอย่างไม่มีความปราณี
ความจริงคือ คุณต้องยอมตีสองหน้าบ้าง เมื่ออยู่ในเกาหลีเหนือ
ในสายตาของผม หลายอย่างถูกบิดเบือนไปมาก ผิดแบบโต้งๆ และเลวร้ายสุดๆ แต่ยังไงซะ
สำหรับคนส่วนใหญ่ ไม่ว่ามันจะเป็นความฉลาดสุดๆ หรือเป็นผลมาจากการปลูกฝังอย่างเข้มข้น
พวกเขาก็เชื่อจริงๆ ว่า ทั้งหมดมันคือความจริง
เพราะงั้น ถึงผมจะรู้สึกโกรธพวกผู้นำของเขามาก ผมก็ไม่ลืม
ที่จะเคารพในสิ่งที่พวกเขาเชื่อ
ผมจะหวังการเปิดใจจากเขาได้รึเปล่านะ
จากนั้น...ไฟก็ถูกตัด
ในตอนเช้า ผมได้ไปอีกหนึ่งอนุสาวรี - แปลกใจกันรึเปล่า อนุสาวรีประธานาธิบดีคิม อิล ซุง
บางคนถามว่า: "เอ่อ จากปัญหาทั้งหมดที่ประเทศของคุณกำลังเผชิญ, ทำไมเหล่าผู้นำ
ต้องใช้เงิน และทรัพยากร ทำไมต้องตั้งอนุสาวรีให้พวกเขาเองด้วย"
ประธานาธิบดีคิม อิล ซุง และท่านผู้นำที่รักคิม จุง อิล ทำสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อประชาชนเท่านั้น ไม่ใช้เพื่อตัวเอง
ผมหมายถึง ชีวิตที่ดี ... สุขภาพที่ดี สิ่งที่ดีที่สุด
ผู้นำที่ยิ่งใหญ่ ปราศจากความเห็นแก่ตัว
พวกเขาเป็นห่วงเฉพาะประชาชนเท่านั้น
คิม อิล ซุงเป็นคนขี้อาย เขาไม่ได้ต้องการรูปปั้น!
แต่เพราะประชาชนขอร้องเขามาก จนสุดท้ายเขาก็ต้องเห็นด้วย
จริงๆ รูปปั้นนี้เคยกลวง แต่ประชาชน
รู้สึกว่า มันแสดงความรักที่พวกเขามีได้ไม่พอ
ทำไมพวกเขาเลือกที่จะเติมช่องว่างข้างในเพื่อให้มันแข็งแรงขึ้น?
เพื่อเพิ่มความประทับใจ
เพิ่มความสำคัญ
ถึงจะอายุแค่ 4-5 ปี แต่เด็กพวกนี้ แสดงได้ดีกว่าพวกผู้ใหญ่มืออาชีพที่ผมเคยดู
...และนั่น เป็นแค่จุดเริ่มต้น
ณ ตอนนั้นของการเดินทาง ผมได้วางแผนกลยุทธ์ในการถ่ายวีดีโอที่ดีที่สุดของผม
ผมต้องอยู่ห่างๆ โมเอะ และ เซลมะ ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ และผมต้อง
เข้าหาคนที่เป็นมิตร และให้ความช่วยเหลือมากกว่า อย่างคุณ จิม
ในช่วงเดินทางกลับเปียงยาง บางทีเพื่อให้ผมหมดกำลังใจถ่ายภาพมากขึ้น โมเอะ ประกาศว่า
เขาจะไม่พานักท่องเที่ยวอื่น เข้าไปในพื้นที่อีก
หลังจากนั้น เขาก็เริ่มโม้เรื่องที่เขา ทำลายกล้องถ่ายรูปของนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ
วันหนึ่ง ผมจัดการกับนักข่าวที่ปลอมตัวมา
ผม และคนขับรถของผม พังกล้องของนักข่าวคนนั้น
เขาชอบเปิดหน้าต่าง เพื่อถ่ายรูปเสมอๆ...
จากนั้น ผมก็คุยกับคนขับรถ
"ถ้าผมจับไหล่คุณ คุณเบรครถหัวทิ่มเลยนะ"... แล้วผมก็....ชู๊ๆๆ!
แล้วกล้องของนักข่าวคนนั้น ก็ตกลงไปกระแทกถนน
มันเจ๋งจริงๆ
จากนั้น เขาก็ตัดสินใจร้องเพลงให้คณะฟัง
วันนี้เป็นวันหยุดแห่งชาติ มันเป็นวันที่สำคัญมาก
เมื่อท่านผู้นำที่รักคิม จอง อิล เริ่มใช้นโยบาย ซอนกุน
ซอนกุน หมายถึง นโยบาย "กองทัพมาก่อน"
เพื่อฉลองวันหยุด ซอนกุน ผมไปกินข้าวเที่ยงที่ร้านอาหารที่แนวที่สุดในเกาหลีเหนือ
ในร้านมีแต่อาหารจานด่วน
เป็นสถานที่ห่างไกล และคงเป็นที่เดียวในโลก ที่ไม่มีโค้กขาย
ซึ่งมันควรเป็นอะไรที่ธรรมดามาก
หลังจากนั้น ผมก็มุ่งหน้าไปลานโบวลิ่ง ที่ซึ่งผมสามารถอัดเสียงในวีดีโอได้
จากความพยายามโน้มน้าวใจ โมเอะ จากหัวหน้ากลุ่มมัคคุเทศก์ชาวตะวันตกของผม
คนธรรมดา ทุกๆ คน: คนงาน นักเรียน หรือแม้แต่คนแก่เพื่อออกกำลังกาย
มาที่นี่เพื่อเล่นโบวลิ่ง
ตอนเดินกลับไปรถ ผมสังเกตุเห็นร้านสะดวกซื้อร้านหนึ่ง
ไม่มีอะไรพิเศษ ยกเว้น ชั้นวางของทั้งหมดว่างเปล่า
และผลไม้ที่อยู่หน้าร้าน ทั้งหมดทำมาจากพลาสติก
ปรากฎว่า มันมีไว้เพื่อตกแต่ง และ ผมไม่ได้รับอนุญาตให้ถ่ายวีดีโอ
แล้วก็มาสู่หนังชุดยุค 70 อีกครั้ง
ศูนย์สุขภาพและสปาขนาดยัก มีร้านตัดผมแบบโบราณ
กลอเรีย, ตายละ! คงไม่ดีถ้าเขาเห็นฉันในสภาพแบบนี้!
พอไม่มีคนสนใจ ผมก็เตร็ดเตร่ไปทั่ว และใช้เวลาครึ่งชั่วโมงเดินไปโน่นมานี่
ตามห้องโถงของตึก ก่อนจะกลับไปรวมกลุ่มกับมัคคุเทศก์
ข้างสระว่ายน้ำขนาดเดียวกับโอลิมปิค สร้างไว้เพื่อประชาชน โดยน้ำใจของท่านผู้นำแห่งเกาหลีเหนือ
เพื่อสร้างปัญหาเล็กน้อย ผมจับรถไปใจกลางเมืองเปียงยาง รวมทั้งสถานีรถไฟที่ปกติแล้ว
ไม่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้า
ผมยังเดินตามแผนที่วางไว้ ด้วยการเดินติดไปกับ จิม และห่างๆ มัคคุเทศก์คนอื่นๆ
สิ่งที่ผมลืมคิดไปคือ การทำแบบนั้นของผม อาจทำให้เกิดปัญหาขึ้นกับ จิม
ก่อนจะถึงช่วงสำคัญของวัน ผมหยุดดูการระบำหมู่ชุดใหญ่
เป็นการเต้นเพื่อเฉลิมฉลองวันหยุด ซอนกุน
จิม เล่าให้ผมฟังเพิ่มเกี่ยวกับวัฒนธรรมของเกาหลี และ
เขา ตกลงว่า จะให้ผมถ่ายวีดีโอสัมภาษณ์เกี่ยวกับประเทศของเขา และเกี่ยวกับ
การแสดงที่ผมจะได้ดูในตอนเย็น
แต่ไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น ตอนที่ผมกำลังจะขึ้นรถโดยสาร จิม ก็ถูกดึงตัวออกไป
เขาบอกผมว่า เขาต้องไปทำงานที่อื่น และพวกนั้นบอกผมว่า เขาจะไม่ได้ไปกับกลุ่มอีก
ในตอนเย็น
ไม่ว่าเป็นเหตุบังเอิญ หรือแผนแทรกแซงที่วางไว้โดยมัคคุเทศก์อาวุโส
ผมคงทำได้แค่คาดเดา
แต่พอถึงจุดนี้ของการเดินทาง
แม้แต่สถานการณ์ที่น่ากลัวที่สุด ก็ดูเหมือนจะเป็นไปได้ทั้งสิ้น
เย็นวันนั้น ผมมีโอกาสได้ดูการแสดงที่ถูกบันทึกว่าเป็นที่สุดของกินเนสบุ็ค
การเต้นรำ และแสดงกายกรรมครั้งใหญ่ของเกาหลีเหนือ
และเป็นการแสดงหัวใจหลักสำหรับนักท่องเที่ยว - การแสดง อารีรัง
เป็นการแสดงที่ใช้ทรัพยากรน้อยหรือเปล่าไม่รู้
ที่แน่ๆ มันถูกสร้างขึ้นด้วยความคิดสร้างสรรค์ และนักแสดงจำนวนมาก
สองหมื่นคนสำหรับแสดงฉากหลัง และนักแสดงอีกแปดหมื่นคน
ใช้คนตั้งแปดหมื่นคนในการแสดงเหรอะ? ว้าว!
สองหมื่นคนสำหรับฉากหลัง รวมทั้งหมดเข้าด้วยกัน คนเข้าร่วมก็เป็นแสนคนเลย
ก่อนถึง วอนซอน ผมก็แวะชมศูนย์รวมไร่นาของภูมิภาค
คนหนึ่งพันสามคนอาศัยอยู่ในไร่นานี้ และพื้นที่รอบๆ
คนแปดร้อยคนถูกจ้างให้ดูแลฟาร์มพวกนี้
ผมจึงหายแปลกใจว่า ทำไมไร่นาแถวนี้ จึงดูไม่เหมือนกับที่ผมเคยเห็นในขณะเดินทางมา
ประธานาธิบดีคิม อิล ซุง สอนเราว่า
เราไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้มือของเราเองทำงาน
พวกเราต้องใช้เครื่องจักร
จากบนรถเดินทางก่อนหน้านี้ ผมเห็นพืชพันธุ์จำนวนมากถูกทำลาย แต่ที่นี่ไร่นาดูเขียวสด ไร้โรคภัย
ผมไม่แน่ว่าความต่างนี้มีคุณค่าอะไรในเชิงการท่องเที่ยวหรือเปล่า และผมค้นพบว่า
มันค่อนข้างยากที่จะเชื่อว่า ไร่นาที่เห็นเป็นแบบทั่วๆ ไป
ยังไงก็เถอะ ผมได้รู้เรื่องราวเกี่ยวกับเลข 3 ซึ่งเป็นเลขนำโชคของเกาหลี
ประธานาธิบดีคิม อิล ซุง ถามเจ้าหน้าที่ว่า
"ให้คุณเดา บนต้นนี้มีลูกพลับกี่ลูก"
เจ้าหน้าที่ตอบ - บนต้นมีลูกพลับ 500 ลูกครับ
ตอนนั้นเอง ประธานาธิบดีคิม อิล ซุงก็หัวเราะ
"ทำไมถึงคิดว่ามีแค่ 500 ลูกล่ะ?"
ประธานาธิบดีคิม อิล ซุง บอก "แปดร้อยลูก"
หลังจากประธานาธิบดีคิม อิล ซุงกลับ ชาวสวนทั้งหมดเก็บลูกพลับบนต้น แล้วนับกัน
แล้วมีลูกพลับบนต้นอยู่เท่าไหร่ แปดร้อย กับอีกสามลูกเป๊ะ
บนต้นนั้น
เพราะงั้น คนเกาหลีเลยคิดว่า หมายเลข 3 เป็นเลขนำโชค
เหมือนในประเทศตะวันตกที่มีเลข 7 เป็นเลขนำโชค เกาหลีคิดว่า หมายเลข 3 เป็นเลขนำโชค
เพราะงั้น แปดร้อยกับอีกสามลูก สามเลยหมายถึง สามลูกผู้โชคดี
หลังจากได้ไปเยี่ยมโรงเรียนในท้องถิ่น ซึ่งต้องขอบคุณจริงๆ ที่มันดูบ้านๆ มากกว่าที่เมือง ชงจิน
ผมก็เดินทางต่อไปยังเมืองท่าของ วอนซอน
ผมรักที่จะได้ท่องเที่ยวไปตามจุดที่ไม่ค่อยมีใครไปหรือบริเวณที่ยังไม่พัฒนาเหมือนครั้งนี้
ผมหวังจริงๆ ว่า จะได้กลับมาอีก และเห็นเมืองพัฒนาขึ้น
และคุณภาพชีวิตของคนดีขึ้น
การท่องเที่ยวทำให้มันเกิดขึ้นได้ แต่ข้อบังคับต่างๆ ที่เกี่ยวกับคน
ต้องถูกปรับปรุง
ผมพยายามถ่ายรูปชาวประมง ตอนพระอาทิตย์ตก และตอนนี้เองที่ โมเอะ บีบผมมากไปแล้ว
ผมบอกความคิดของผม เรื่องที่เขาชอบมีปัญหากับผมอยู่เนืองๆ
ผมบอกความคิดของผม เรื่องที่เขาเข้ามาก่อกวนผมอย่างต่อเนื่อง
และผมบอกกับเขาว่า ความเป็นมิตรของผม มันจะไปต่อได้ ก็ต่อเมื่อ
ผมได้รับมันกลับคืนเช่นกัน
ทั้งที่ เราตกลงกันแล้ว ว่าผมได้รับอนุญาตให้ถ่ายวีดีโอ
เราตกลงกันแล้ว ว่าส่วนหนึ่งของวีดีโอ ถ่ายเพื่อพวกเขา
โมเอะ กับ เซลมะ คุยกันเป็นภาษาเกาหลี
เห็นได้ชัดว่า พวกเขารู้สึกอึดอัด และเห็นได้ชัดว่า พวกเขาไม่สบายใจ
และผมก็ไม่ต้องตีสองหน้าอีกต่อไป
แต่แน่นอน ความตึงเครียดระหว่างเรามันบานปลายแน่ๆ
ตอนนี้ผมสงสัย ว่าผมจะถูกห้ามมากขึ้นกว่าเดิมรึเปล่า
ผมไม่แน่ใจว่าเป็นไปได้ยังไง แต่ภายในสิบนาที
ท่าทางของ โมเอะ เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือเลย
อยู่ดีๆ เขาก็กลายเป็นมิตร เขาชวนทุกคนกินอาหารทะเลที่ท่าเรือ
และเป็นครั้งแรก ตั้งแต่เริ่มการเดินทาง
เขาทำตัวดีขึ้น เขาเปิดเผยขึ้น
และโดยอ้อมๆ เขาบอกผมด้วยว่า
ถ้าให้ผมถ่ายวีดีโอ มันจะส่งผลกระทบกับเขาอย่างแรง
ผมพยายามจินตนาการว่า ผมกำลังตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกับเขา และพยายามเข้าใจ
หลังจากเกมส์วอลเล่ย์บอลชายหาดตอนเช้า - "เกาหลีเหนือ ปะทะจักรวรรดินิยม"
ประสบการณ์แบบเกาหลีของผม เริ่มมาถึงจุดจบของมัน
หลังอาหารเที่ยงข้างน้ำตก อูลิม ผมกลับมาที่รถ
และเห็นนักท่องเที่ยวอีกคนหนึ่ง อธิบายแนวคิดของ "ยูทูป" ให้ จิม และ เซลมะ ฟัง
จากนั้น เขายังเปิดวีดีโอสุดฮิตบนโลกออนไลน์ให้ดู
ซึ่งเขาบันทึกไว้ก่อนหน้านั้น
จิม อยากดูเพิ่มตอนที่นั่งรถกลับเปียงยาง
เขาขอเครื่องเล่น เอมพี3 ของผม และ
สิ่งแรกที่เขาสังเกตเห็น คือ เครื่องเล่นผลิตในเกาหลีใต้
ผมเป็นห่วงนิดๆ ว่า มันจะทำร้ายความภาคภูมิใจของเขา แต่เปล่า เขาเฉยๆ
ผมคิดว่า มันคงเป็นเหมือนแค่เมล็ดพืชอีกเมล็ด ที่ถูกปลูกในความรู้สึกซักที่ของเขา
(...เราทั้งหมด อาศัยอยู่ในเรือดำน้ำสีเหลือ เรือดำน้ำสีเหลือง...)
จิม นั่งฟังเครื่องเล่นตลอดทางขากลับเปียงยาง
เขารู้สึกกลัว เมื่อเครื่องเล่นสุ่มเพลงของ แรมสเตน ขึ้นมา
แต่ดูเหมือนว่า เขาจะชอบ จอห์น เลนนอน
(...จินตนาการว่า ทุกผู้คนใช้ชีวิตร่วมกันอย่างสันติ...)
และผมเพิ่งรู้ว่า คนเกาหลีเหนือ ไม่เคยฟังเพลงของ บีทเทิล มาก่อน
พวกเขาไม่เคยฟังเพลงแนวอิเล็กทรอนิกส์
พวกเขาไม่รู้จัก "กังนัมสไตร์"
พวกเขาไม่เคยได้ยินชื่อ ดาไล ลามะ และไม่รู้จักเช็คสเปียร์
พวกเขานึกภาพเมืองใหญ่ๆ อย่างโตเกียว หรือดูไบ
หรือแม้แต่ฮ่องกง ไม่ออก
เขายังใช้เวลาอีกกว่าสองชั่วโมง เล่นโปรแกรมที่ในสายตาผม
เป็นโปรแกรมวาดภาพที่พื้นฐานสุดๆ
และมันเป็นอะไรที่จับใจจริงๆ เมื่อผมกลับมาถึงบ้าน และเปิดเครื่องเล่นของผม และ...
...และผมเจอสิ่งนี้
ยินดีต้อนรับสู่เกาหลีเหนือ!
ขอให้มีเวลาดีๆ ช่วงที่อยู่ที่นี่!
แล้วเจอกันอีกนะ!
ในตอนบ่าย ผมถ่ายบทสัมภาษณ์ร่วมกับหัวหน้ากลุ่มท่องเทียวชาวตะวันตกของผม
มันเยี่ยมมากที่ได้แลกเปลี่ยนความคิด ความรู้สึก และอารมณ์ของผู้คน
ทุกคนได้มีโอกาสเรียนรู้กัน และนั่นช่วยได้มาก
อย่าไปทำให้เขาขำ ไม่เอาน่า!
ยังมีเรื่องลึกลับอีกเรื่อง ที่ผมรู้สึกว่า ต้องรู้ให้ได้ก่อนไปจากเกาหลี
ชั้นห้าของโรงแรม แยงกั๊กโด
ตลอดการเดินทาง ผมได้ยินซ้ำแล้วซ้ำอีกว่า ชั้น 5 เป็นชั้นที่มัคคุเทศก์เกาหลีพัก
ภายใต้การตรวจตราอย่างแน่นหนา เพื่อให้แน่ใจว่า พวกเขาจะไม่ถูกทำให้เขว๋ ด้วยความคิดแบบตะวันตก
ผมสังเกตเห็นว่า คนเกาหลีหลายคนขึ้นลิฟต์ที่ชั้น 7
ผมเลยตัดสินใจที่จะลงไปชั้น 7 และเดินต่อลงไปที่ชั้น 5
แม้การเปิดเผยความลับนี้ จะให้ข้อมูลได้เยอะสำหรับวีดีโอของผม
แต่น่าเสียดาย ผมพลาด
แค่เท้าแตะขั้นบันใด ชายเกาหลีก็โผล่มา และไม่ให้ผมผ่าน
ครั้งนี้ แทนที่จะเผชิญหน้า
ผมเลือกที่จะเดินออกมา
ผมคิดเอาเองว่า เรื่องนี้จะเป็นอีกหนึ่งเหตุผลให้ผมกลับมาที่เกาหลีเหนืออีกครั้ง
ผมไม่เคยเห็นว่า ประเทศจีนเป็นประเทศเสรี จนกระทั่ง ผมกลับมาถึงปักกิ่ง
จากเกาหลีเหนือ
ผมเดินข้ามถนนได้ โดยไม่ต้องขออนุญาต
ผมซื้ออะไรก็ได้ที่อยากซื้อ
ดูเหมือน ไม่มีใครสนใจกล้องของผม
เอาละ อย่างน้อยมันก็ดูเสรี ก่อนที่ผมจะมองขึ้นไปดูจอด้านบน
ก่อนไปเกาหลี ผมคาดหวังว่าพวกเขาจะแสดงให้ผมเห็นถึงความสมบูรณ์แบบและเป็นประเทศในอุดมคติเพียงใด
ผมอยากให้มัคคุเทศก์ปลุกฝัง และแสดงให้ผมเห็นว่า เกาหลีเป็นเมืองสวรรค์เพียงใด
เพราะผมอยากเข้าใจพวกเขาให้มากขึ้น และผมอยากเข้าใจว่า พวกเขาถูกสอนอะไรมา
แต่กลายเป็นว่า คำถามเป็นสิ่งที่ไม่ควรถาม และจะไม่มีคำตอบด้วย
ความน่ากลัวของเกาหลีเหนือในมุกมองของผม มันถูกทำให้มากเกินไปหน่อย
ผมไม่คิดว่า พวกเขาจะน่ากลัวเหมือนที่ถูกทำให้เป็น
พวกเขาไม่ได้เป็นประเทศที่เกเรอะไรเลย แต่เป็นประเทศที่ถูกคุกคามมากๆ
พวกเขารู้สึกว่า ถูกคุกคามจากสหรัฐ ในการเล่นเกมส์สงครามทุกๆ ปี
โดยมีเกาหลีใต้ และญี่ปุ่นร่วมด้วย
ผมคิดว่า สิ่งที่พวกเขาต้องการจริงๆ คือ
...การมีข้อตกลงสันติภาพ เพื่อกลับไปสู่การสงบศึก และการทำสนธิสัญญาสันติภาพ
และคำมั่นสัญญาอีกครั้ง จากสหรัฐ และประเทศในยุโรปว่า
พวกเขาจะไม่ถูกโจมตีอีก
มันเป็นประเทศที่อาศัยอยู่ได้ลำบาก
ประชาชนของที่นั่นมีช่วงเวลาที่ย่ำแย่
และมันถูกทำให้แย่ และเลวร้ายยิ่งกว่าเดิม ด้วยการกีดกันทางการค้ากับพวกเขา
ผมยังไม่แน่ใจ ว่าการไปเกาหลีครั้งนี้ถูกหลักจริยธรรมหรือไม่
คนอื่นๆ จะบอกคุณว่า เงินสนับสนุนจากนักท่องเที่ยว จะถูกเอาไปใช้ผิดๆ ยิ่งกว่าเดิมจากระบบการเมือง
แต่ผมย้ำอีกครั้ง คนพวกนั้นรู้หรือเปล่าว่า เงินภาษีของพวกเขาจริงๆ แล้ว
ถูกใช้เพื่อประเทศของพวกเขา
และเรื่องที่ยากที่จะเข้าใจได้ คือ เกาหลีเหนือเป็นประเทศที่ห่างไกลจากทุนนิยมที่สุด
ในแบบที่มนุษย์จะเข้าใจได้
ผมไม่สงสัยเลย ถ้าได้รับโอกาส พวกเขาอยากซื้อของแน่ๆ
พวกเขาอยากได้สิ่งของ แต่พวกเขาไม่มีอะไรให้ซื้อ!
มันไม่มีแนวคิดเรื่องอุปสงค์ อุปทาน
ผู้คนไม่ได้รับเงินเดือนจริงๆ
พวกเขาได้แบ่งปันส่วน จากงานที่ถูกมอบให้ทำ
คนเกาหลี พวกเขาไม่ได้แตกต่างจากคนอื่นๆ ในโลกใบนี้!
สิ่งที่ต่างออกไป อยู่ที่ไหนซักแห่งในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ของพวกเขา
ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างผิดที่ผิดทางไปหมด
ยิ่งพวกเขาโดนบีบมากเท่าไหร่ พวกเขายิ่งเหมือนเม่น
ที่พองขนออกเต็มที่
เมื่อเกาหลีใต้ ปล่อยจรวดนำวิธีแบบสามท่อน เมื่อญี่ปุ่นทำในสิ่งที่ทำเสมอ
มันถือว่า เป็นการกระทำที่ยั่วยุได้หรือเปล่า? มันเป็นการใช้เทคโนโลยีร่วม เหมือนที่คนเกาหลีเหนือใช้
มันเหมือนเกาหลีเหนือ เป็นประเทศที่ต้องปกป้องน่านฟ้าทุกๆ ครั้ง
และแค่เราระแวงน้อยลงอีกซักหน่อย
ถ้าเราจะใช้ซักวิธี ที่มันจะผ่อนคลายมากกว่านี้
ฉลาดกว่านี้ ประนีประนอมกว่านี้ ต่อเกาหลีเหนือ
ผมว่า เราคงได้เห็นหนามเม่นเหล่านั้นหุบลง
อย่างเช่นที่พวกเขาเคยแสดงให้เห็นแล้วในอดีต
พวกเขาจะให้ความร่วมมือมากขึ้น
ในขณะที่เกาหลีมักถูกมองในทางลบ
มันสำคัญที่เราต้องไม่ลืมว่า อย่างน้อยคนที่นั้นก็ประสบความสำเร็จบ้าง
เปียงยางเป็นเมืองที่่ค่อนข้างเจริญ! มันเป็นเมืองที่เจริญเมื่อมองจากยุค 70
แต่ยังไม่ถูกรบกวนด้วยป้ายนีออน จอแอลซีดี หรือป้าย สตาร์บั๊ก
อารีรัง ไม่ได้ใช้จอ แอลซีดี พวกเขาใช้โปรเจคเตอร์ความละเอียดต่ำ ป้ายไฟแอลอีดี ถูกๆ
และพวกเขาใช้คนแสดงสองหมื่นคน สลับป้ายสี
เพื่อสร้างรูปภาพ
และผมคิดว่า ว้าว ถ้าพวกเขาสามารถจัดการแสดงโดยไม่ใช้เทคโนโลยีออกมาได้
แล้วพวกเขาจะทำอะไรได้บ้าง ถ้าพวกเขามีทรัพยากรเหมือนชาวตะวันตก?
ผมคิดว่า แค่เรายอมเปิดใจซักนิด เกาหลีเหนือจะกลายเป็น
ผู้นำเศรษฐกิจของโลกได้อย่างไม่ยากนัก
พวกเขามีแรงงานราคาถูก และขยันขันแข็ง
พวกเขาจะมีตลาดสำหรับแทบจะทุกอุตสาหกรรม
ชีวิตของชาวเกาหลีจะดีขึ้น
ประเทศจะพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว
มุมที่น่าเศร้าคือ ถ้าเกาหลียอมเปิดประเทศ ผู้คนของที่นั้นจะยอมก้าวสู่อนาคตหรือเปล่า?
พวกเขาจะพร้อมสำหรับโลกยุคใหม่ ทั้งที่ไม่เคยใช้คอมพิวเตอร์มาก่อนหรือไม่
เมื่อไม่มีจุดเชื่อมโยงใดๆ เลยกับวัฒนธรรม เพลง และหนังใหม่ๆ
ไม่เคยได้ยินชื่อวิกิพีเดียร์ ไอโฟน หรือแม้แต่ กูเกิล
และคนเกาหลีส่วนใหญ่ ยังไม่เคยเจอคนต่างชาติมาก่อน
เท่าที่ผมรู้คือ ถ้าเกาหลีเปิดประเทศจริงๆ
ผมจะทำให้ดีที่สุดที่จะไปอยู่ที่นั่น ในวันถัดไป เพื่อรับประสบการณ์นั้นเป็นคนแรกๆ
ประธานาธิบดีคิม อิล ซุง สอนเราว่า
เป้าหมายสูงสุดสำหรับพรรคของเรา คือ สร้างประเทศให้ยิ่งใหญ่ มั่งคั่ง และแข็งแกร่ง
เป็นประเทศดุจสวรรค์
ดังนั้น เราต้องสร้างประเทศที่แข็งแรงนี้ ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
และส่งต่อไปยังลูกหลานในยุคต่อไป
แปลโดย พินิจนันต์ ชนะสะแบง