Tip:
Highlight text to annotate it
X
สวัสดีทุกคน นี่คือครูแอนเดอสัน ตอนนี้ครูกำลังจับชีพจรของตัวเองอยู่ เพื่อดู
ว่าตัวเองยังเป็นๆ อยู่ โดยอัตราปกตินั้นควรจะอยู่มี่ประมาณ 60 ครั้งต่อนาที และก็ควรจะเป็นอย่างนี้ ต่อไปเรื่อย
จนจบบทเรียนนี้ และก็หวังว่าจะเป็นอย่างนี้เรื่อยไปจนตลอดชีวิต เพราะว่าระบบ
ระบบไหลเวียนเลือดนี้ เป็นระบบที่สำคัญ ที่นำออกซิเจนไปเลี้ยงทั่วร่างกาย และนำคาร์บอนไดออกไซด์ออกไปจาก
ร่างกาย และก็ยังนำสารอาหารต่างๆไปสู่เซลล์ภายในร่างกาย ระบบนี้จึงต้องทำงานอยู่ตลอดเวลา
และมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ โดยที่เราไม่เคยไปสนใจเลยด้วยซ้ำ เอาละก่อนที่เรา
พูดถึงระบบไหลเวียนเลือดในร่างกายของคน เราควรจะต้องเข้าใจเสียก่อนว่า ระบบไหลเวียนเลือด มีหลายแบบ
อย่างสัตว์จำพวกแมลง หรือแมงมุมนั้น จะไม่มีเลือดเหมือนอย่างในคน
แต่จะมีส่งที่เรียกว่า "ฮีโมลิมฟ์" (hemolymph) ซึ่งทำหน้าที่เป็นทั้งเลือดและ
สิ่งที่เรียกว่า interstitial fluid โดยไอ้เจ้า interstitial fluid นี้
ก็เป็นของเหลวอย่างเดียวกันกับที่มีอยู่ล้อมรอบเซลล์ในร่างกายเรา โดยที่ในสัตว์พวกแมลงนั้น มันทำหน้าที่เป็นเลือดด้วย เพราะงั้น
เวลาที่เราบี้แมลง ก็จะเห็นเป็นของเลวแหยะๆไหลออกมา แต่ในตัวคนเรานั้น จะมีเลือดจะอยู่ภายใน
เส้นเลือด ส่วน interstitial fluid จะอยู่นอกเส้นเลือด ภายในร่างกายเรา
"เลือด" กับ "interstitial fluid" จึงเป็นส่วนที่แยกจากกัน เป็นความแตกต่างระหว่าง ระบบปิด กับ
ระบบเปิดของระบบไหลเวียนเลือด ในสัตว์ชนิดต่างๆนั้น ก็ยังมีลักษณะของหัวใจที่ต่างกันด้วย เหมือนกับ
ปลาก็เช่นกัน อย่างปลาพวกนี้ ที่อาศัยอยู่ในน้ำ ก็จะมีลักษณะของหัวใจแบบง่ายๆ เป็นสองห้อง
เป็นหัวใจแบบที่แบ่งเป็น หนึ่ง สอง ห้อง แยกกันด้วยลิ้นหัวใจ เป็นอย่างนี้ก็เพราะ
เป็นเพราะว่ามันอยู่ในน้ำ ถ้าลองดูที่รูปของหัวใจแบบที่เห็นนี้ รวมทั้งอ้นถัดไปอื่นๆ
ไม่ต้องสนใจที่ตัวหัวใจมากนัก แต่ขอให้ดูตรงที่
วงจรของการไหลเวียนเลือดที่อกกมาจากหัวใจนั้น จะดูให้ง่ายขึ้น ครูจะลองตัด
รูปนี้ออกไปครึ่งหนึ่ง เราก็จะดูเฉพาะส่วนครึ่งหนึ่งของตัวปลา สมมติเป็นด้านซ้าย
จะเห็นอะไร ? ก็จะเห็นเป็นวงจรการไหลแค่วงรอบเดียว โดยที่มีเลือด
ไหลผ่านไปที่เหงือกเพื่อไปรับออกซิเจน แล้วก็ไหลไปเลี้ยงร่างกาย แล้วก็
ไหลกลับมาที่หัวใจอีกที เป็นแบบรอบวงจรเดียว ใช้งานได้แล้ว
ในสภาพที่อยู่ในน้ำ แต่ถ้าย้ายขึ้นมาบนบก แรงดันเลือดกว่าที่
จะไหลไปถึงเหงือก หรือกรณีบนบกก็จะเป็นปอด จะลดลงอย่างฮวบฮาบ ใช้งาน
ได้ไม่ดีนัก สัตว์ที่อยู่บนบกถึงต้องใช้หัวใจถึงสามห้อง อย่างสัตว์พวก
กิ้งก่าในรูปนี่ จะมีหัวใจถึงสามห้อง เพราะอะไร ? ให้ครูลอง
ขีดเส้นแบ่งตรงกลาง แล้วตัดรูปออกไปครึ่งหนึ่ง เพื่อให้ดูง่ายขึ้น
ก็จะเห็นอยู่เพียงแค่สองวง เป็นวงที่ไหลผ่านไปยังปอด
แล้วก็กลับมาที่หัวใจ กับอีกวงที่ไหลไปยังส่วนต่างๆ
ของร่างกาย ซึ่งจะต้องใช้ความดันสูงมาก มีข้อน่าสนใจอันนึง
คือหัวใจแบบนี้จะไม่ได้มีแค่ เลือดแดง กับเลือดดำ แต่มันจะมีสีปนๆ ด้วย ทำไม?
นั่นเพราะว่ามันมีการผสมปนเปกันของเลือดสองแบบนี้ หรือก็คือเป็นแบบที่
เลือดแดงที่มีออกซิเจนสูง กับเลือดดำที่มีออกซิเจนต่ำ ปะปนกัน เพราะว่า
เป็นหัวใจแบบที่มี หนึ่ง สอง เพราะมันต่อกันตรงนี้ กับ สาม ห้องหัวใจ แต่ถ้า
พูดถึงสัตว์เลือดอุ่น พวกที่ใช้ระบบเลือดควบคุมอุณหภูมิในร่างกาย จะต้องการพลังงานจำนวนมาก ไม่พอแน่
เพราะงั้น สัตว์พวกนก และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม จะมีหัวใจสี่ห้อง เป็นแบบที่
ช่องระหว่างห้องที่สองกับสามจะปิดลง ก็เป็นแบบที่มี หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้อง
หัวใจ เป็นแบบสองวงรอบเช่นกัน เพราะมีประสิทธิภาพมากกว่า ได้มาจาก
การวิวัฒนาการมาตั้งแต่เมื่อต้องปรับตัวให้สามารถอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบต่างๆ
แล้วหน้าที่ของเลือดคืออะไร ? เลือดก็ไหลไปตามวงจรนั้น เริ่มที่หัวใจ
ไหลเวียนไปยังส่วนอื่นๆในร่างกายไปตามเส้นเลือดใหญ่ (arteries) หลอดเลือด (arterioles) ไปจนถึง
เส้นเลือดฝอย แล้วไหลเวียนกลับมาอีก เรื่อยไปในร่างกายของเรา
พาสารอาหาร รับคาร์บอนไดออกไซด์ออก นำออกซิเจนเข้า ไปที่
ส่วนต่างๆของร่างกายที่รอรับอยู่ ลองมาเริ่มที่หัวใจ ขอให้พยายาม
ทำความเข้าใจกับหัวใจห้องต่างๆ ดูว่าเลือดจากห้องเหล่านี้ ไหลไปที่ใด เมื่อไร
ที่เห็นรูป แบบนี้ ขอให้นึกถึงภาพตัวเอง ที่มีภาพหัวใจอันนี้ ซ้อนอยู่
นึกภาพของตัวเรา พลิกด้านจากที่กำลังอยู่ตอนนี้ หงายกลับลงไปรูปหัวใจ
ก็จะเป็นว่า ด้านขวาของลำตัว จะอยู่ข้างนี้ ส่วนด้านซ้าย
ก็จะอยู่ตรงนี้ ระวังให้ดี อย่าสับสน จากนั้นก็เริ่มจากเลือดที่มีออกซิเจนต่ำ
เลือดที่มีออกซิเจนต่ำ ก็คือเลือดที่เพิ่งจะไหลกลับมาจากส่วนต่างๆของร่างกาย เข้ามาทางไหน ? ก็เข้ามาทาง
ด้านบนกับด้านล่าง เรียกว่า ซุพพีเรียร์ (superior) กับ อินฟีเรียร์ (inferior) เวนาคาว่า (vena cava) หรือเรียกได้ว่า เข้ามาทางห้อง
เอเทรียมขวา ตรงนี้ เป็นที่ที่เรารับเลือกออกซิเจนต่ำ
กลับเข้ามาที่เอเทรียมขวา ผ่านลิ้นหัวใจอันนี้ เรียกว่า
ลิ้นเอวี (AV) หรือที่บางทีเรียกว่า ไตรคัสปิด ( tricuspid) แล้วเลือดตรงนี้ก็จะ
ไหลไปที่ห้องเวนทริเคิล พอไหลเข้ามาที่ห้องเวนทริเคิลขวานี่แล้ว
ก็จะไหลผ่านออกไปทางลิ้นเซมิลูน่าร์ (semilunar valve) อันนี้ เพื่อไหลออกไป
ทางเส้นเลือดใหญ่ที่เรียกว่า พัลโมนารีอาเตอรี่ (pulmonary artery) ที่น่าสังเกต
เกี่ยวกับ พัลโมนารีอาเตอรี่ นี้ก็คือ มันเป็นเส้นอาเตอรี่ที่มีเลือดดำ
ก็เพราะมันกำลังไหลไปที่ปอด เป็นการ"ไหลออก"ไปทางอาเตอรี่ ตรงนี้
คือลักษณะของอาเตอรี่ ไหลออกจากหัวใจไปที่ปอด เพื่อฟอกให้กลายเป็นเลือดแดง
แล้วเลือดแดงที่มีออกซิเจนสูง ก็จะไหลกลับเข้ามาตรงนี้ ตรงด้าน
เอเทรียมซ้าย ตรงนี้เขียนด้วยสีแดงจะอ่านไม่เห็น ก็จะไหลเข้า
เอเทรียมซ้ายตรงนี้ ผ่านลิ้น AV ซ้าย
ลงมาที่เวนทริเคิลนี้ เรียกว่าเวนทริเคิลซ้าย ที่นี่ แล้วก็
ไหลออกทางด้านบนเข้าเส้นเลือดใหญ่ (อาเตอรี่) ที่เรียกว่า เอออตา (aorta)
ไหลเข้าไปในเอออตาทางนี้ ตรงด้านล่างนี่ ส่วนเอออตาข้างบนนี่
ก็จะส่งไปที่อาเตอรี่ที่จะไหลไปยังส่วนหัว จากนั้นก็จะไป
ยังส่วนต่างๆ ของร่างกาย แล้วก็ไหลวนกลับมาอีกที ตอนนี้ถ้าครูจะลองลบ
ที่เขียนออกให้หมด แล้วให้พวกเราลอง ไล่ดูเองอีกที จะยังจำได้แค่ไหน ? ยังพอจะไล่
การไหลจากอินฟีเรียร์ เวนาคาวา เรื่อยตลอดไปจนถึงเอออตาได้มั้ย ? ถ้าได้กํนับว่าเยี่ยม แต่ถ้าไม่ได้
ก็อาจจะลองกลับไปทบทวนดูอีกที ทีนี้มาถึงคำถามที่ว่า เส้นเลือดคืออะไร ?
เพราะมักจะไม่ค่อยได้เห็นภาพทั้งหมดสักเท่าไร ลองมาดูที่ตรงนี้ จะว่าไปแล้ว
เส้นเลือด (blood vessel) จะเริ่มนับจากเส้นเลือดใหญ่ (arteries) ไปที่ หลอดเลือด (arterioles) ตรงนี้คือเส้นเลือดใหญ่ หรือ อาเตอรี่(arteries) จากนั้นก็
จะเป็นหลอดเลือด หรือ อาทีรีโอ(arterioles) แล้วก็จะเป็นเส้นเลือดฝอย หรือ คะปิลละรี (capillaries) แล้วก็
กลับไปที่หลอดเลือดดำ หรือ เวนูล (venules) แล้วกลับไปที่เส้นเลือดดำ หรือเวน (veins) อีกที ดังนั้น
ความดันเลือดส่วนใหญ่ก็จะอยู่ที่อาเตอรี่อาเตอรีกับเวน (veins) คือสีแดงก็จะเป็น
อาเตอรี (arteries) ที่ไหลออกจากหัวใจ กับ สีน้ำเงินก็คือเวน (veins) ที่ไหล
กลับมาที่หัวใจ ข้อสังเกตอันหนึ่งคือ "เลือดมีสีแดง" ไม่ว่าจะอยู่ตรงไหน ทีนี้บางคนจะเข่าใจผิดเพราะ
มาเห็นรูปอย่างนี้เข้า ก็นึกเอาว่าเลือดมีสีน้ำเงินด้วย ถ้าเกิดไปโดนมีดบาดเข้า
มันก็จะออกมาเป็นสีแดงเพราะโดนอากาศ นั่นเป็นเรื่องหลอกเด็ก ไม่มีจริง เพราะงั้น
ครูก็หวังว่าคงเรื่องนี้คงไม่ไปทำลายความเชื่อสมัยยังเด็กของใครเข้า อีกที เลือดนั้นมีสีแดง ทีนี้ถ้ามีใครบอกว่า
นี่ดูที่เส้นเลือดผมนี่ เห็นสีน้ำเงินมั้ย ครูก็จะบอกว่า เอ้อใช่
นั่นน่ะสีน้ำเงิน แต่เป็นสีของเนื้อเยื่อของเส้นเลือด แต่ไม่ใช่สีของเลือด แม้บางทีจะ
ดูไม่ค่อยแดงเท่าไรนัก แต่สีแดงก็ยังคงเป็นสีแดงอยู่นั่นเอง เอาละ ทีนี้มาดูว่าเส้นเลือดแดงหรืออาเตอรี่ต่างจาก
เส้นเลือดดำหรือเวนอย่างไร? เส้นเลือดแดงต่างกับเส้นเลือดดำหลายอย่าง อย่างแรก เส้นเลือดแดง
ไม่ต้องการความแข็งแรงนักเมื่อเทียบกัน เลยไม่ต้องการมีเนื้อเยื่อห่อหุ้มมากนัก แล้วก็ยังมีลิ้น (วาวล์) ในหลอดเลือด
เนื่องจากเมื่อเลือดไหลจากหัวใจเรื่อยลงไปจนถึงส่วนล่างๆ
อย่างเช่นเท้านั้น มันก็ต้องไหลกลับ แต่ความดันตรงนั้นก็หายไปมากแล้ว
ดังนั้นเพื่อที่จะช่วยใหเเลือดไหลกับมาได้ เราก็เลยมีลิ้นเปิดปิดพวกนี้เป็นตัวช่วย
อยู่ข้างในเส้นเลือดดำ เลือดก็จะไหลขึ้นได้ โดยที่ไม่ไหลย้อนลงกลับไป เพราะ
ลิ้นจะปิด ก็เลยไหลกลับไปที่หัวใจได้ นี่คือเหตุผลที่
ทำไมเราควรจะขยับตัวบ้างตอนนอนพัก เพราะว่า
การเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อ จะเป็นการช่วยให้เลือดไหลกลับหัวใจได้ดีขึ้น แล้วเลือดคืออะไร ?
เลือดนั้นประกอบด้วยสี่ส่วนหลักๆ ได้แก่ เม็ดเลือดแดง ซึ่งจะ
ช่วยพาออกซิเจน พาออกซิเจนไปเลี้ยงส่วยต่างๆในร่างกาย แล้วก็มี
พลาสม่า เป็นส่วนที่เป็นของเหลวในเลือด มีสารอาหารหลายชนิด และก็
ยังเป็นตัวพาคาร์บอนไดออกไซด์ที่ละลายอยู่ในรูปของไบคาร์บอเนต แล้วก็มีเม็ดเลือดขาว ที่
ทำหน้าที่สู้กับสิ่งแปลกปลอม สุดท้ายก็มีเกล็ดเลือด ซึ่ง
มีหน้าที่สำคัญในการช่วยให้เลือดแข็งตัวอย่างในกรณีที่เกิดบาดแผล เกล็ดเลือดพวกนี้จะเกาะตัวกัน
เป็นเหมือนโครงตาข่าย ที่เราจะมองจากข้างนอกเห็นเป็นสะเก็ดแผล ที่นี้
ลองมาดูที่เลือด จะเห็นเป็นแบบนี้ จนกระทั่งปล่อยไว้สักพัก เราก็จะเห็นว่า
มีการแยกตัว ดดยเม็ดเลือดแดงจะตกตะกอนลงล่าง แล้วส่วน
อื่นเช่นพลาสมา ก็ลอยอยู่ข้างบน มาที่หัวใจ
หัวใจของเรานั้นมีการเป็นเป็นจังหวะที่เรียกว่า คาร์ดิแอกไซเคิล (cardiac cycle) ที่ประกอบ
ด้วยสองช่วงคือไดแอสโทรี (diastole) กับซิสโทรี (systole) ไดแอสโทรี (diastole) แปลว่า "สูบ" ส่วนซิสโทรี (systole) แปลว่า"ฉีด"
ดูตัวอย่างการทำงานเทียบกับปั้มสูญญากาศนี้ หน้าตาเป็นอย่างนี้
หลักการทำงานก็คือ พอเราบีบที่หัวบีบ
ก็จะเป็นจังหวะซีสโทรี คือเรากำลังฉีดของเหลวออกไป จากนั้นพอ
เราคลายมือ มันก็จะดูดของเหลวกลับเข้ามา (จริงๆมันเป็นอุปกรณ์ที่เรียกว่า turkey baster เอาไว้ใช้ดูดน้ำราด ตอนอบไก่งวง)
ใช้งานได้ แล้วหัวใจล่ะ? ก็แบบเดียวกันละ คือจะมีซีสโทรี
ตอนที่มันหดตัว แล้วก็มีไดแอสโทรีตอนคลายตัว แต่จะต้อง
การควบคุมจังหวะให้ดี เกิดจะมาหดตัวพร้อมกันทีเดียวก็คงใช้ไม่ได้
สิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ ก็คือ ซีสโทรีจะเกิดขึ้นตรงนี้ เพื่อที่จะให้
เอเทรีมหดตัวบีบเลือดให้ไหลเข้าไปที่เวนทริเคิล ซึ่งในขณะนั้นจะต้องคลายตัว
จากนั้นเราก็จะต้องให้เวนทริเคิลบีบตัว ให้เลือดไหลไปทางนี้ โดยที่
เอเทรียมก็จะต้องคลายตัวเพื่อรับเอาเลือดใหม่เข้ามา ตรงนี้
ถ้าเราฟังเสียง ก็จะได้ยินจังกวะการเต้นของหัวใจ ตุ้บ ตับ ตุ้บ ตับ ทำไม?
นั่นเพราะว่าเอเทรียมกำลังหดตัว แล้วก็คลายตัว แล้ว
ขณะเดียวกันเวนทริเคิลก็หดตัว โดยเวนทริเคิลนั้น จะมีความแข็งแรงมากกว่า เพราะจะต้องส่งเลือด
ไปยังปอด หรือไม่ก็ต้องส่งไปที่ส่วนอื่นๆ ของร่างกาย เลยต้องมี
กล้ามเนื่อมากกว่าส่วนอื่นๆในหัวใจ และมีอยู่ที่
ด้านซ้ายมากกว่า เนื่องจากต้องส่งเลือดไปทั่วร่างกาย
จังหวะการเต้นก็เป็นเรื่องสำคัญ เราจะมี "ไซโนเอเทรียลโหนด (sinoatrial node) หรือ SA node
อันเป็นจุดแรกสุดที่เกิดการหดตัวของหัวใจ
ลองนึกภาพนี้เป็นหัวใจ ในวงที่เขียนนี้
มีเอเทรียม มีเวนทริเคิลตรงนี้ แล้วก็
มีเอเทรียมตรงนี้ มีเวนทริเคิลตรงนี้ จากนั้นเราก็จะเริ่ม
การหดตัวของหัวใจจากด้านบนสุด เกิดการบีบตัว
ของเอเทรียม เป็นการด้วยการส่งกระแสไฟฟ้าเพื่อเป็นสัญญานให้เกิดการหดตัว
บีบลงมาทางด้านนี้ จากนั้นพอกระแสไฟถูกส่งลงมาถึง
ปลายด้านล่าง ก็จะเป็นสัญญานการหดตัวในด้าน
ตรงกันข้าม เป็นด้านที่เกิดการหดตัวกลับไปยังเวนทริเคิล เพราะ
เราต้องการบีบให้เลือด ยังจำได้ใช่มั้ย ไหลจากเอเทรียมไปที่เวนทริเคิล แล้วจากเวนทริเคิล ถ้า
ไม่ไปที่พัลโมนารีอาเตอรี่ ก็จะไปที่ส่วนอื่นๆ ของร่างกาย และนั่น
เป็นการทำงานที่ควบคุมโดยสัญญานจากกระแสไฟฟ้าทั้งสิ้น ทีนี้ ถ้ายังจำได้ที่ครูบอกตั้งแต่ต้นว่า
หัวใจนั้นจะต้องเต้นอยู่ตลอดที่เรายังมีชีวิต หัวใจเป็นกล้ามเนื้อที่ต้องการออกซิเจน
และสารอาหารอื่นๆ แล้วทำอย่างไรล่ะ? มันก็จะมีเส้นเลือดที่เรียกว่า โคโรนารีอาเตอรี (coronary arteries)
หล่อเลี้ยงอยู่ด้านนอกของหัวใจ คอยทำหน้าที่
ส่งเลือดมาเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจทั้งหมด ถ้าหากเกิดมีการอุดตันขึ้นมาสักส่วนหนึ่ง
จะเกิดอะไรขึ้น ? กล้ามเนื้อหัวใจส่วนนั้นก็จะขาดออกซิเจนกับสารอาหารไป
ก็อาจเกิดความเสียหาย ไม่สามารถทำงานได้
แล้วอะไรคือ หัวใจวาย? ก็คืออาการที่เกิดการอุดตันใน
เส้นเลือดที่หล่อเลี้ยงหัวใจขึ้น ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจหยดทำงาน เพราะอย่างนี้
มันถึงเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย เราควรจะให้ความเอาใจใส่ดูแลเป็นอย่างดีเพราะ
เราต้องใช้งานหัวใจของเราไปตลอดชีวิต ก็หวังว่าคงได้ประโยชน์จากเรื่องนี้ ไม่มากก็น้อย