Tip:
Highlight text to annotate it
X
ผมคิดว่า ครั้งนี้คงเป็นการพูดครั้งสุดท้าย
ตั้งแต่วันพุธเราจะมีการเสวนากันอีก เป็นเวลา 5 วัน
ทำไมพวกคุณ ถึงได้นั่งเงียบกันไปหมดทุกคน
ผมไม่ทราบว่า คุณเคยสังเกตหรือไม่...
...ว่ายากยิ่งที่จิตของเรา จะสงบเงียบจริงๆ...
...จิตที่เงียบสงัด ไร้ปัญหา...
...หรือปัญหาต่างๆ ที่มี ถูกกันออกไปชั่วขณะ...
...แล้วมีจิตที่เป็นอิสระ จิตที่ไม่ยุ่งเหยิง...
...จิตที่ไม่ยื่นยาวออกไป...
...จิตไม่ส่ายเสาะแสวงหา สิ่งใดทั้งสิ้น...
...แต่สงบเงียบอย่างถึงที่สุด...
...และอาจจะสังเกตไม่เพียงแต่ สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในโลกเท่านั้น...
...ทว่ายังสังเกตดู สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในโลกภายใน...
...ซึ่งเป็นโลกของการดำรงอยู่ ของตัวเราเอง...
...โลกแห่งทัศนคติ ท่าที ความทุกข์ยากของเรา...
...เพียงแต่สังเกตเท่านั้น
ผมสงสัยว่ามีใครเคยทำสิ่งเหล่านี้ กันบ้างหรือไม่
หรือเรามัวแต่เสาะแสวงหา ค้นหา ถาม วิเคราะห์ เรียกร้อง...
...พยายามเติมเต็มให้กับชีวิต หรือพยายามปฏิบัติตามใครบางคน...
...ตามอุดมคติ และอะไรอื่นๆ...
...หรือพยายามที่จะสร้าง ความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่น
ผมสงสัยว่าเหตุใดจึงมีการดิ้นรน ไขว่คว้าและแสวงหานี้อยู่ร่ำไป
ผมไม่ทราบว่า ทำไมคุณถึงไปอินเดีย...
...เพื่อเสาะหาสิ่งพิเศษ ที่ไม่ธรรมดาบางอย่าง...
...ที่อาจจะเกิดขึ้น
...เมื่อคุณไปยังประเทศนั้น คุณปฏิบัติตามใครบางคน...
...ที่บอกให้คุณร้องรำทำเพลง...
...หรือทำอะไรก็ตาม ที่คุณอยากทำ (หัวเราะ)...
...และยังมีคนอีกบางจำพวก ที่พยายามบังคับ...
...ให้คุณทำสมาธิภาวนา ในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง...
...ให้คุณยอมรับอำนาจอิทธิพล ประกอบพิธีกรรมบางอย่าง...
...และตะโกนร้องตามอำเภอใจ และอื่นๆ
ทำไมเราจึงพากัน ทำสิ่งต่างๆ เหล่านี้
อะไรคือความกระหาย ที่ไม่สิ้นสุดของเรา
อะไรกันแน่ที่เรากำลังแสวงหา
เราจะสืบค้นเข้าไปในเรื่องนั้นบ้าง สักเล็กน้อย...
...ลองค้นหาดูด้วยตนเอง ว่าอะไรคือสิ่งที่เราโหยหา...
...ค้นหา แสวงหา พยายามเติมให้เต็ม...
...และพยายามที่จะให้มี จะเป็นอะไรบางอย่าง
นอกเหนือไปจากคัมภีร์ พิธีกรรม และความเชื่อทางศาสนา...
...ซึ่งบุคคลผู้ที่ค่อนข้างมีปัญญา ได้ละวางสิ่งเหล่านี้ไปแล้ว...
...และไม่ไปยังธิเบต ญี่ปุ่น...
...หรือพยายามปฏิบัติตาม พุทธศาสนาแบบเซ็น...
...หรือทำอะไรต่างๆ ทำนองนั้น
...แต่คงที่ที่บ้านของตน อย่างสงบเงียบ...
...หรือเดินเล่นเงียบๆ โดยลำพัง...
...แล้วเราก็ถามได้ไหมว่า...
...ทำไมจึงมีความกระหาย อันไม่รู้จักจบสิ้นนี้
เราจะสืบค้นเข้าไปตรงนั้น กันสักหน่อยไหม
เพราะว่าเราได้พูดกัน ไปเกือบหมดทุกเรื่องแล้ว...
...ในการพูด 6 ครั้งที่ผ่านมา
เราพูดกันเรื่องความกลัว การคิดร่วมกัน...
...เราพูดกันถึง เรื่องความทุกข์โศก...
...ความสุขเพลิดเพลิน และเราก็พูดคุยกันถึง...
...เรื่องปัญญา ความรัก และความเมตตากรุณาด้วย
ดังที่เราได้ชี้ให้เห็นแล้วว่า หากปราศจากปัญญา...
...ซึ่งเราได้สืบค้นกัน อย่างละเอียดรอบคอบแล้ว...
...ความรักหรือความเมตตากรุณา ก็ไม่อาจเกิดขึ้นได้...
...สิ่งเหล่านี้ไปด้วยกัน
มิใช่ปัญญาจากตำรา และเล่ห์เพทุบายของความคิด...
...อีกทั้งมิใช่ปัญญาของจิต ที่ชาญฉลาดแยบยล...
...แต่เป็นปัญญาที่รับรู้ อย่างตรงๆ ถึงสิ่งที่ไม่จริง...
...เห็นสิ่งเป็นเท็จ สิ่งที่เป็นอันตราย...
...และปล่อยวางมันทันที...
...คุณลักษณะจิตเยี่ยงนั้นแหละ คือปัญญา
ในเช้าวันนี้ เราจะสืบค้นเข้าไปในเรื่องนี้...
...มิใช่เพียงแค่สืบค้นดูว่า...
...อะไรคือสิ่งที่เราล้วนร่ำร้อง แสวงหาเท่านั้น
ทว่าในขณะที่เราร่วมกันสืบค้น...
...บางทีเราอาจค้นพบด้วยตนเอง ว่าอะไรคือคุณลักษณะแห่งจิตนั้น...
...จิตซึ่งคือประสาทสัมผัสทั้งหมด ปฏิกิริยาการตอบสนอง...
...และอารมณ์ทั้งหมดทั้งปวงของเรา..
...รวมถึงความสามารถที่จะคิด ได้อย่างกระจ่างชัดเจนยิ่ง...
...ทั้งหมดนั้นคือจิต ซึ่งเนื้อแท้ของมันก็คือความคิด
บางทีเราอาจจะคุยกันด้วยว่า...
...สมาธิมีลักษณะ มีธรรมชาติอย่างไร...
...และในชีวิต ในการดำรงอยู่ แต่ละวันของเรา...
...มีอะไรบางอย่างหรือไม่...
...ที่ไม่ใช่ภารกิจด้านนอก...
...การครอบครอง วัตถุสิ่งของและเงินตรา เพศรส...
...ความรู้สึกตื่นเต้น ทางประสาทสัมผัส...
...แต่นอกเหนือไปจาก สิ่งเหล่านั้นทั้งหมด...
...มีสิ่งใดบ้างไหม ที่ศักดิ์สิทธิ์โดยแท้จริง...
...ไม่ใช่สิ่งที่สร้างขึ้น โดยความคิด...
..ไม่ใช่สัญลักษณ์อันหลากหลายรูปแบบ ที่ความคิดสร้างขึ้นมา...
...ตามวัดวาอาราม โบสถ์และวิหารต่างๆ...
...แต่เป็นสิ่งที่คุณต้องค้นหา ด้วยตนเอง ซึ่งอาจจะโดยสมาธิ...
...ที่เป็นอิสระจากการหลอกลวงตนเอง และมายาทั้งปวง...
...และคิดได้อย่างซื่อตรงยิ่ง...
...ค้นหาว่ามีอะไรบางอย่าง ที่ศักดิ์สิทธิ์อย่างแท้จริงหรือไม่..
...ซึ่งก็คือกระแสแห่งสมาธินั่นเอง
ดังนั้นหากว่าเราจะคิดร่วมกัน ขอให้เรามาสืบค้นกันก่อนว่า...
...อะไรกันแน่ที่เราหิวกระหาย ต้องการมัน
ผู้คนส่วนมากต่างมีประสบการณ์มากมาย และหลากหลายประเภท...
...มิใช่เพียงแค่ ประสบการณ์ทางความรู้สึก...
...ที่ผ่านประสาทสัมผัสต่างๆ แต่รวมถึงเหตุการณ์ทั้งหลาย...
...ที่นำมาซึ่งกระแสแห่งอารมณ์ ความรู้สึก ความเพ้อฝัน...
...ทว่าประสบการณ์ต่างๆ เหล่านี้ ที่เรามี...
...ค่อนข้างจะมีสาระเพียงน้อยนิด...
...หรือบางทีประสบการณ์ทั้งหมด...
...ล้วนเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ไม่มีสาระสำคัญอะไร
เมื่อเราเริ่มสืบค้นว่า...
...อะไรคือสิ่งที่เราทั้งหมด ต่างเสาะหา ต้องการ และเฝ้าปรารถนา...
...มันเป็นสิ่งที่ตื้นๆ ผิวเผิน...
...เป็นเพียงความรู้สึก ทางประสาทสัมผัส...
...หรือเป็นอะไรบางอย่าง ที่ความอยากเสาะแสวงหา...
...ซึ่งนั่นย่อมเป็นสิ่งที่ตื้นเขิน อย่างเห็นได้ชัด
ในการคิดพินิจร่วมกันนี้ เรา สามารถเคลื่อนจากความตื้นเขินนี้...
...ไปสู่การสืบค้นที่กว้าง และลึกซึ้งขึ้นได้ไหม
ได้ไหม
นั่นคือเรา ซึ่งหมายถึงคุณและผู้พูด มาทำความเข้าใจร่วมกัน...
...ว่าทั้งหมด ที่เราเฝ้าปรารถนานั้น...
...เป็นเพียงเรื่องผิวเผิน ตื้นเขิน เป็นความต้องการทางผัสสะ...
...หรือเป็นความปรารถนา การแสวงหา...
...โหยกระหายในอะไรบางอย่าง...
...ที่พ้นไปจากสิ่งดังกล่าวทั้งหมด
คุณเข้าใจคำถามของผมไหม
คุณจะสืบค้นเข้าไป ในเรื่องนี้อย่างไร...
...เมื่อคุณตั้งคำถามนี้แล้ว...
...การสืบค้นของคุณหรือความอยาก ปรารถนาของคุณแค่ตื้นเขิน...
...อย่างเช่น อยากมีเงินทองมากขึ้น...
...มีความสัมพันธ์ที่ดีขึ้น...
...พยายามที่จะเติมเต็ม พยายามที่จะมีความสุข...
...ความต้องการที่ตื้นเขิน เป็นเพียงเปลือกนอกเท่านั้นหรือ...
...คุณจะสืบค้น เข้าไปในเรื่องนี้อย่างไร
สืบค้นด้วยการวิเคราะห์หรือ
การวิเคราะห์ก็ยังคงเป็นกระแส ของความคิดที่มองย้อนกลับไป
ความคิด รวมทั้งเหตุการณ์ และประสบการณ์ต่างๆ ของมัน...
...ทำการสำรวจตรวจสอบตัวมันเอง โดยการวิเคราะห์...
...การตรวจสอบของความคิด ยังคงอยู่ในขอบเขตอันจำกัดคับแคบ...
...เพราะความคิดถูกจำกัดให้คับแคบ นั่นเป็นที่ชัดเจน
แต่ความคิดเป็นเครื่องมือ เพียงอย่างเดียวที่เรามี...
...ดังนั้นเราจึงใช้เครื่องมือ หนึ่งเดียวนี้ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า...
...ทั้งๆ ที่รู้ว่าความคิด เป็นเครื่องมือที่จำกัด...
...และเมื่อรู้ว่าความคิด ไม่อาจแก้ปัญหา...
...หรือไม่สามารถที่จะสืบค้น ได้อย่างลึกล้ำ...
...แม้กระนั้น เราก็ยังคงใช้ความคิดต่อไปอีก
ใช่หรือไม่
ผมคิดว่าเราไม่เคยตระหนักเลย...
...ว่าเครื่องมืออันนี้ไม่ว่าจะทื่อ จะถูกใช้มามากเพียงใด...
...มันไม่อาจแก้ไขปัญหาได้...
...ดังนั้นจึงละวางมันเสีย
แต่ดูเหมือนว่าเราไม่อาจที่จะ ละวางมันได้ เพราะเหตุใดหรือ
โปรดสืบค้นไปด้วยกันกับผม
คุณเข้าใจคำถามของผมไหม
ความคิดเสกสรรสร้าง โลกทางเทคโนโลยีขึ้นมา
ใช่ไหม
ความคิดสร้างการแบ่งแยกทั้งหมด ที่มีอยู่ในโลก
ความคิดได้สร้างไม่ใช่แค่เพียง การแบ่งแยกทางชาติเท่านั้น...
...แต่ยังมีการแบ่งแยกทางศาสนา...
...ทางอุดมการณ์...
...และการแบ่งแยก ระหว่างมนุษย์สองคนในทุกๆ รูปแบบ...
...ไม่ว่าพวกเขาจะคิดว่า เขารักกันมากเพียงใดก็ตาม...
...ก็ยังมีการแบ่งแยก เยี่ยงนี้อยู่...
...และความคิดเป็นตัวการทำให้เกิด การแบ่งแยกนั้น ซึ่งเห็นได้ชัด
เราจะยอมรับไหมว่า...
...การทำงานของความคิดนั้น ย่อมจำกัดคับแคบอย่างเลี่ยงไม่ได้..
...เพราะเหตุที่ความคิด เป็นผลพวงแห่งอดีต...
...ย่อมต้องนำมาซึ่งการแบ่งแยก อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้...
...ฉะนั้นสิ่งใดที่ความคิดทำ จึงจำกัดคับแคบ
ความคิดจึงไม่สามารถเห็นได้ทั้งหมด
ใช่หรือไม่
ทีนี้เราจะถามได้ไหมว่า...
...กิจของความคิดเยี่ยงนั้น ตื้นเขิน ผิวเผิน...
...หรือว่าความคิดอันจำกัดคับแคบนี้ จะสามารถสืบค้นได้ลึกมากยิ่งขึ้นๆ
คุณตามที่ผมพูดทันใช่ไหม
เราเข้าใจกันและกันใช่ไหม เราสืบค้นกันต่อได้ไหม
ได้โปรดเถิด นี่ไม่ใช่เป็นแค่ การอธิบายด้วยถ้อยคำ...
...มิใช่ให้เราเข้าใจแจ่มแจ้ง ในถ้อยคำ...
...ทว่าเรามาร่วมกันค้นหา ด้วยตนเองว่า...
...อะไรคือรากเหง้า ของความหิวกระหาย...
...ความอยากอันยิ่งใหญ่นี้ ที่จะแสวงหา...
...ค้นหากระแสที่เคลื่อนออกไป และเข้ามาอยู่เป็นนิจนี้คืออะไร
ตรงนี้เห็นชัดเจนใช่ไหม
การสังเกต เป็นเครื่องมือของความคิดไหม
คุณตามทันหรือไม่
โปรดสืบค้นเข้าไปในเรื่องนี้ กับผมอีกสักนิด
ในการสังเกตนั้น เกี่ยวข้องกับ การเคลื่อนไหวของความคิดหรือไม่
คุณอาจจะสังเกต แล้วก็สรุป รับรู้...
...หรือมีการสรรค์สร้าง จากการสังเกตนั้นๆ
การสร้างสรรค์...
...หรือกิจต่างๆ ที่เกิดขึ้น จากการสังเกตเยี่ยงนั้น...
...เป็นกระแสแห่งความคิด
โดยทั่วๆ ไป เราทำอย่างนั้น
อย่างเช่น เมื่อเราเห็นสีๆ หนึ่ง...
...ก็จะมีการสังเกต ถึงสีสันของมัน...
...จากนั้นก็เกิดความชอบ ความไม่ชอบ หรืออคติทั้งหลาย...
...ทั้งหมดนั้นคือกระแสความคิด
ใช่หรือไม่
เราจะสามารถสังเกตโดยที่ไม่มี ความคิดใดๆ เคลื่อนเข้ามาเลยได้ไหม
การทำเช่นนั้น จำเป็นต้องมีวินัยอย่างใดหรือไม่
คุณเข้าใจไหม
รากศัพท์ของคำว่าวินัย คือการเรียนรู้
เป็นการเรียนรู้ มิใช่ การสยบยอมทำตามหรือทำเลียนแบบ...
...มิใช่การทำจิตใจให้ทื่อทึบ ด้วยการทำซ้ำๆ ซากๆ...
...ไม่ใช่กิจวัตรทั้งหมด ทว่าวินัยคือการเรียนรู้
เราสามารถเรียนรู้การสังเกต...
...อันปราศจากความคิดที่คอยสร้าง มโนภาพขึ้นจากการสังเกตนั้นๆ...
...แล้วกระทำ หรือปฏิบัติ ไปตามมโนภาพนั้นๆ ได้ไหม
เราเพียงแค่สังเกตได้ไหม
ซึ่งนั่นหมายถึงการเรียนรู้ การสังเกต...
...และเรียนรู้หรือรู้สึกตัว ต่อการเคลื่อนไหวของความคิด...
...ที่แทรกเข้ามาในการสังเกตนั้น ได้หรือไม่
เรียนรู้ถึงการเคลื่อนไหวของความคิด
ซึ่งนั่นคือวินัยที่แท้จริง คือการเรียนรู้
ผมสงสัยว่าคุณเข้าใจเรื่องนี้ แล้วหรือยัง
เราตามกันทันไหม
เรากำลังทำไปพร้อมๆ กับที่ เรากำลังเสวนากันอยู่นี้หรือเปล่า...
...หรือว่าคุณจะเอากลับไปคิดดูอีกที
ขอให้เราทำไปด้วยกันทั้งหมด ทำความเข้าใจด้วยกัน
เราบอกว่า เมื่อมีการสังเกตเข้าไป ในความปรารถนาของเรา...
...ในความกระหาย ต่ออะไรบางอย่างของเรา...
...เป็นไปได้ไหมที่เราจะสังเกต โดยปราศจากแรงจูงใจใดๆ...
...แรงจูงใจ ซึ่งอาจจะเป็นความอยาก...
...หรือเป็นข้อสรุปรวบยอดของความคิด ล้วนเป็นอดีต...
...การสังเกตที่แท้จริงที่ปราศจาก อดีตเข้ามาสอดแทรก เป็นไปได้ไหม
คุณสังเกตอย่างนั้นได้ไหม
นั่นแหละคือการเรียนรู้
กระบวนการทั้งหมดนี้ ทั้งการสังเกต การสอดแทรกของความคิด...
...ทั้งผลลัพธ์และผลกระทบ ของกระบวนการทั้งหมด...
...เพียงสังเกตเท่านั้น
เราต้องการเรียนรู้
โดยทั่วไปๆ แล้ว การเรียนรู้ เป็นการสั่งสมข้อมูลความรู้ต่างๆ
ใช่หรือไม่
ไม่ว่าที่โรงเรียน วิทยาลัย และมหาวิทยาลัย...
...หรือการเรียนรู้เกี่ยวกับ ความสัมพันธ์หรือเรียนรู้เรื่องอื่นๆ
เมื่อสั่งสมความรู้ แล้วก็ปฏิบัติ หรือกระทำจากความรู้ที่สั่งสมมา
ใช่ไหม
ดังนั้นจุดประสงค์ของการเรียนรู้ อย่างนั้นก็เพื่อสั่งสมความรู้...
...และจากความรู้ที่มี เราก็ลงมือปฏิบัติ...
...หรือกระทำด้วยความเชี่ยวชาญ หรือไม่ชำนาญการก็ตาม
หรือคุณลงมือปฏิบัติ แล้วจึงเรียนรู้...
...ซึ่งหมายถึงการสั่งสมความรู้ จากการกระทำ
คุณเข้าใจแล้วใช่ไหม
คุณตามทันไหม
ดังนั้นการกระทำของเราจึงขึ้นอยู่ กับความรู้ที่สั่งสมมาเสมอ
เป็นอย่างนี้ไหม
มีการกระทำ แล้วเรียนรู้จากการกระทำ แล้วสั่งสมความรู้
มีการสั่งสมความรู้แล้วกระทำ
ใช่หรือไม่
ดังนั้นการกระทำของเรา จึงอยู่บนพื้นฐานของห้วงอดีตเสมอ...
...หรืออดีตสร้างภาพอนาคต แล้วกระทำไปตามภาพอนาคตนั้น
มันเป็นการเคลื่อนไหวเดียวกัน ที่มีการดัดแปลง...
...ทว่ามันยังเป็น การเคลื่อนไหวดังเดิมอยู่นั่นเอง
ใช่ไหม
ผมสงสัยว่า คุณตามทั้งหมดนี้ทันหรือเปล่า
คุณกำลังทำอยู่หรือเปล่าครับ
ร้อนแล้ว
ทว่าเรากำลังชี้ให้เห็นอะไรบางอย่าง ที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง
คุณเข้าใจไหม
การที่ต้องสั่งสมความรู้ แล้วจึงกระทำ
การสั่งสมความรู้ แล้วสร้าง อนาคตกาลขึ้นมาจากความรู้นั้น...
...แล้วกระทำไปตามอนาคตที่คิดออกไป
ดังนั้นการกระทำต่างๆ ของเรา เป็นผลพวงแห่งอดีต หรืออนาคตเสมอ...
...นั่นคือ การกระทำที่มีมูลฐาน อยู่บนกาลเวลา...
...เป็นวันวาน วันนี้และวันพรุ่งนี้
วันวานมาบรรจบกับปัจจุบัน ซึ่งก็คือวันนี้...
...แปรปรับตัวมันเอง และดำเนินสืบต่อไป
ใช่หรือไม่
การกระทำของเรา จึงอยู่บนพื้นฐานของกระบวนการนั้น
เห็นได้ชัดว่า การกระทำของเรา ย่อมไม่บริบูรณ์เสมอ
เพราะว่ามีความรู้สึกเสียใจ แฝงอยู่ในนั้น...
...มีความรู้สึกดิ้นรนกังวลใจ...
...เป็นการกระทำ ที่ไม่เคยรู้สึกว่าครบถ้วนบริบูรณ์
ใช่หรือไม่
ทว่าขณะนี้ เรากำลังชี้ให้เห็นอะไรบางอย่าง...
...ที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง...
...นั่นคือการสังเกต ที่ไร้ซึ่งอดีตและอนาคตกาล
เพียงแต่สังเกต
สังเกตเหมือนที่นักวิทยาศาสตร์ ชั้นดีสังเกตผ่านกล้องจุลทรรศน์...
...สังเกตสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นจริงๆ
ใช่ไหม
เมื่อเขาสังเกต สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่จริงๆ...
...สิ่งที่เขาสังเกตอยู่นั้น จะเกิดการเปลี่ยนแปลง จักมีการเคลื่อน
โปรดรับฟังที่พูดนี้
เราจะสังเกตดูความโหยหา ปรารถนา การแสวงหา แรงกระตุ้นเร้า...
...ผลักดัน พลังงานอันแรงกล้า ที่เรียกร้องต้องการนั้นได้ไหม
คุณเข้าใจหรือยัง
คุณตามทั้งหมดนี้ทันหรือไม่
ได้โปรดเถิด นี่ไม่ใช่เป็นการขบคิด ด้วยเชาว์ปัญญาอันหนักหน่วง
นี่เพียงเป็นไปตามตรรกะ สมเหตุสมผล ดังนั้นจึงเป็นปรกติดี
ปกติ ซึ่งหมายถึงความสมบูรณ์ดี
ดังนั้น เราสามารถสังเกต เยี่ยงนั้นได้ไหม
สังเกตความอยาก แรงปรารถนาของเรา...
...อะไรกันที่เราต้องการจากชีวิตนี้ อะไรคือสิ่งที่พวกเราเสาะหา...
...ไล่ล่าให้ได้มา พวกเราส่วนมากกำลังแสวงหา...
...มิฉะนั้น คุณทั้งหลายคงไม่มา ณ ที่นี้
โปรดสืบค้นเข้าไปอีกสักนิด...
...คุณอ่านหนังสือมากมาย เกี่ยวกับปรัชญา จิตวิทยา...
... ทำดุษฎีบัณฑิตในแขนงนี้ หรือแขนงนั้น...
...หรืออ่านตำราศาสนาทั้งหลาย
ในทั้งหมดนั้น เขาบ่งบอกเสมอว่า มีอะไรบางอย่างที่เหนือพ้น...
...เหนือธรรมชาติ คุณเข้าใจไหม
...ยิ่งไปกว่าอะไรบางอย่าง ที่ยิ่งกว่า มากกว่า...
...ลุ่มลึกกว่า ลึกลงไปกว่า ลึกซึ้งกว่า
เมื่ออ่านตำราเหล่านั้นแล้ว เราก็พูดว่า...
"บางทีสิ่งนั้นอาจจะมีจริง ฉันจะแสวงหาสิ่งนั้น"
แล้วเราก็ไปหลงยึดติดนักบวช และปรมาจารย์ทั้งหลาย...
...หลงติดอยู่กับความนิยมล่าสุด...
...จนกระทั่งคุณคิดไปว่า คุณได้พบแล้ว...
...พบอะไรบางอย่าง ที่ทำให้คุณพึงพอใจ...
ใช่ไหม บางสิ่งซึ่งให้คุณบอกว่า...
"ฉันมีความสุขสมบูรณ์ดีแล้ว ฉันไม่ต้องแสวงหาอีกต่อไป"
บางทีนั่นอาจจะเป็นเพียง มายาหนึ่งเท่านั้น
และผู้คนโดยส่วนมาก ชอบที่จะมีชีวิต อยู่ในมายาความหลอกลวง
และการแสวงหา ความเรียกร้องต้องการ...
...ความโหยหาทั้งหมดของคุณ ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหา...
...หรือไม่ได้ทำให้เกิดสังคมที่ดี คุณเข้าใจไหม...
...สังคมที่ดี สังคมที่อยู่บนฐานแห่งสันติ...
...ไร้ความรุนแรง...
..ไม่ใช่สังคมที่แต่ละคนพยายามที่จะ เติมเต็มความทะเยอทะยานของตนเอง..
...สังคมอันไร้ความรุนแรงทั้งหมด
จุดประสงค์ในการสืบค้นของพวกเรา ในเรื่องต่างๆ ทั้งหมดนี้
...ก็เพื่อจะนำมาซึ่งสังคมที่ดี...
...สังคมที่มนุษย์ สามารถดำรงชีวิตอยู่...
...อย่างสงบสุข โดยปราศจากความกลัว...
...ปราศจากความขัดแย้ง การดิ้นรนต่อสู้ ไขว่คว้า...
...ความโหดร้าย และอื่นๆ ทั้งหมดนั้น...
...นั่นคือความตั้งใจในการสืบค้น...
...เพราะสังคมถูกสร้างขึ้น...
...จากความสัมพันธ์ของผู้คน
หากความสัมพันธ์ของเราไม่ถูกต้อง ไม่เที่ยงแท้และไม่จริง...
...พวกเราก็จะสร้างสังคม อย่างทุกวันนี้...
...ซึ่งก็คือสภาพที่กำลังเกิดขึ้น อยู่ในโลก
ใช่ไหมครับ
ดังนั้นการสืบค้นในเรื่องนี้...
...สืบค้นดูว่าเหตุใด มนุษย์จึงต่างแยกกัน...
...คุณเสาะหาอะไรบางสิ่ง อีกคนก็แสวงหาอะไรบางอย่าง...
...ที่แตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง...
...แต่ละคนต่างเรียกร้อง หาอะไรบางอย่างที่แตกต่างกัน
ใช่หรือไม่
ดังนั้นจึงมีการเคลื่อนไหว...
...ที่เอาตนเอง เป็นศูนย์กลางความสำคัญอยู่เสมอ
สังคมที่เราสร้างขึ้น...
...ก็ตั้งอยู่บนพื้นฐานของปัญหา ที่ตัวตนเป็นศูนย์กลางความสำคัญ...
...ความทะเยอทะยาน การเติมเต็มเพื่อตนเอง...
...และวินัยทั้งหลาย ที่เอาตนเองเป็นที่ตั้ง...
...สิ่งต่างๆ เหล่านี้แหละ ที่ทำให้เราพูดว่า...
..."ฉันต้องอย่างนั้นอย่างนี้" อันนำมาซึ่งความรุนแรง
เรากำลังสืบค้นถึงทั้งหมดนั้น...
...และเรายังสืบค้น เข้าไปในจิตใจด้วย...
...จิตใจของคุณ "จิตใจ" คุณเข้าใจไหม
เมื่อเราใช้คำว่า "จิตใจ"...
...มันไม่ได้หมายถึงจิตใจของคุณ หรือของผม แต่เป็นจิตใจ
เพราะจิตใจของคุณก็เหมือนกับ จิตใจของคนอีกนับพัน นับล้านคน
ใช่ไหม
เป็นจิตที่ไขว่คว้า กระเสือกกระสน ดิ้นรน ต้องการ...
...ทำตาม ยอมรับ เชื่อฟัง ก่ออุดมคติ...
...และตกอยู่ภายใต้การนำของศาสนา เป็นจิตที่ทุกข์ระทม...
...เจ็บปวดรวดร้าว วิตกกังวล...
...จิตของคุณคือสภาพเหล่านั้น และจิตของคนอื่นก็เช่นเดียวกัน
ใช่หรือไม่
ดังนั้นจิตของคุณ หาเป็นของคุณไม่
แต่มันเป็น "จิตใจ"
ผมไม่ทราบว่า คุณตระหนักเห็นอย่างนี้ไหม
คุณอาจจะไม่ตระหนักเห็นอย่างนี้ เพราะความทะนงตนของคุณ...
...ความรู้สึกเป็นปัจเจกบุคคล คนสำคัญของคุณ...
...อาจจะบดบัง การสังเกตเห็นความเป็นจริงนี้
ใช่ไหม
ผมสงสัยว่าคุณตระหนักเห็นสิ่งนี้ไหม
นั่นคือเหตุผล...
...จนกว่าเราจะเข้าใจ อย่างแท้จริง...
...ว่ามนุษย์เรามีสภาพจิต ที่คล้ายคลึงกัน...
...ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดในโลก มนุษย์เราต่างอยู่อย่างไม่มีความสุข
พวกเขาล้วนสวดอ้อนวอนภาวนา ทว่าการสวดมิได้ให้คำตอบต่อปัญหานี้
พวกเขายังไร้ความสุข...
...ยังคงกระเสือกกระสน และยังคงหมดอาลัยตายอยาก
นี่คือสภาพจิต ที่มนุษย์ทุกคนมีเหมือนกัน
ดังนั้น เมื่อเราทำการสืบค้น...
...เรากำลังสืบค้นเข้าไป ในความเป็นมนุษย์...
...มิใช่เฉพาะตัวฉันหรือตัวคุณ
เราคือมนุษยชาติ ผมสงสัยว่าคุณ ตระหนักเห็นสิ่งทั้งหมดนี้หรือไม่
ในระหว่างการสืบค้นเข้าสู่เรื่องนี้ เราจะสามารถสังเกตโลกภายนอก...
...สังเกตการแบ่งแยก ความน่ากลัว ภยันอันตราย นักการเมือง...
...รวมทั้งความเป็นอาชญากรของพวกเขา และอื่นๆ ทั้งหมดนั้นด้วยได้ไหม...
...เราสามารถจะสังเกตทั้งหมดนั้น...
...เพียงแค่สังเกต โดยไม่สร้างข้อสรุปใดๆ ได้ไหม
ถ้าเราสังเกตสิ่งที่กำลัง เกิดขึ้นภายนอก และสังเกต...
...สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นภายในจิตใจ เช่นเดียวกันโดยเท่าเทียม...
...การกระทำของเราก็จะมิใช่เป็น การกระทำของคุณและการกระทำของฉัน
ผมไม่ทราบว่า คุณตามสิ่งที่พูดทั้งหมดนี้ทันไหม
เพราะเมื่อเป็นเช่นนั้น เราก็กระทำร่วมกัน คุณเข้าใจไหม...
...เพราะเราได้สังเกต สิ่งเดียวกันร่วมกัน
และเราถามว่า สิ่งที่เราแสวงหาคืออะไรกันแน่
คุณเข้าใจไหม
ถ้าคุณถามตัวคุณเองว่า อะไรคือสิ่งที่คุณแสวงหา...
...เงินทองหรือ หรือว่าความมั่นคงปลอดภัย...
...หรือว่าการเป็นอิสระ จากความกลัว...
...เพื่อที่คุณจะได้มีความสุข เพลิดเพลินอย่างไม่รู้จักจบสิ้น...
...หรือคุณแสวงหาการเป็นอิสระ จากความระทมทุกข์อันหนักหน่วง...
...ไม่ใช่เพียงแค่ความทุกข์ระทม ถ่วงหนักเฉพาะของคุณเท่านั้น...
...หากเป็นภาระอันหนักหน่วง แห่งความทุกข์ระทมของโลก
หรือว่าคุณกำลังแสวงหาบางสิ่ง...
...นอกเหนือไปจาก เรื่องเหลวไหลไร้สาระทางศาสนา...
...หรือคุณกำลังแสวงหาบางสิ่ง ซึ่งไร้กาลเวลา...
...บางสิ่งที่ความคิด มิเคยได้สัมผัสเลย
คุณเข้าใจไหม
สิ่งซึ่งแท้จริงแล้ว ไร้จุดกำเนิด...
...บางสิ่งที่มิอาจทำให้ เสื่อมทรามได้โดยความคิดอย่างสิ้นเชิง
ดังนั้น จงค้นหาด้วยตนเอง...
...ในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง...
...ที่ไม่ได้ต่างอะไรไปจาก มวลมนุษย์ทั้งหลายในโลกนี้...
...ค้นหาดูว่าอะไรคือสิ่งที่เรา เฝ้าปรารถนา แสวงหา และโหยหา
หรือว่าเราต้องการประสบการณ์...
...เพราะเราเคยมีประสบการณ์ ทางความรู้สึกสัมผัส...
...ทางกามารมณ์ และประสบการณ์ มากมายต่างๆ ชนิด...
...แล้วเราก็บอกว่า นั่นเพียงพอแล้ว...
... ฉันมีประสบการณ์ ในสิ่งเหล่านั้นทั้งหมดแล้ว...
...ทว่าฉันต้องการ มีประสบการณ์ชนิดอื่น...
...คุณตามทันไหม ประสบการณ์นอกเหนือจากนั้น
นั่นใช่ไหมสิ่งที่คุณแสวงหา
ประสบการณ์บางอย่างที่จะให้ ความรู้สึกปิติยินดีแก่คุณ...
...เกิดความเข้าใจเป็นล้นพ้น...
...ให้ความสว่างกระจ่างแจ้ง การเปลี่ยนสู่สภาวะใหม่
คุณจะค้นหาได้อย่างไร
ประการแรก ในการค้นหานั้น เราต้องเป็นอิสระจากมายาทั้งปวง
ใช่หรือไม่
นั่นหมายถึง มีความซื่อสัตย์อย่างยิ่งยวด...
...เพื่อที่ว่าจิตของคุณ จะไม่หลอกลวงตัวมันเอง
ใช่ไหม
การที่จะไม่หลอกลวงตัวเอง...
...เราต้องเข้าใจในธรรมชาติทั้งหมด ของกระบวนการของความอยาก
ใช่ไหม
เพราะว่าความอยากนั่นเอง ที่สร้างมายาขึ้นมา...
...ด้วยความอยาก เราจึงต้องการเติมเต็ม...
...เราคาดหวัง จะได้บางสิ่งบางอย่างมากขึ้น
ดังนั้น ตราบจนกระทั่ง ที่คุณเข้าใจในธรรมชาติ...
...และโครงสร้างทั้งหมด ของความอยาก...
...จิตย่อมสร้างมายาขึ้นมา อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เราเข้าสู่ปัญหาของความอยาก
จิตของคุณเมื่อได้เข้าใจ การเคลื่อนไหวแห่งความอยาก...
...รู้ถึงที่ทางบทบาท ที่ความอยากมีคุณค่า...
...จิตนั้นสามารถจะเป็นอิสระ ที่จะสังเกตได้ไหม
นั่นหมายความว่า คุณสังเกต โดยปราศจากมายาใดๆ ทั้งสิ้น
ชาตินิยมเป็นมายาอย่างหนึ่ง
ใช่หรือไม่
เห็นชัดอยู่แล้วว่าใช่
นั่นค่อนข้างง่ายที่จะเข้าใจ
มายาที่ความคิดสร้างขึ้นมากมาย
เราตระหนักรู้ถึงมายาต่างๆ เหล่านั้นหรือไม่
เข้าใจเถอะครับคุณ
เมื่อจิตเป็นอิสระ จากมายาทั้งหลาย...
...และไร้ซึ่งการเสแสร้งแกล้งทำ อย่างสิ้นเชิง...
...แต่กระจ่างชัดและซื่อตรง...
...เมื่อนั้นเราจึงสามารถที่จะ เริ่มต้นสืบค้นเข้าไปในอะไรบางอย่าง..
...หรือถามถึงการมีอยู่ แห่งภาวะไร้กาลเวลา...
...คุณเข้าใจไหม สัจธรรมอันไร้กาลเวลา
นั่นแหละคือจุดที่สมาธิบังเกิดขึ้น
ใช่ไหม
คุณตามทั้งหมดนี้ทันไหม
พวกคุณ มีใครเคยทำสมาธิภาวนาบ้างไหม
อาจจะไม่มี หรืออาจจะมีบ้าง...
...ทำสมาธิแบบเหนือพ้นโลก สมาธิแบบธิเบต...
...สมาธิแบบฮินดู แบบพุทธ หรือสมาธิแบบเซน ก็ตามแต่
บางทีคุณอาจจะเคยลองฝึก ทั้งหมดนั้น...
...อย่างเอาจริงเอาจัง หรืออาจแค่ลองทำดู
การทำสมาธิทำนองนั้น ทั้งหมดเท่าที่เข้าใจ...
...ซึ่งผู้พูดเอง ได้เสวนาถึงปัญหานี้...
...กับผู้ทรงคุณวุฒิ จากสำนักต่างๆ แล้ว...
...แนวความคิดในการทำสมาธิภาวนา แบบต่างๆ ทั้งหมดก็คือ...
...จะต้องควบคุมความคิด จะต้องมีหลักการในการฝึกอบรมจิต...
...เราต้องกดข่ม เอาชนะความรู้สึกของตน
... เพื่อให้มันเป็นสิ่งที่ต่างไป จาก "สิ่งที่เป็นอยู่จริง"...
...โดยการรู้สึกตัว โดยการควบคุมบังคับ...
...หรือโดยการตื่นตัวอยู่ตลอด คุณก็ทราบถึงสิ่งเหล่านี้ดีมิใช่หรือ
บ้างก็ให้ท่องมนตรา หรือสโลแกนซ้ำไปซ้ำมา...
...คุณจะท่องคำว่า "อาเมน" หรือ "โคคา - โคล่า" ก็ได้...
...หรือคำอะไรก็ตามที่คุณชอบ... (หัวเราะ)
...โปรดอย่าหัวเราะ ไม่ว่าคำไหนก็เหมือนกันหมด
สิ่งที่เรากำลังพูดก็คือว่า...
...สิ่งทั้งหมดนั้น ได้รับการยอมรับว่าเป็นสมาธิ
แต่หากคุณต้องการค้นหาว่า สมาธิคืออะไร...
...มิใช่แค่เพียงยอมรับ ในสิ่งที่ใครบางคนพูดไว้...
...แต่คุณต้องการค้นหา...
...จะต้องมีสิ่งที่จำเป็น อย่างเห็นได้ชัดบางอย่าง
จะต้องไม่มีอิทธิพลอำนาจเหนือ...
...มิฉะนั้น คุณก็จะขึ้นอยู่กับอำนาจนั้น
ใช่ไหม เห็นได้ชัดอยู่แล้ว
คุณถึงได้กระเสือกกระสนดิ้นรน เลียบแบบหรือยอมปรับตัวตาม
และจะต้องเข้าใจในธรรมชาติ ของการควบคุมบังคับ
ว่าผู้ควบคุมคืออะไร คือใคร คุณเข้าใจไหม
คุณเข้าใจตรงนี้ไหม
ผมสงสัยว่า คุณเข้าใจทั้งหมดนี้หรือไม่
ไม่เข้าใจหรือ
แล้วคุณสนใจเรื่องทั้งหมดนี้ไหม
เพราะมันเป็นชีวิตของคุณ ไม่ใช่ของผม
สิ่งที่เรากำลังพูดถึงกันคือ...
...ชีวิตของคุณในแต่ละวันทุกวัน ว่ามันเกี่ยวข้องอยู่กับอะไรบ้าง...
...ว่าเราจะเป็นอิสระจากความโกลาหล ความสับสน...
...และความระทมทุกข์ทั้งปวงนี้ ได้ไหม
นี่เป็นการสืบค้น คุณกำลังสืบค้น...
...มิใช่ผมสืบค้นแล้วคุณคอยยอมรับ
...แต่เรากำลังสืบค้นร่วมกัน
...เรากำลังเดินทางไปด้วยกัน
ดังนั้นประการแรก อย่างที่เราได้พูดว่า...
...ต้องไม่มีอิทธิพลอำนาจใดๆ เหนือเรา...
...นั่นหมายถึง ยุติการเป็นมนุษย์มือสอง
คุณเข้าใจไหม
พวกเราทุกคนเป็นมนุษย์มือสอง...
...เพราะการเป็นมนุษย์มือสอง คือการอยู่ในจารีต
เราไม่เคยเลยที่จะบอกว่า...
"ดูซิ ฉันได้ละทิ้งจารีต และสิ่งทั้งหมดนั้นแล้ว...
...ฉันจะดูให้เห็นด้วยตนเอง...
...ปัญหาต่อไปคือเรื่องการควบคุม ตั้งแต่วัยเยาว์เราถูกฝึกฝนมา...
...การศึกษาสอนเราให้ควบคุม กดข่มรำงับ...
...หรือทำอะไรที่สุดโต่ง ไปยังสิ่งตรงข้าม...
...นั่นคือ สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ขณะนี้
-นั่นคือทำตามอำเภอใจ ทำแต่เรื่องของคุณเอง
ซึ่งเป็นสิ่งที่ตรงกันข้าม กับการควบคุม
ดังนั้นเราต้องเข้าใจ ถึงกระบวนการทั้งหมดของการควบคุม
มีหรือวิถีแห่งชีวิต โปรดฟังตรงนี้...
...วิถีแห่งการดำรงชีวิต...
...ที่ไม่ต้องมีการควบคุมบังคับ ในลักษณะใดๆ เลยมีอยู่หรือ
อีกทั้ง มิได้หมายถึงการทำอะไรต่างๆ ตามอำเภอใจ...
...ไม่ใช่ทั้งการปล่อยเสรี หรือการหมกมุ่น
โปรดสืบค้นเข้าไปในเรื่องนี้...
...บางทีอาจจะเป็นเรื่องใหม่ สำหรับคุณ...
...เรื่องที่ว่าการดำรงชีวิต...
...ที่ไม่มีแม้เงาของการควบคุม บังคับ เป็นไปได้หรือ
ในการค้นหาเรื่องนี้ เราจำต้องถามว่าใครหรือคือผู้ควบคุม
ใช่ไหม
เรากำลังสืบค้นว่าสมาธิคืออะไร...
...เพราะบางที หากเราเข้าใจในธรรมชาติของสมาธิ...
...มิใช่ความหมายของคำ ความหมายของคำนั้นง่ายมาก...
...คือการใคร่ครวญ ตรึกตรอง สืบค้น และอะไรอื่นทำนองนั้น...
...แต่นอกเหนือจากเรื่องของถ้อยคำ ให้ค้นหาว่าสมาธิคืออะไร
บางทีในการสำรวจสืบค้นนี้ อาจจะมีการคลี่คลาย...
..และนำมาซึ่งชีวิตที่สุดแสนจะปรกติ สุดแสนจะมีเหตุมีผล...
...และบางทีอาจจะค้นพบบางสิ่ง ซึ่งไร้นาม ไร้กาลเวลา
เรากำลังมุ่งไปสู่ตรงนั้น
เอาล่ะ ใครคือผู้ควบคุมที่บอกว่า "ฉันต้องควบคุมความรู้สึกของฉัน"...
...หรือ "ฉันต้องปล่อยให้ความรู้สึก -ของฉันเลื่อนไหล"
...และอะไรทำนองนั้น...
...ใครคือตัวตน ผู้กล่าวว่า "ฉันต้องควบคุม"
คุณเข้าใจไหม มีการควบคุมและมีสิ่งที่ถูกควบคุม
มีผู้ควบคุมและสิ่งที่ถูกควบคุม
ดังนั้นจึงมีการแบ่งแยกเกิดขึ้น
แล้วใครกันหรือ คือผู้ควบคุมนี้
นั่นยังคงเป็นการเคลื่อนไหว ของความคิดมิใช่หรือ
ความคิดพูดขึ้นมาว่า กรุณาตามตรงนี้ให้ทัน...
..ความคิดพูดว่า"ฉันได้ประสบสิ่งนี้ ฉันได้เรียนรู้สิ่งนี้"...
...และอื่นๆ ทำนองนั้นทั้งหมด ซึ่งล้วนเป็นอดีต...
...ดังนั้นอดีตคือผู้ควบคุม
ใช่ไหม
และผู้ควบคุมต้องถูกควบคุม...
..สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้
ใช่ไหม คุณเข้าใจไหม
คุณตามทั้งหมดนี้ทันไหม
หรือคุณสัปหงกแล้ว (หัวเราะ)
Questioner: กำลังตามอยู่ครับ
Krishnamurti: โปรดทำลงไปจริงๆ ในขณะนี้
ผมมิได้พูดเพื่อผลประโยชน์ของผมเอง
ผมพูดมาแล้ว 52 ปี "พอแล้ว" สำหรับผม
ผมไม่ได้สนใจในการพูดอีก
ทว่าผมสนใจที่จะค้นหาว่า...
...คุณสามารถที่จะค้นพบ สิ่งเดียวกันนี้ได้หรือไม่...
...เพื่อที่ว่าชีวิตของคุณเอง จะแตกต่างไปโดยสิ้นเชิง...
...ชีวิตเปลี่ยนใหม่ทั้งหมด...
...แล้วคุณก็จะ ไม่มีปัญหาอีกต่อไป...
...ไม่มีความยุ่งเหยิง ซับซ้อน ไม่มีการดิ้นรน...
...ต้องต่อสู้ ไม่ถวิลหาสิ่งใดอีกต่อไป
นั่นคือเหตุผล ที่ผู้พูดยังพูดอยู่นี้...
...มิใช่พูด เพื่อความพึงพอใจของเขาเอง...
...มิใช่เพื่อความสนุกสนานหรือเพื่อ เติมเต็มความปรารถนาของเขาเอง...
...หรือเพื่อเรื่องเหลวไหลไร้สาระ ทั้งหลาย
เอาล่ะ ผู้ควบคุมคือผลของความคิด...
...ความคิดอยู่บนฐานของความรู้ ซึ่งคืออดีต
และความคิดนั้นก็บอกว่า...
..."ฉันต้องควบคุม สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้" ใช่ไหม
ควบคุมสิ่งที่เป็นจริง
สิ่งที่เป็นจริง คือสิ่งที่เป็นอยู่...
...ยกตัวอย่างเช่น ความอิจฉา หรือริษยา ซึ่งพวกคุณรู้จักอยู่แล้ว
แล้วความคิดก็บอกว่า "ฉันต้องควบคุม"
ฉันต้องวิเคราะห์ ฉันต้องระงับหรือเติมมันให้เต็ม
จึงเกิดการแบ่งแยกขึ้น การแบ่งแยก จึงถูกสร้างขึ้นโดยความคิด
คุณตามทันไหม
ดังนั้นในกระบวนการนี้มีสิ่งหลอกลวง
ใช่หรือไม่
สิ่งหลอกลวงอยู่ที่ความคิดที่ว่า...
...ผู้ควบคุมแยกแตกต่าง จากสิ่งที่จะถูกควบคุม
ซึ่งทั้งคู่ถูกสร้างขึ้นโดยความคิด
ใช่ไหม
ดังนั้นผู้ควบคุม คือสิ่งที่ถูกควบคุม
ผมสงสัยว่าคุณเข้าใจตรงนี้หรือเปล่า
ถูกต้องไหม
หากคุณเข้าใจ เรื่องนี้อย่างแท้จริง...
...สืบค้นเข้าไปในสิ่งนี้ ด้วยตนเองอย่างจริงจัง...
...คุณจะเห็นว่า ไม่จำเป็นต้องมีผู้ควบคุม
การสังเกตเท่านั้นที่จำเป็น
คุณเข้าใจไหม
เมื่อคุณสังเกตจะไม่มีผู้ควบคุม หรือสิ่งที่ถูกควบคุม...
...มีเพียงแค่การสังเกต
ตัวอย่างเช่น สังเกตดูความอิจฉาของคุณ...
...สังเกตโดยปราศจาก การเรียกชื่อมัน...
...ปราศจากการปฏิเสธ หรือยอมรับมัน...
...เพียงแค่เห็น...
...เห็นกระแสความรู้สึก หรือปฏิกิริยาตอบสนองที่เกิดขึ้น...
...ที่ถูกเรียกว่า ความอิจฉา และมองดูมันโดยปราศจากถ้อยคำใด
คุณเข้าใจทั้งหมดนี้ไหม
เมื่อไร้ถ้อยคำใดๆ...
...เพราะถ้อยคำแสดงถึงอดีต คุณเข้าใจทั้งหมดนี้ไหม
...ฉะนั้น เมื่อคุณใช้คำว่า "อิจฉา" จึงเป็นการทำให้อดีตมีกำลังมากขึ้น
ใช่ไหม
มันเป็นไปได้ที่จะดำเนินชีวิต โดยไม่มีความรู้สึกใดๆ ของการควบคุม
สิ่งที่ผมพูดนี้...
...มิใช่พูดอย่างเป็นทฤษฏี แต่พูดสิ่งที่เป็นจริง
ผู้พูดพูดแต่สิ่งที่ เขาได้ทำมาแล้ว...
...มิใช่สิ่งที่เขาคิดค้นขึ้นว่า การดำเนินชีวิต...
...โดยไม่มีความรู้สึกใดๆ ของการควบคุมนั้นมีอยู่จริง...
...ฉะนั้นจึงไม่มีความรู้สึกขัดแย้ง และความรู้สึกแบ่งแยกใดๆ
ภาวะนั้นจะเกิดขึ้นได้ เมื่อมีการสังเกตที่บริสุทธิ์เท่านั้น
เข้าใจหรือยังครับ ลองดูแล้วคุณจะเห็นเอง
ทำนะ ลองทำดู
เมื่อไม่มีความขัดแย้ง ไม่ว่าในเรื่องใดๆ ก็ตาม...
...จะเกิดอะไรขึ้นในจิตใจ
คุณเข้าใจไหม
ความขัดแย้งบ่งบอกถึงการเคลื่อนไหว
ใช่หรือไม่
การเคลื่อนไหวก็คือกาลเวลา
ใช่ไหม
จากตรงนี้ไปยัง ณ ตรงนั้น...
...หมายถึงกาลเวลา ทั้งในแง่ทางกายภาพและในแง่ทางจิตใจ
นั่นคือการเคลื่อนจากศูนย์กลางหนึ่ง ไปยังอีกศูนย์กลางหนึ่ง...
...หรือการเคลื่อนจากรอบวงหนึ่ง ไปยังอีกรอบวงหนึ่ง คุณตามทันไหม
การเคลื่อนอันไม่มีที่สิ้นสุดนี้ มีอยู่ในเราทุกคน
หากคุณสังเกตกระแสการเคลื่อนที่นี้ อย่างระมัดระวังยิ่ง...
...ในขณะที่คุณสังเกตอยู่นั้น อะไรเกิดขึ้นในจิตใจ
คุณเข้าใจทั้งหมดนี้ไหม
ประการแรก คุณมีความเข้าใจด้วยตนเอง โดยไม่พึ่งพิงอะไรเลย...
...เข้าใจในธรรมชาติของความคิด...
...เข้าใจว่าความคิดจำกัดคับแคบ และมาจากความรู้ที่เก็บไว้ในสมอง
...เป็นความทรงจำ...
...แล้วความทรงจำนั้นก็แสดงออกมา เป็นความคิดที่เคลื่อนไหวปฏิบัติการ
ดังนั้น ความรู้จึงเป็นส่วนหนึ่ง ของความไม่รู้เสมอ
ใช่หรือไม่ เราสืบค้นในเรื่องนั้นแล้ว
ดังนั้น อะไรที่เกิดขึ้นในจิตใจ
คุณเข้าใจไหม
จิตใจ ดังที่เรา ได้สืบค้นกันไปแล้ว...
...จิตมิใช่เป็นแค่เพียงความสามารถ ที่จะคิดได้อย่างชัดเจน...
...โปร่งใส ไม่มีอคติ ไม่ทำให้เป็นเรื่องส่วนบุคคล...
...จิตยังรวมถึงสิ่งทั้งหลาย ที่ความคิดสรรค์สร้างขึ้นทางเทคโนโลยี..
...และสิ่งอื่นๆ ในโลกทั้งหมด...
...และความคิดยังเป็นตัวสร้างปัญหา ภายในใจทั้งหมด
ใช่ไหม
เมื่อเราสังเกตสิ่งนี้ทั้งหมด จิตจะมีความสามารถที่จะกระทำ
...แต่ไม่ใช่กระทำจากความคิด...
...หากเป็นการกระทำ จากการสังเกตอันบริสุทธิ์
คุณเข้าใจหรือยัง
ผมอยากรู้ว่า คุณเข้าใจทั้งหมดนี้ไหม
ได้โปรดเถิดครับ ทั้งหมดนี้ล้วนมีเหตุมีผล...
...มิใช่เรื่องที่แยกย่อย ออกมาเป็นนิกาย...
...มิใช่แนวปรัชญาตะวันออก มิใช่อะไรทำนองทั้งสิ้น
แม้ว่าผู้พูดจะเกิดในประเทศ ที่ชื่อว่า อินเดีย...
...ทว่าเขาไม่ใช่คนอินเดีย
เขาแค่มีหนังสือเดินทาง ของอินเดียก็เท่านั้น
ดังนั้น เขาไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง ในเรื่องประหลาดมหัศจรรย์...
..เรื่องเพ้อฝัน ไร้สาระ หรือปรัชญา ที่แปลกประหลาด และอะไรเทือกนั้น
เราเพียงตรวจสอบดูว่า อะไรกำลังเกิดขึ้น
ในการสังเกตดูสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น เราจำต้องมองดู...
...โดยไม่มีอดีต ตอบสนองปั้นแต่งสิ่งที่สังเกต
จากการสังเกตบริสุทธิ์นั้น จะเกิดปฏิบัติการ
นั่นคือปรีชาญาณ
คือสิ่งที่สุดแสนพิเศษที่เรียกว่า ความรักและความเมตตาการุณย์
เมื่อจิตมีคุณภาวะของปรีชาญาณนี้ โดยธรรมชาติปรีชาญาณนี้มีความรัก...
...ความเมตตากรุณาไปด้วยกัน โดยธรรมชาติ
ความรัก มิใช่เป็นเพียงเรื่องกามารมณ์...
...เห็นแก่พระเจ้าเถิดกรุณาปัด เรื่องพรรค์นั้นออกไปให้หมด...
ความรักเป็นอะไรอื่น...
..ที่อยู่นอกเหนือไปจากเพียงเรื่อง ของความรู้สึกทางอินทรีย์สัมผัส..
...ความรักไม่เกี่ยวพัน ใดๆ กันเลย...
...กับความต้องการและการเติมเต็ม ความปรารถนาทั้งหมดของเรา
ดังนั้น จิตในขณะนี้มีคุณภาวะนี้ มีความมั่นคง
มั่นคงดั่งหินผา ยืนอยู่ท่ามกลางกระแสน้ำ...
...ท่ามกลางแม่น้ำ มีเสถียรภาพที่ไม่หวั่นไหว
เป็นทุกสิ่งทุกอย่าง... คุณเข้าใจไหม
ดังนั้น จิตเยี่ยงนั้น...
...เพราะมันเข้าใจในความสัมพันธ์ ระหว่างกันและกัน...
...เราสืบค้นในเรื่องนั้นแล้วว่า...
...ความสัมพันธ์ที่มิได้อยู่บน พื้นฐานของมโนภาพ...
...คุณเข้าใจไหม คุณมีมโนภาพเกี่ยวกับผม...
...และผมก็มีมโนภาพเกี่ยวกับเธอ...
...สัมพันธภาพของเราเป็นเช่นนั้น...
...เป็นความสัมพันธ์ระหว่าง มโนภาพกับมโนภาพ
คุณทราบดี ถึงสิ่งทั้งหมดนี้ มิใช่หรือ
ฉะนั้น จึงไม่มีความสัมพันธ์ที่จริงแท้
อาจจะมีความสัมพันธ์อยู่บ้าง ทางการสัมผัสและทางโสตสัมผัส...
...ทว่านั่นมิใช่ความสัมพันธ์ อันลึกซึ้ง ลึกซึ้งระหว่างกันจริงๆ
หากไม่มีความสัมพันธ์อันลึกซึ้งนั้น ความขัดแย้งย่อมเกิดขึ้น...
...และจากความขัดแย้งนั้น เราสร้างสังคมนี้ขึ้น...
...ซึ่งเป็นสังคมที่ไร้คุณธรรม...
...รุนแรง เต็มไปด้วย การเข่นฆ่ากันเป็นที่สุด
ดังนั้น ขณะนี้เมื่อจิตมีคุณภาวะ ของความมั่นคงอันยิ่ง
และอะไรก็ตามที่เสถียร ย่อมเงียบสงบ
ใช่หรือไม่
คุณเข้าใจทั้งหมดนี้ไหม
คุณเคยตรวจสอบเรื่องนี้ไหม คุณเข้าใจไหม
เข้าใจชัดเจนเป็นที่สุด...
...มีความกระจ่างแจ้ง ที่สามารถจะตรวจสอบปัญหาใดก็ได้
ความกระจ่างแจ้ง นั่นคือ เสถียรภาวะ
คุณเข้าใจไหม
จิตที่สับสน มีความไม่ลงรอยกัน แตกแยกออกจากกันเท่านั้น...
...ที่ไม่มั่นคง จิตที่ประสาท จิตที่เสาะแสวงหา ดิ้นรน ต่อสู้
ฉะนั้น เรามาถึงจุดที่จิต มีความกระจ่างชัดอย่างเต็มที่...
...ดังนั้น จึงนิ่งไม่หวั่นไหวอย่างสิ้นเชิง
คุณเข้าใจไหม
เป็นการนิ่งไม่เคลื่อนไหว...
...ที่มิใช่การหยุดนิ่งเยี่ยงขุนเขา ทว่าเป็นความไม่หวั่นไหว...
...เพราะจิตนั้นไม่มีปัญหาใดๆ โดยสิ้นเชิง...
...ดังนั้นจึงเกิดเสถียรภาพ...
...และยืดหยุ่นรับรู้ได้ว่องไว อย่างยิ่งยวดเกินธรรมดา
ใช่ไหม
จิตเยี่ยงนั้นเงียบสงบ
และคุณจำเป็นต้องมี จิตที่เงียบสงบอย่างถึงที่สุด...
...สงัดเงียบโดยสิ้นเชิง มิใช่เงียบสงบภายใต้เงื่อนไขใดๆ
เช่น เมื่อคุณออกไปเดินเล่น ในพงไพรยามเย็น...
...จะมีความเงียบอันไพศาล...
...เมื่อหมู่นกกา ล้วนกลับสู่รังรอน...
...สายลมและเสียงกระซิบ ของใบไม้ต่างสงัดลง...
...และมีความนิ่งเงียบอย่างยิ่ง เป็นความนิ่งเงียบของโลกภายนอก
ผู้คนสังเกตเห็นความนิ่งเงียบนั้น แล้วบอกว่า...
"ฉันต้องมีความนิ่งเงียบ เยี่ยงนั้น"...
...แล้วจึงพึ่งพา ติดอยู่กับความนิ่งเงียบ...
...ของการอยู่โดดเดี่ยวตามลำพัง...
...คุณเข้าใจไหม อยู่อย่างเงียบเชียบโดดเดี่ยว
ทว่านั่นมิใช่ความเงียบสงบที่พูดถึง
และยังมีความนิ่ง ที่สร้างขึ้นโดยความคิด
ความคิดซึ่งบอกว่า "ฉันต้องนิ่ง ฉันต้องเงียบสงบ...
..."ฉันต้องไม่พูดจ้อ คิดจ้อ" แล้วมันก็ค่อยๆ ทำให้เกิดความนิ่ง
ทว่านั่นมิใช่ ความเงียบสงบที่กล่าวถึง...
...หากเป็นเพียงผลพวงของความคิด ที่กระทำต่อโสตเสียง
ถูกต้องไหม
เรากำลังพูดถึง ความเงียบสงบ ที่มิได้ขึ้นอยู่กับอะไรทั้งสิ้น
คุณภาวะแห่งจิต ที่เงียบสงบเยี่ยงนี้เท่านั้น...
...ความเงียบอย่างถึงที่สุดนี้ เท่านั้น...
...ที่สามารถรับรู้ภาวะอันเป็นนิรันดร์ ไร้กาล ไร้ชื่อได้
นี่คือ สมาธิ
ใช่ไหม
เอาล่ะ จบแล้ว
จบแล้ว