Tip:
Highlight text to annotate it
X
Translator: yamela areesamarn Reviewer: Chana Chananukul
ผมได้เริ่มต้น
งานเขียนและงานวิจัย
ในฐานะแพทย์ผ่าตัดฝึกงาน
ในฐานะเป็นคนหนึ่งซึ่งยังอยู่ห่างไกล
จากการเป็นผู้เชี่ยวชาญอย่างใดอย่างหนึ่ง
ดังนั้นคำถามธรรมดาๆที่คุณจะถามที่จุดนั้น
ก็คือ ผมจะทำให้ดีได้อย่างไร กับสิ่งที่ผมกำลังพยายามอยู่
และมันก็เลยมาถึงคำถามว่า
เราทุกคนจะทำให้ดีได้อย่างไร
กับสิ่งที่เรากำลังพยายามทำอยู่
มันยากพออยู่แล้ว ที่จะเรียนรู้ให้ได้ความชำนาญ
พยายามเรียนรู้ทุกอย่างที่เราจะซึมซับได้
กับงานอะไรก็ได้ที่เรากำลังทำ
ตอนนั้นผมต้องคิดถึง เรื่องที่ผมจะเย็บแผลและผ่าอย่างไร
แต่ก็ต้องคิดถึงด้วยว่า จะเลือกคนที่เหมาะสม
ให้มาอยู่ในห้องผ่าตัดได้อย่างไร
และในท่ามกลางทุกอย่างที่กล่าวไปแล้วนี้
สิ่งใหม่ที่ต้องนำมาคิดด้วย
คือต้องคิดถึงว่า ที่ว่าทำให้ดีนั้นหมายถึงอะไร
เมื่อสองสามปีที่แล้ว
เราตระหนักว่าเราได้ตกลงไปในวิกฤติที่ลึกลํ้าที่สุด
ทางการแพทย์ที่เป็นอยู่
เนื่องมาจากบางอย่าง ที่โดยปกติคุณมักไม่ได้คำนึงถึงกัน
เมื่อคุณเป็นแพทย์
ความสนใจว่า คุณทำดีเพื่อคนอื่นได้อย่างไร
ซึ่งเป็นผลพวง
ของการรักษาพยาบาล
ไม่มีประเทศใดเลยในโลก
ที่ปัจจุบันกำลังตั้งคำถาม
ว่าเรามีเงินพอจ่ายในสิ่งที่แพทย์ทำหรือไม่
การต่อสู้ทางการเมืองที่เราได้พัฒนาขึ้น
ได้กลายเป็นเรื่องที่วนอยู่กับที่
ว่าปัญหาอยู่ที่รัฐบาลหรือไม่
หรือปัญหาอยู่ที่บริษัทประกัน
และคำตอบก็เป็นได้ทั้งใช่ และไม่ใช่
มันอยู่ลึกลํ้ากว่าทั้งหมดนั้น
สาเหตุของความยากลำบากของเรา
จริงๆคือความซับซ้อนที่วิทยาศาสตร์ได้ให้กับเรา
และเพื่อให้เข้าใจเรื่องนี้
ผมจะนำคุณย้อนหลังกลับไปสองชั่วอายุคน
ผมต้องการนำคุณกลับไป
ยังอดีตที่ลูวิส ทอมัส เขียนในหนังสือของเขาชื่อว่า "วิทยาศาสตร์ที่อายุน้อยที่สุด"
ลูอิส ทอมัส เป็นนักเขียนและนักฟิสิก
เป็นนักเขียนที่ผมชื่นชอบคนหนึ่ง
และเขาเขียนหนังสือเล่มนี้ขึ้นเพื่ออธิบายสิ่งต่างๆ และอย่างหนึ่งก็เพื่ออธิบาย
ว่าการเป็นนักศึกษาแพทย์ฝึกหัดนั้นเป็นอย่างไร
ที่โรงพยาบาลนครบอสตัน
ในยุคก่อนที่จะมีเพ็นนิซิลิน
ปี 1937
เป็นช่วงเวลาที่ยาราคาถูก
และไม่มีประสิทธิภาพอย่างมากๆ
เขากล่าวว่า ถ้าคุณอยู่ในโรงพยาบาล
โรงพยาบาลจะสำหรับคุณ
เพราะเหตุผลเดียวคือ
ให้ความอบอุ่น อาหาร ที่พัก
และอาจจะมีการดูแลเอาใจใส่
จากพยาบาล
แพทย์และยา
ไม่ได้ทำให้เกิดความแตกต่างแต่อย่างใดเลย
แต่นั่นไม่ได้ดูเหมือนจะป้องกันแพทย์
จากการมีธุระยุ่งวุ่นวายในแต่ละวัน
ตามที่เขาได้อธิบายไว้
สิ่งที่แพทย์ทั้งหลายพยายามทำ
ก็คือ หาให้พบว่า คุณน่าจะเป็นโรคใดโรคหนึ่ง ตามอาการที่วินิจฉัยได้
ซึ่งทำให้พวกแพทย์ทำอะไรบางอย่างได้
ซึ่งก็มีเพียงไม่กี่อย่าง
ตังอย่างเช่น คุณอาจเป็นโรคปอดบวม
และพวกแพทย์ก็จะฉีดเซรุ่มให้ (antiserum)
ฉีดเซรุ่มที่ทำให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกัน
เชื้อแบคทีเรียสเตรปโตคอคคัส (streptococcus)
ถ้าแพทย์ฝึกหัดแยกชนิดของเชื้อได้อย่างถูกต้อง
แต่ถ้าคุณเป็นโรคหัวใจล้มเหลวรุนแรงจากการคั่งของเลือด
แพทย์ก็อาจจะเอาเลือดออกมา
ด้วยการเจาะเส้นเลือดที่แขนคุณ
จัดสมุนไพรที่เป็นยาดิจิทาลิส (digitalis)ให้คุณ
แล้วก็ให้อ๊อกซิเจนแบบกระโจมกับคุณ
ถ้าคุณมีอาการเริ่มต้นของอัมพาต
และถ้าคุณเก่งมากเรื่องตั้งคำถามเรื่องส่วนตัว
คุณอาจจะคิดออก
ว่าอัมพาตที่คนๆนี้เป็น มาจากโรคซิฟิลิส
ในกรณีนี้คุณสามารถให้ยาดีที่ผสมจาก
ปรอทและสารหนู--
ตราบใดที่คุณไม่ได้ให้ยาเกินขนาด และทำให้เขาตาย
นอกเหนือจากสิ่งหล่านี้แล้ว
แพทย์ไม่ได้มียามากมายอะไรที่จะสามารถใช้ได้
นี้คือแก่นโครงสร้างสำคัญของการแพทย์
ที่ได้ถูกสร้างขึ้นมาในอดีต--
สิ่งที่หมายถึง ทำได้ดีในสิ่งที่เราทำ
และที่เราต้องการสร้างให้การแพทย์เป็น
ตอนนั้นเป็นเวลาที่
เมื่อสิ่งที่รู้กันแล้ว คุณก็สามารถรู้ได้
ถ้าคุณเก็บความรู้ทั้งหมดไว้ในหัวได้ และคุณก็ทำได้หมดทุกอย่าง
ถ้าคุณมีใบสั่งยา
ถ้าคุณมีพยาบาล
ถ้าคุณมีโรงพยาบาล
ที่จะให้คุณได้พักฟื้น หรือเครื่องมือพื้นฐานบางอย่าง
คุณก็จะทำทุกอย่างได้จริง
คุณทำให้กระดูกที่แตกเข้าที่ คุณเจาะเลือดออกมา
คุณเอาเลือดไปปั่น
ส่องดูเลือดนั้นด้วยกล้องจุลทัศน์
คุณเพาะเชื้อในจาน คุณฉีดเซรุ่ม
นี่แหละคือชีวิตของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในอดีต
ผลก็คือ เราได้สร้างมันขึ้นมา
เป็นวัฒนธรรมและตั้งค่านิยมให้มัน
ที่กล่าวว่า สิ่งที่คุณทำได้ดีนั้น
คือความกล้าเสี่ยง
ความกล้าหาญ
ความเป็นอิสระ และการพึ่งพาตนเอง
ความเป็นอิสระเป็นค่านิยมสูงสุดของเราในอดีต
แต่ต่อจากนั้นอีกสองชั่วอายุคน
มาถึงที่เราเป็นอยู่ในปัจจุบัน
ดูเหมือนมันจะเปลี่ยนไปสิ้นเชิงเป็นคนละโลก
ปัจจุบันเราพบวิธีการใหม่ๆในการรักษา
เกือบทั้งหมดหลายหมื่นหลายพันของอาการ
ที่มนุษย์คนหนึ่งจะเป็นได้
เราไม่สามารถรักษาให้หายได้ทั้งหมด
เราประกันไม่ได้ว่า ทุกคนจะมีชีวิตที่ยืนยาวและมีสุขภาพดี
แต่เราทำให้เป็นไปได้
เป็นส่วนมาก
แต่มันเกิดผลเสียอะไร
ปัจจุบันเราได้คันพบ
วิธีทางการแพทย์และศัลยกรรม 4,000 วิธี
เราได้ค้นพบตัวยา 6,000 ชนิด
ที่ผมมีสิทธิที่จะสั่งให้คนไข้
และเรากำลังพยายามใช้ยาที่มีอยู่นี้
เมืองแล้วเมืองเล่า
กับคนทุกคนที่มีชีวิตอยู่--
ในประเทศของเราเอง
ไม่เว้นแม้แต่รอบโลก
และเราก็ได้ถึงจุดที่เราได้ตระหนักว่า
ในฐานะแพทย์
เราไม่ได้รู้ไปหมดทุกอย่าง
เราไม่สามารถทำได้หมดทุกอย่าง
ด้วยตัวเราเอง
ได้มีงานวิจัยที่หาคำตอบว่า
มีแพทย์กี่คนที่ให้การรักษาคุณ
เมื่อคุณมาโรงพยาบาล
เมื่อเวลามันเปลี่ยนไป
พบว่าในปี 1970
ใช้เวลาแค่สองวันทำงานเต็ม ของเจ้าหน้าของสถานพยาบาล
นั่นก็คือ
ได้ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปในการให้การพยาบาล
และเวลาแค่เพียงเล็กน้อยของแพทย์
ที่มาตรวจดูคุณไม่มากก็น้อย
วันละครั้ง
แต่เมื่อปลายศตวรรษที่ 20
เปลี่ยนเป็นใช้บุคลากรทางการแพทย์มากกว่า 15 คน
สำหรับคนไข้แบบเดียวกัน--
ได้แก่ ผู้เชี่ยวชาญ แพทย์เฉพาะทาง
และ พยาบาล
ปัจจุบันเราทุกคนเป็นผู้เชี่ยวชาญ
แม้แต่แพทย์ประจำผู้ให้การรักษา
ทุกคนเพียงแค่มี
ส่วนหนึ่งในการให้การรักษา
แต่ถ้ายึดถือโครงสร้างที่เราได้สร้างกันมาในอดีต
โดยถือเอา ความกล้าเสี่ยง ความเป็นอิสระ
การพึ่งพาตนเอง
ของแพทย์เหล่านั้น
ก็จะกลายเป็นความหายนะ
เราได้ฝึก จ้าง และให้รางวัลแก่คน
เพื่อให้เขามาเป็นคนเลี้ยงวัว
แต่ผู้มีส่วนร่วมรับผิดชอบงานต่างหาก ที่เราต้องการ
ผู้มีส่วนร่วมรับผิดชอบงานสำหรับคนป่วย
มีหลักฐานอยู่รอบตัวเรา
ร้อยละ 40 ของคนไข้ที่เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ
ในชุมชนของเรา
ได้รับการรักษาที่ไม่สมบูรณ์หรือไม่เหมาะสม
ร้อยละ 60
ของคนไข้ที่เป็นโรคหอบหืด โรคหลอดเลือดสมอง
ได้รับการดูแลรักษาไม่สมบูรณ์หรือไม่เหมาะสม
คนสองล้านคนมาโรงพยาบาล
และมาติดเชื้อ
ที่เขาไม่เคยเป็น
เพราะมีคนที่ไม่ได้ทำตาม
ระเบียบการปฏิบัติตามสุขอนามัยพื้นฐาน
จากประสบการณ์ของเรา
เมื่อคนที่มีอาการเจ็บป่วย
ต้องการความช่วยเหลือจากผู้อื่น
เรามีบุคลากรทางการแพทย์ที่น่าทึ่ง
ที่เราจะไปหา--
เขาทำงานหนัก ได้รับการฝึกมาดีอย่างไม่น่าเชื่อ และฉลาดอย่างมากๆ
ที่เราได้เข้าถึงเทคโนโลยี่ที่ดีอย่างเหลือเชื่อ
ซึ่งให้ดวามหวังอย่างสูงแก่เรา
แต่ดูไม่สมเหตุสมผล
ที่ทั้งหมดนี้เข้ามาพร้อมกันอย่างต่อเนื่องเพื่อคุณ
ตั้งแต่เริ่มต้นจนจบ
ในแบบที่ประสบความสำเร็จ
ยังมีสัญญานอีกอย่างหนึ่ง
ที่บอกว่าเราต้องการผู้มีส่วนร่วมรับผิดชอบงาน
และสิ่งนั้นคือค่าใช้จ่ายที่ไม่สามารถรับมือได้
ของการรักษาพยาบาล
ผมคิดว่า เดี๋ยวนี้เราอยู่ในการแพทย์ที่
เราปวดหัวงุนงงกับปัญหาเรื่องค่าใช้จ่ายนี้
เราต้องการจะบอกว่า "มันก็เป็นอย่างนี้แหละ
นี่ก็เป็นแค่เพียง สิ่งที่การแพทย์ต้องการ"
เมื่อเรามาจากโลกหนึ่ง
ที่คุณรักษาโรคไขข้ออักเสบด้วยยาแอสไพริน
ซึ่งส่วนใหญ่แล้วไม่ได้ช่วยอะไร
กับผู้ป่วย ถ้าอาการของโรคแย่แล้ว
เราสามารถเปลี่ยนสะโพก เปลี่ยนหัวเข่า
ซึ่งให้คุณใช้ได้เป็นหลายๆปี หรืออาจจะเป็นหลายสิบปี
โดยไม่มีการพิกลพิการใดๆ
เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ยอดเยี่ยม
เอาละ จะแปลกใจหรือไม่
ว่า การเปลี่ยนสะโพกด้วยราคาสี่หมื่นดอลล่าร์
แทนการใช้แอสไพรินราคาสิบเซ็นต์
แพงกว่ากันไหม
มันก็เป็นอย่างนี้แหละ
แต่ผมคิดว่า เราเพิกเฉยกับความเป็นจริงบางอย่าง
ซึ่งบอกเราบางอย่าง เกี่ยวกับสิ่งที่เราสามารถทำได้
เมื่อเราหันมาดูข้อมูล
เกี่ยวกับผลการรักษาที่เกิดขึ้น
เมื่อความซับซ้อนของปัญหาได้เพิ่มขึ้น
เราก็พบ
ว่าการรักษาพยาบาลที่แพงมากที่สุด
ไม่จำเป็นต้องเป็นการรักษาที่ดีที่สุด
และในทางกลับกัน
การรักษาที่ดีที่สุด
บ่อยครั้งที่กลายเป็นการรักษาที่แพงน้อยที่สุด--
มีผลข้างเคียงที่น้อยกว่า
คนก็มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นจากสิ่งที่เขาทำ
และนั่นก็หมายถึง
ว่ายังมีความหวัง
แต่ถ้าจะให้เกิดผลการรักษาที่ดีที่สุด
และคุณจำต้องรับการรักษาที่แพงที่สุดจริงๆแล้ว
ในประเทศ หรือในโลก
เห็นว่า จริงๆเราคงจะมาพูดคุยกัน เกี่ยวกับการปันส่วน
ใครบ้างที่เราจะตัดออก จากการประกันสุขภาพของรัฐบาล
ซึ่งนั่นอาจจะเป็นทางเลือกอย่างเดียวของเรา
แต่เมื่อเราหันมาดูผลดีที่เกิดจากการกระทำนี้--
คนที่จะได้ผลการรักษาที่ดีที่สุด
ด้วยค่าใช้จ่ายที่ตํ่าสุด--
เราพบว่าคนที่ใช้ระบบที่เขาชอบมากที่สุด
จะประสบความสำเร็จสูงสุด
นั่นก็คือ พวกเขาพบวิธีการ
ที่นำเอาส่วนต่างๆทั้งหมด
ส่วนประกอบต่างๆทั้งหลาย
เอามารวมกันเป็นวิธีที่สมบูรณ์
แต่มีส่วนประกอบต่างๆที่ดีเยี่ยม ก็ยังไม่พอ
แต่เรายังคงหมกมุ่นกับการแพทย์ ที่มีส่วนประกอบต่างๆ
เราต้องการยาที่ดีที่สุด เทคโนโลยี่ที่ดีที่สุด
ผู้เชี่ยวชาญที่ดีที่สุด
แต่เราไม่ได้คิดให้มากเกินไป
เรื่องที่ว่ามันจะมารวมกันได้อย่างไร
จริงๆมันเป็นวิธีการที่แย่มาก
มีการทดลองเรื่องความคิด ที่มีชื่อเสียงอยู่เรื่องหนึ่ง
ที่เข้ากับเรื่องนี้พอดี
ที่บอกว่า อะไรจะเกิดขึ้น ถ้าเราสร้างรถยนต์ขึ้นมาคันหนึ่ง
จากชิ้นส่วนต่างๆที่ดีที่สุดของรถยนต์
ก็จะเป็นอย่างนี้ เอาเบรคของรถปอร์เช่มาใส่
เอาเครื่องยนต์ของเฟอร์รารี่มา
เอาตัวถังของวอลโว้ เอาฐานล่างของ BMW
เมื่อคุณเอาส่วนต่างๆเหล่านั้นมาใส่เข้าด้วยกัน คุณจะได้อะไร
กองขยะที่แพงมากๆที่วิ่งไปไหนไม่ได้
และนั่นก็เป็นความรู้สึกแบบเดียวกับการแพทย์ในบางครั้ง
มันไม่ได้เป็นระบบ
อย่างไรก็ตาม เรื่องของระบบ
เมื่อสิ่งต่างๆเริ่มเข้ามารวมกัน
คุณก็จะรู้ได้ว่า มันมีความชำนาญอยู่
ที่จะปฏิบัติงานและไปในทางที่ต้องการนั้น
ทักษะความชำนาญหมายเลขหนึ่ง
คือความสามารถในการยอมรับความสำเร็จ
และความสามารถในการยอมรับความล้มเหลว
เมื่อคุณเป็นผู้เชี่ยวชาญ
คุณจะไม่เห็นผลท้ายสุดที่จะได้ อย่างชัดเจนมาก
คุณต้องหันมาให้ความสนใจอย่างจริงจังกับข้อมูล
ฟังดูไม่น่าจะตื่นเต้นเท่าใดนัก
เพื่อนร่วมงานของผมคนหนึ่งเป็นศัลยแพทย์ที่ ซีดาร์ แรพิดส์ (Cedar Rapids) รัฐไอไอว่า
และเขาสนใจในคำถามที่ว่า
พวกแพทย์ได้สั่งให้ทำเอ็กซ์เรย์คอมพิวเตอร์ (CT scans) ไปกี่ครั้งแล้ว
สำหรับชุมขนซีด้าร์แรพิดส์นี้
เขาสนใจเรื่องนี้
ก็เพราะว่าได้มีรายงานของรัฐบาล
รายงานข่าวจากหนังสือพิมพ์ บทความในวารสาร
กล่าวว่าได้มีการทำเอ็กซ์เรย์คอมพิวเตอร์มากเกินไป
เขาไม่เห็นมีในคนไข้ของเขาเอง
ดังนั้นเขาจึงตั้งคำถามว่า "เราทำไปกี่ครั้งแล้ว"
และเขาต้องการได้ข้อมูลนั้น
เขาใช้เวลาสามเดือน
ไม่เคยมีใครตั้งคำถามนี้ในชุมชนของเขามาก่อน
และสิ่งที่เขาค้นพบก็คือ
คนในชุมชน 300,000คน
ในปีก่อนหน้านี้
มี 52,000 คนได้ทำเอ็กซ์เรย์คอมพิวเตอร์
พวกเขาได้พบปัญหาแล้ว
ซึ่งนำเราไปสู่ทักษะหมายเลขสองของระบบ
ทักษะแรก หาให้พบว่าความล้มเหลวของคุณอยู่ตรงไหน
ทักษะสองคือ หาวิธีแก้ปัญหา
ผมสนใจเรื่องนี้
เมื่อองค์การอนามัยโลก (World Health Organization) มาอยู่ในทีมงานของผม
ขอร้องว่า เราจะช่วยโครงการหนึ่งได้ไหม
เพื่อลดการเสียชีวิตจากการผ่าตัด
ปริมาณของการผ่าตัดได้แผ่ขยาย
ไปรอบโลก
แต่ความปลอดภัยจากการผ่าตัด
ไม่ได้แผ่ขยายออกไป
ปัจจุบันวิธีปกติของเรา เพื่อจัดการกับปัญหาเช่นนี้
ก็คือการฝึกให้มากขึ้น
เพื่อให้คนมีความเชี่ยวชาญพิเศษมากขึ้น
หรือนำเอาเทคโนโลยี่มาใช้มากขึ้น
ในเรื่องศัลยกรรม คุณไม่สามารถมี คนที่มีความชำนาญพิเศษเพิ่มขึ้น
และคุณไม่สามารถมีคนที่ได้รับการฝึกมาอย่างดีขึ้น
แต่แล้วเราเห็นระดับความไร้จิตสำนึก
เรื่องความตาย ความพิการ
ซึ่งเราสามารถหลีกเลี่ยงได้
ดังนั้นเราจึงหันมาดู สิ่งที่อุตสาหกรรมที่มีความเสี่ยงสูงอื่นๆทำ
เราดูการก่อสร้างตึกระฟ้า
เราดูโลกของการบิน
และเราก็พบ
ว่าพวกเขามีเทคโนโลยี่ พวกเขามีการฝึก
แล้วยังมีอีกสิ่งหนึ่ง
พวกเขามีรายการตรวจสอบ (checklist)
แต่ก่อนผมไม่ได้คาดหวัง
ให้ใช้เวลาส่วนใหญ่
ของผมในฐานะเป็นศัลยแพทย์ฮาร์วาร์ด
มาเป็นกังวลกับรายการตรวจสอบ
แต่แล้ว สิ่งที่เราพบ
ก็คือ สิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องมือ
ที่ช่วยทำให้ผู้เชี่ยวชาญดีขึ้น
เราได้วิศวกรด้านความปลอดภัยชั้นนำจาก โบอิ้ง (Boeing) มาช่วยเรา
คุณช่วยออกแบบรายการตรวจสอบสำหรับศัลยแพทย์ให้ด้วย
ไม่ใช่สำหรับคนที่อยู่ในระดับตํ่าสุด
แต่สำหรับคนทั่วไป
ซึ่งอยู่ตลอดทางรอบๆสายงาน
ทีมทั้งหมดรวมทั้งศัลยแพทย์
และสิ่งที่พวกเขาสอนเรา
ก็คือ การออกแบบรายการตรวจสอบ
เพื่อช่วยให้คนจัดการกับเรื่องที่ซับซ้อน
จริงๆแล้วมันยากมากกว่าที่ผมเคยเข้าใจ
คุณต้องคิดถึงสิ่งต่างๆ
เช่น จุดที่ต้องหยุดเช็ค (pause points)
คุณจำเป็นต้องระบุว่าเมื่อใดในกระบวนการ
ที่คุณสามารถเห็นปัญหาได้ ก่อนที่มันจะเป็นอันตราย
และจัดการบางอย่างกับปัญหานั้น
คุณต้องระบุได้
ว่านี่เป็นข้อหนึ่งในรายการตรวจสอบ ก่อนปฏิบัติการ
แล้วคุณก็จำเป็นต้องให้ความสนใจเป็นพิเศษ กับข้อที่ยากๆ
รายการตรวจสอบของการบิน
เช่นอันนี้ สำหรับเครื่องบินหนึ่งเครื่องยนต์
ไม่ได้บอกว่าจะขับเครื่องบินอย่างไร
แต่มันเป็นสิ่งเตือนความจำ ในเรื่องที่สำคัญ
ซึ่งได้ลืมหรือพลาดไป
ถ้าพวกเขาไม่ได้ตรวจดูเสียก่อน
ดังนั้นเราจึงทำสิ่งนี้ขึ้น
เราได้สร้างรายการตรวจสอบ 19-ข้อ 2-นาที ขึ้นมา
สำหรับทีมผ่าตัด
เรามีจุดที่หยุดเช็ค
ทันทีหลังจากให้ยาสลบไปแล้ว
ทันทีก่อนที่มีดผ่าตัดจะเฉือนลงไปที่ผิวหนัง,
ทันทีก่อนคนไข้จะออกจากห้อง
และเราก็มีสิ่งโง่ๆผสมอยู่ในนั้นด้วย--
เช่น ให้แน่ใจว่าได้ให้ยาปฏิชีวนะในกรอบเวลาที่ถูกต้อง
เพราะว่านั่นจะทำให้อัตราการติดเชื้อลดลงถึงครึ่งหนึ่ง--
แล้วสิ่งที่น่าสนใจ
เพราะว่าคุณไม่สามารถบอกขั้นตอนวิธีทำ เรื่องที่ซับซ้อนเช่นการผ่าตัดได้
แทนที่จะทำอย่างนั้น คุณสามารถบอกขั้นตอน
เพื่อให้ได้ทีมงานได้เตรียมพร้อม สำหรับสิ่งที่ไม่ได้คาดว่าจะเกิด
เรามีรายการ เช่นให้แน่ใจว่าทุกคนในห้อง
ได้บอกชื่อแนะนำตัวเองตอนเริ่มต้นงาน
เพราะคุณมีคนอยู่ถึงครึ่งโหลหรือมากกว่านั้น
ซึ่งบางครั้งก็มาอยู่ร่วมกันเป็นทีม
เป็นครั้งแรกในวันนั้น ซึ่งคุณก็เข้ามาอยู่ร่วมด้วย
เราได้ใช้รายการตรวจสอบนี้
ในโรงพยาบาลแปดแห่งรอบโลก
จัดอย่างรอบคอบไว้ในที่ต่างๆ ตั้งแต่ชนบทในแทนซาเนีย
จนถึงมหาวิทยาลัยวอชิงตันในซีแอตเติ้ล
เราได้พบว่าหลังจากพวกเขาได้นำไปใช้
อัตราความซับซ้อนได้ลดลง
ร้อยละ 35
ลดลงในทุกๆโรงพยาบาลที่นำไปใช้
อัตราการเสียชีวิตลดลง
ร้อยละ 47
เรื่องนี้ยิ่งใหญ่กว่ายา
(เสียงปรบมือ)
และนั่นนำเรา
ไปสู่ทักษะหมายเลขสาม
ความสามารถในการนำไปใช้ให้เกิดผล
เพื่อให้ผู้ร่วมงานตลอดทั้งสายงาย
ทำสิ่งเหล่านี้ได้จริง
และมันได้ขยายไปได้ช้า
สิ่งนี้ยังไม่ได้เป็นบรรทัดฐานของเราในการผ่าตัด--
อย่าว่าแต่ให้รายการตรวจสอบ
เข้าไปสู่แผนกสูติกรรมและแผนกอื่นๆ
มีการต่อต้านอย่างลึกๆ
เพราะว่าการใช้เครื่องมือหล่านี้
บังคับให้เราต้องประจันหน้า
ว่าเราไม่ได้เป็นระบบ
บังคับให้เราต้องปฏิบัติงานด้วยค่านิยมแบบที่ต่างไปจากเดิม
แค่เพียงใช้รายการตรวจสอบ
ทำให้คุณต้องยอมรับค่านิยมที่แตกต่างไปจากที่คุณเคยมี
เช่น การนอบน้อมถ่อมตน
ระเบียบวินัย
การทำงานร่วมกันเป็นทีม
นี่ตรงกันข้ามกับสิ่งที่เราได้สร้างสมกันมาในอดีต
ได้แก่ ความเป็นตัวของตัวเอง การพึ่งพาตนเอง
ความเป็นอิสระ
เอาละ ผมได้พบคนเลี้ยงวัวจริงๆ
และผมก็ถามเขาว่า มันเป็นอย่างไร
ที่ต้องต้อนฝูงวัวเป็นพันๆตัว
ไปหลายร้อยไมล์
คุณทำได้อย่างไร
และเขาก็บอกว่า "เรามีคนเลี้ยงวัวประจำอยู่ในที่ๆเห็นได้ง่ายตลอดทาง"
พวกเขาติดต่อกันทางอีเลคโทรนิคตลอดเวลา
และพวกเขามีระเบียบวิธีการและรายการตรวจสอบ
ในการที่จะจัดการกับทุกๆเรื่อง--
(เสียงหัวเราะ)
ตั้งแต่ อากาศเลว
จนถึง เรื่องฉุกเฉิน หรือ การฉีดวัคซีนให้วัว
แม้แต่คนเลี้ยงวัวในปัจจุบัน ก็เป็นผู้มีส่วนร่วมรับผิดชอบงานไปแล้ว
ดูเหมือนมันจะถึงเวลาแล้ว
ที่ตัวเราเองจะเป็นแบบนั้นด้วย
ทำให้ระบบทำงานได้
เป็นงานที่ยิ่งใหญ่ของคนในยุคของเรา
ของแพทย์และนักวิทยาศาสตร์
แต่ผมอยากจะไปให้ไกลกว่านั้นและกล่าวว่า
ทำให้ระบบมันทำงานได้
ไม่ว่าจะเป็นในทางการแพทย์ การศึกษา
ภูมิอากาศที่เปลี่ยนไป
สร้างทางออกจากความยากจน
เป็นงานที่ยิ่งใหญ่ของคนในยุคของเราโดยรวม
ในทุกสาขาวิชา ความรู้ได้ระเบิดเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
แต่มันนำมาซึ่งความซับซ้อน
มันนำมาซึ่งความเชี่ยวชาญ
และเราก็มาถึงยังที่ๆหนึ่งที่เราไม่มีทางเลือก
แต่ต้องยอมรับ
ตามแบบของตัวเราเอง อย่างที่เราต้องการ
ความยุ่งยากซับซ้อนต้องการ
ความสำเร็จของกลุ่ม
ตอนนี้เราทุกคนจำเป็นต้องเป็น ผู้มีส่วนร่วมรับผิดชอบงานกันแล้ว
ขอบคุณครับ
(เสียงปรบมือ)