Tip:
Highlight text to annotate it
X
Translator: Pongsakorn Puavaranukroh Reviewer: Pathumjit Atikomkamalasai
ทุกช่วงชีวิตของเรา
มีการตัดสินใจที่จะมีผลอย่างมากต่อ
ตัวเราในอนาคต
และเมื่ออนาคตนั้นมาถึง
เราก็มักไม่สุขใจกับสิ่งที่เราตัดสินใจไป
คนหนุ่มสาวจ่ายเงินแพงๆ
เพื่อลบรอยสักที่ตอนวัยรุ่น
เคยจ่ายเงินแพงๆ ไปสักมา
คนวัยกลางคนอยากจะรีบหย่ากับคนที่
ตัวเองรีบร้อนอยากแต่งงานด้วย เมื่อตอนหนุ่มสาว
คนสูงวัยทำทุกอย่างเพื่อละทิ้ง
สิ่งที่เคยทำงานตัวเป็นเกลียวเพื่อให้ได้มา ตอนวัยกลางคน
ซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่รู้จบ
ในฐานะนักจิตวิทยา คำถามที่ผมติดใจก็คือ
ทำไมเราถึงตัดสินใจทำสิ่งที่
ตัวเราในอนาคตต้องมานั่งเสียใจอยู่เสมอ?
ผมคิดว่าหนึ่งในหลายๆ เหตุผล
ที่ผมจะพยายามโน้มน้าว ให้พวกคุณเชื่อในวันนี้
ก็คือ พวกเรามีพื้นฐานความเข้าใจผิดๆ
เกี่ยวกับพลังอำนาจของเวลา
ทุกคนรู้ว่าอัตราการเปลี่ยนแปลง
ค่อยๆ ช้าลงตลอดช่วงอายุขัย
ลูกๆ ของคุณดูจะเปลี่ยนแปลงไปนาทีต่อนาที
แต่พ่อแม่ของคุณ ดูจะเปลี่ยนแปลงช้าเป็นปีต่อปี
จุดมหัศจรรย์นี้คือจุดไหนในชีวิตนะ?
ที่อยู่ๆ ความเปลี่ยนแปลงก็ผันแปร
จากเร็วจี๋ เป็นเชื่องช้า
ช่วงวัยรุ่น? วัยกลางคน?
หรือช่วงวัยสูงอายุหรือเปล่า? แต่สำหรับคนส่วนใหญ่
คำตอบกลับกลายเป็นว่า มันคือ ปัจจุบันขณะ
ไม่ว่าปัจจุบันขณะนั้นจะอยู่ตรงไหนก็ตาม
สิ่งที่ผมจะบอกพวกคุณวันนี้
คือ เราแทบทุกคนดำเนินชีวิตไปกับภาพลวงตา
ภาพลวงตาที่ว่า ตัวตนของเราจากอดีต
นั้นได้มาถึงจุดสิ้นสุดสมบูรณ์
จุดที่เราเพิ่งได้กลายเป็น
คนแบบที่เราตั้งใจจะเป็นมาตลอด
และจะคงสถานะนั้นไปตลอดชีวิตเรา
ผมจะให้ข้อมูลบางอย่าง เพื่อสนับสนุนคำพูดของผม
นี่เป็นการศึกษาเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับ
การเปลี่ยนแปลงค่านิยมส่วนบุคคล เมื่อเวลาผ่านไป
ค่านิยม 3 ด้าน
ที่มนุษย์ทุกคนยึดถือ
แต่คุณอาจรู้ว่าเมื่อคุณโตขึ้น
เมื่ออายุมากขึ้น สมดุลย์ของค่านิยมเหล่านี้จะเปลี่ยนไป
ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น?
จากการสอบถามคนเป็นพันๆ คน
ลองให้คนครึ่งนึงทำนายว่า
ค่านิยมของเขาจะเปลี่ยนไปแค่ไหน ในอีก 10 ปีข้างหน้า
และให้คนอีกครึ่งหนึ่งบอกว่า
สิบปีที่ผ่านมาเขามีค่านิยมอะไร ที่เปลี่ยนไปบ้าง
นี่ทำให้เราสามารถทำการวิเคราะห์ที่น่าสนใจ
เพราะเราสามารถเปรียบเทียบ ผลการทำนายของแต่ละคน
เช่น ผลการทำนายของคนอายุ 18 ปี
เทียบกับผลการทำนายของคนอายุ 28
และเราสามารถทำการวิเคราะห์แบบนี้ ได้ตลอดทุกช่วงอายุของผู้เข้าร่วม
นี่คือสิ่งที่เราพบ
ประเด็นแรก พวกคุณพูดถูก
ความเปลี่ยนแปลงค่อยๆ ช้าลงเมื่อเราแก่ขึ้นจริงๆ
ประเด็นที่สอง พวกคุณเข้าใจผิด
เพราะว่ามันไม่ได้เปลี่ยนช้าในแบบที่คุณคิด
ตลอดทุกอายุตั้งแต่ 16-68 ปี
คนประเมินการเปลี่ยนแปลงต่ำกว่าความเป็นจริงไปมาก
เกี่ยวกับสิ่งที่เขาจะเจอในอีกสิบปีข้างหน้า
เราเรียกสิ่งนี้ว่า ภาพลวงตาของ "การสิ้นสุดของประวัติศาสตร์"
เพื่อขยายความเกี่ยวกับสิ่งที่ผมพูด
คุณสามารถเชื่อมต่อระหว่างเส้นสองเส้นนั้น
และสิ่งที่คุณเห็น คือ คนวัย 18 ปี
คาดการณ์การเปลี่ยนแปลงแค่เท่าๆ กับ
การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจริงในคนอายุ 50 ปี
มันไม่ได้เกิดกับเรื่องค่านิยมเท่านั้น มักเกิดขึ้นกับทุกๆ เรื่อง
เช่น บุคลิกภาพ
หลายคนรู้ว่าปัจจุบันนักจิตวิทยาได้อ้างว่า
บุคลิกภาพมีองค์ประกอบพื้นฐาน 5 ด้าน
บุคลิกภาพแบบหวั่นไหววิตกกังวล แบบเปิดรับประสบการณ์
แบบประนีประนอม แบบเปิดตัว และแบบรอบคอบเอาการเอางาน
แล้วเราก็ถามว่าเขาคาดว่า ตัวเองจะเปลี่ยนแปลงไป
มากแค่ไหนในอีก 10 ปีข้างหน้า
และถามด้วยว่าเขาเปลี่ยนแปลงไปมากแค่ไหน ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา
สิ่งที่เราพบ
เอ่อ คุณจะเริ่มคุ้น เพราะจะได้เห็นแผนภาพนี้ซ้ำๆ
นี่เราก็เจออีกแล้ว ว่าอัตราการเปลี่ยนแปลง
ช้าลงเมื่อเราอายุมากขึ้น
แต่ผู้คนในทุกช่วงอายุกลับประเมินต่ำไปว่า
บุคลิกภาพของพวกเขาจะเปลี่ยนไปมากแค่ไหน
ในอีก 10 ปีข้างหน้า
และมันก็ไม่ได้เกิดเฉพาะ กับสิ่งที่จับต้องไม่ได้
เช่น ค่านิยมและบุคลิกภาพเท่านั้น
คุณสามารถถามผู้คนเกี่ยวกับสิ่งที่ชอบและไม่ชอบ
ความพึงพอใจทั่วไปของเขา
เป็นต้นว่า ลองบอกชื่อเพื่อนสนิทของคุณมา
สถานที่พักร้อนที่คุณชอบไป
งานอดิเรกที่คุณชื่นชอบ
แนวดนตรีที่คุณชอบฟัง
ใครๆ ก็ตอบคำถามเหล่านี้ได้หมด
เราถามครึ่งนึงของพวกเขาให้บอกเราว่า
"คุณคิดว่าอีกสิบปีข้างหน้าคำตอบเหล่านั้น จะเปลี่ยนไปหรือไม่?"
และให้อีกครึ่งนึงของพวกเขาบอกเราว่า
"ใน 10 ปีที่ผ่านมาคำตอบเหล่านั้นได้เปลี่ยนไปหรือไม่?"
ผลลัพธ์ที่เราได้ ซึ่งคุณได้เห็นมันมาสองครั้งแล้ว
มันก็เป็นเช่นเดิมอีกครั้ง
คนเราทำนายว่าเพื่อนที่เขามีอยู่ตอนนี้
ก็จะยังคงเป็นเพื่อนที่มีอยู่ในอีกสิบปีข้างหน้า
การพักร้อนที่เขาชอบตอนนี้
ก็จะยังเป็นสิ่งที่เขาชอบในอีกสิบปีข้างหน้า
แต่คนอีกครึ่งที่ให้ตอบคำถามถึง ชีวิตในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาล้วนตอบว่า
"เอ่อ รู้ไหม มันเปลี่ยนไปจริงๆ"
แล้วเรื่องนี้มันสำคัญอย่างไรหรือ?
หรือมันเป็นแค่เรื่องของการทายพลาด ที่จะไม่มีผลอะไรตามมาในชีวิต
ไม่สิ มันสำคัญมากนะ ผมจะยกตัวอย่างให้ดูว่าทำไมถึงสำคัญ
มันสร้างปัญหาใหญ่แก่เราเวลาตัดสินใจ
ลองคิดถึงตัวคุณเอง
นักดนตรีที่คุณชอบในตอนนี้
กับนักดนตรีที่คุณชอบเมื่อ 10 ปีก่อน
ผมแสดงของผมให้ดูบนจอ
เราถามผู้คน
ให้บอกเราว่า
คุณจะจ่ายเงินเท่าไหร่ในตอนนี้
เพื่อไปดูการแสดงของ นักดนตรีปัจจุบันที่คุณชื่นชอบ
สำหรับคอนเสิร์ตที่จะแสดงอีกสิบปีข้างหน้า
โดยเฉลี่ยแล้ว พวกเขาตอบว่าจะยอมจ่าย
129 ดอลล่าร์สำหรับค่าตั๋วใบนั้น
ยังไม่หมดแค่นั้น เราถามเขาอีกว่า จะยอมจ่ายเท่าไหร่
เพื่อไปดูนักดนตรีที่เคยชอบเมื่อ 10 ปีก่อน
สำหรับคอนเสิร์ตที่จะแสดงในวันนี้
พวกเขาตอบว่า แค่เพียง 80 ดอลลาร์เท่านั้น
ในโลกที่ทุกคนมีเหตุมีผล
ค่าตั๋วควรจะมีราคาเท่ากัน
แต่พวกเรากลับจ่ายแพงเกินสำหรับโอกาส
ที่จะสนองความต้องการในปัจจุบัน
เพียงเพราะว่าเราให้ค่าสูงเกินไป ว่าสิ่งนั้นจะคงอยู่ถาวร
ทำไมสิ่งนี้ถึงเกิดขึ้นได้ล่ะ? เราก็ยังไม่รู้คำตอบแน่ชัด
บางทีอาจเป็นเพราะ
การจดจำมันง่ายกว่า
เมื่อเทียบกับการใช้จินตนาการซึ่งยากกว่า
พวกเราส่วนมากจำได้ดี ว่าเราเป็นอย่างไรเมื่อ 10 ปีก่อน
แต่เป็นเรื่องยากที่จะนึกภาพว่า เราจะเป็นอย่างไรในอนาคต
ซึ่งทำให้เราเข้าใจผิดไปว่าเมื่อมันยากที่จะ นึกภาพการเปลี่ยนแปลงในอนาคต
ดังนั้นมันก็ไม่น่าจะมีอะไรเกิดขึ้น
เมื่อคนเราพูดว่า "ผมนึกภาพไม่ออก"
พวกเขาแค่กำลังพูดถึง การขาดจินตนาการ
ไม่ได้หมายความว่า โอกาสที่ไม่น่าจะเกิดขึ้น
ของเหตุการณ์ที่เขากำลังพูดถึง
สรุปคือ เวลาเป็นพลังที่มีทรงอำนาจ
มันเปลี่ยนสิ่งต่างๆ ที่เราพึงพอใจ
มันเปลี่ยนคุณค่าต่างๆ ที่เรายึดถือ
มันเปลี่ยนบุคลิกภาพด้านต่างๆ ของเรา
ดูเหมือนเราจะเข้าใจความจริงข้อนี้
แต่เฉพาะเวลาหวนระลึกถึงอดีต
เมื่อเรามองย้อนกลับไป เราถึงได้ตระหนักว่า
เกิดการเปลี่ยนแปลงมากแค่ไหน ใน 10 ปีที่ผ่านมา
สำหรับพวกเราส่วนใหญ่ มันราวกับว่า
ปัจจุบันขณะเป็นช่วงเวลาวิเศษ
มันเป็นจุดผกผันของเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น
มันเป็นช่วงเวลาที่พวกเรา
ได้กลายเป็นตัวของตัวเองในที่สุด
มนุษย์เราก็เหมือนงานที่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์
ที่เราเข้าใจผิดไปว่ามันเสร็จสมบูรณ์แล้ว
ตัวตนที่คุณเป็น ณ ตอนนี้
เป็นสิ่งชั่วคราวประเดี๋ยวประด๋าว
เท่าๆ กับตัวตนที่คุณเคยเป็นมาก่อนหน้านี้
สิ่งหนึ่งที่คงที่แน่นอนในชีวิตก็คือ ความเปลี่ยนแปลง
ขอบคุณครับ
(เสียงปรบมือ)