Tip:
Highlight text to annotate it
X
ผู้สร้างสันติสุข บทสนทนาระหว่างเจเรมี กิลลี่กับเปรม ราวัต
สวัสดีครับ ผมเจเรมี กิลลี่ ผมผลิตภาพยนตร์และก่อตั้งโครงการ Peace One Day
ปี 2012 เป็นปีที่สำคัญ
280 ล้านคนรับรู้ถึงวันแห่งสันติสุข ถือเป็นสัดส่วน 4% ของประชากรโลก
จำนวนจะเพิ่มเป็นสองเท่าได้ในปี 2013
หากเราช่วยเหลือกัน วันแห่งสันติสุขจะสำคัญขึ้นมาได้
ทำให้วันสำคัญนี้สืบทอดต่อไปได้
วันที่เด็กไม่ถูกกลั่นแกล้ง ผู้หญิงไม่ถูกทำร้าย
และไม่มีใครยิงกัน
หัวใจสำคัญของปี 2013 คือ “คุณจะสร้างสันติสุขร่วมกับใคร”
เราลองมาดู ว่าจุดเริ่มต้นเป็นอย่างไร
ภาพยนตร์เรื่องแรกเป็นการเดินทาง รณรงค์วันหยุดยิงและความรุนแรง
วันนั้นกำหนดชัดเจน คือวันที่ 21 กันยายน
สารคดีเรื่องนั้นชื่อว่า Peace One Day
และบอกเรื่องราวว่า ทำไมวันที่ 21 กันยายน
ต้องเป็นวันหยุดยิงและความรุนแรง
ทุกคนได้ตัดสินใจแล้ว
การเดินทางนั้นยอดเยี่ยมมาก และเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้มีส่วนร่วม
ในฐานะผู้ผลิตภาพยนตร์ ผมตื่นเต้นและเปี่ยมด้วยแรงบันดาลใจ
ที่เห็นว่ากล้องถ่ายทำภาพยนตร์ ช่วยขับเคลื่อนขั้นตอนไปข้างหน้าได้
ภาพยนตร์เรื่องที่สองเกี่ยวกับ ชีวิตผู้คนที่ได้รับการช่วยเหลือในวันนั้น
และเราต้องไปที่อัฟกานิสถาน
จู้ด ลอว์เดินทางไปกับผม และนั่นเป็นความสำเร็จอย่างยิ่ง
ทุกคนมีส่วนร่วมในอัฟกานิสถาน รวมถึงกลุ่มตะลิบัน
ซึ่งตกลงว่าจะไม่ทำร้าย เจ้าหน้าที่สาธารณะสุขในวันนั้น
ผลที่ตามมา และผล จากความแข็งขันของทุกคน
โดยเฉพาะองค์การสหประชาชาติ
เจ้าหน้าที่ฉีดวัคซีนกว่า 10,000 คน ได้ไปยังที่ที่ไปไม่ได้ในเวลาปรกติ
เพราะเกรงกลัว ว่าจะถูกลักพาตัวหรือถูกฆ่า
เด็กกว่าล้านคน ได้รับวัคซีนต้านโรคโปลิโอ
น่าทึ่งมากและทำให้เราเห็นว่า วันๆนั้นไม่ได้เป็นแค่สัญลักษณ์
แต่เป็นการทำงานในที่ ที่คนส่วนใหญ่คิดว่าเป็นไปไม่ได้
ตอนนั้น องค์การสหประชาชาติ ในอัฟกานิสถานได้จัดแถลงข่าว
เป็นถ้อยแถลงจากแผนกความปลอดภัย และความมั่นคงขององค์การฯ
ประกาศว่าความรุนแรงลดลงถึง 70% ในวันแห่งสันติสุข ผมมีความสุขมาก
ที่สำคัญกว่านั้น กลุ่มตะลิบันก็ตกลง
ที่จะไม่ปิดกั้นเส้นทางเจ้าหน้าที่สาธารณะสุข ที่จะมีส่วนร่วมในการรณรงค์นี้
นั่นทำให้ผมได้คิดว่า ถ้าที่นั่นทำได้ เราก็ทำได้ในทุกๆที่
บางคนไม่เชื่อและบอกว่า แค่หนึ่งวันจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้
และสิ่งที่ผมเห็นในอัฟกานิสถาน ซึ่งเราไปที่นั่นสองครั้ง ก็คือ
ความแตกต่างก็คือ คนมีชีวิตรอดหรือตาย
ผมได้พูดคุยกับจู้ดและอาหมัด ฟอว์ซี กับคนอื่นๆ ทำให้ผมได้ความคิดหนึ่ง
คือไม่เพียงแค่ลดความรุนแรง ให้ได้มากที่สุดในประวัติศาสตร์โลก
ไม่ว่าในบ้านของเรา โรงเรียน ชุมชนและระหว่างประเทศ
แต่ยังเป็นรวมตัวกันของคน
เพื่อร่วมกิจกรรม เพื่อสร้างสันติสุขในวันๆเดียว
เราเรียกโครงการนี้ว่า การสงบศึกของโลก
เพื่อให้มันได้ผล ผมรู้ดีว่า เราต้องมีแนวร่วมจำนวนมาก
แต่ละกลุ่มมีผู้นำชัดเจน และนั่นคือสิ่งที่เราทำ
ปี 2012 จึงเกิดแนวร่วมนักศึกษา กับสมาคมนักศึกษาแห่งสหราชอาณาจักร
ซึ่งเป็นแนวร่วมขององค์กร ที่มุ่งลดความรุนแรงในครอบครัว
ประสานงานกับมูลนิธิ EVV Global
และแนวร่วมองค์กรเอกชน ประสานงานกับ Inter Peace
ผลลัพธ์นั้นยอดเยี่ยมมาก
องค์กรนับพันตื่นตัว จากการประสานงานของแนวร่วมทั่วโลก
เป็นปีที่เยี่ยมที่สุดในการมีส่วนร่วม เท่าที่เคยเห็นมา
แล้วคุณจะสร้างสันติสุข ร่วมกับใคร?
นี่เป็นโอกาสของเราทุกคน ที่จะมีส่วนร่วมในการสร้างสันติสุข
หากทุกคนร่วมกันสร้างสันติสุข คุณภาพชีวิตของเราจะดีขึ้นได้
วันแห่งสันติสุขไม่ได้เป็นเพียงแค่ การลดความรุนแรงในพื้นที่ที่มีปัญหา
แต่ยังลดความรุนแรงในครอบครัว ชุมชนและโรงเรียนด้วย
แล้วคุณจะสร้างสันติสุขร่วมกับใคร? คุณจะร่วมมือกับใครในวันแห่งสันติสุขโลก?
ผมได้รู้จักกับเปรม ราวัต เพราะผมได้รับเชิญให้กล่าวในสภายุโรป
เจเรมี่ กิลลี่ จากโครงการ Peace One Day
ขอบคุณมากครับสำหรับการต้อนรับ ขอขอบคุณสภายุโรปที่ได้เชิญผมมาวันนี้...
ในงาน เปรม ราวัตเล่าเรื่องหนึ่งให้ฟัง และนั่นเป็นเรื่องเล่าที่งดงามมาก
และเป็นเรื่องที่ลึกซึ้ง และเป็นแรงบันดาลใจมากด้วย
ผมจึงรู้ได้อย่างชัดเจนว่าตอนนั้น ผมกำลังรับฟังชายคนหนึ่งที่เปี่ยมด้วยความรู้
ในเรื่องสันติสุข และเขาเองก็คิดเรื่องนี้มาตลอดชีวิตของเขา
เราจำเป็นที่จะต้องใช้ทรัพยากรของเรา สติปัญญาของเรา
และความดีงามในหัวใจของเรา
เพื่อนำสันติสุขมาสู่โลกใบนี้
ไม่ว่ามันจะดูเป็นไปไม่ได้ก็ตาม
แล้วผมก็พบว่าเปรม ราวัตเอง ก็ได้พูดเรื่องนี้มาตลอดชีวิตของเขา
และเขาเดินทางทั่วโลก
พูดคุยกับผู้คนหลายหมื่น หลายแสนคน ในแต่ละปีในหัวข้อนี้
เขาทุ่มเทชีวิตของเขาเพื่อสร้างแรงบันดาลใจ และเสริมศักยภาพแก่ผู้คนทั่วโลก
เพื่อคิดและลงมือทำเพื่อสันติสุข ในวิถีทางของแต่ละคน
และผมรู้สึกว่า เขาเป็นคนที่ยอดเยี่ยมมากคนหนึ่ง
รอบรู้และกล้าหาญ เป็นคนที่มีพลังมากคนหนึ่ง
โลกเราไม่ได้ต้องการสันติสุข แต่คนเราต่างหาก แต่ละคนล้วนต้องการสันติสุข
ในการเดินทางของผม เพื่อจัดกิจกรรมวันแห่งสันติสุขโลกนั้น
ผมพยายามจะพิสูจน์ให้คนได้เห็น ว่ามันเป็นไปได้
และมีความร่วมมือที่ช่วยให้เรา ได้ทำงานร่วมกัน
ในฐานะผู้ผลิตภาพยนตร์ ผมอยากนำเสนอความแตกต่าง ผมอยากสร้างภาพยนตร์เกี่ยวกับสันติสุข
เพราะผมอยากตอบคำถามพื้นฐานเหล่านั้น
แล้วผมก็เข้าใจ วันแห่งสันติสุขนั้นไม่มีหรอก แต่ถ้าเราร่วมมือกัน Peace One Day ก็เป็นไปได้
ขอให้ไปหาเพื่อน เพื่อนร่วมงาน ครอบครัวของคุณ
และร่วมกัน ในวันที่ 21 กันยายน ปี 2012
และส่งสารให้คนรุ่นใหม่ได้รับรู้ ว่าเราสามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆได้
ขอขอบคุณทุกท่านครับ ขอบคุณครับ
ผมรีบคว้าโอกาสที่จะพูดคุยตัวต่อตัว กับคุณเปรม ราวัต
เพราะเขาเดินทางไกลกว่าผมมากนัก
เป็นความรู้สึกที่ดีมากที่ได้พบกับเปรม ราวัต แน่นอนครับ ชีวิตของเขามีสันติสุขแน่
เขาพูดคุยเรื่องนี้ และให้แรงบันดาลใจแก่ผู้คนทั่วโลก
เขาอาจบอกกับพูดคนทั่วโลกได้ ไม่ว่าจะมากน้อยเพียงใด
ว่ามีวันๆหนึ่งที่ผู้คนจะร่วมใจกันหยุดยิง และหยุดความรุนแรง นั่นเป็นโอกาสให้เรา
ได้ร่วมมือร่วมใจกับคนอื่นๆทั่วโลก
-ยินดีที่ได้พบคุณครับ -สวัสดีครับ
ผมไม่ทราบว่านั่นจะเป็นบทสนทนา ที่เพลิดเพลินมากด้วย
-ว่าไงครับ -ว่าไงครับ
ผมใช้เวลา 13 ปีทำกิจกรรมตามท้องถนน
พูดคุยเรื่องสันติสุข และพยายามสร้างวันแห่งสันติสุข ซึ่งมันก็เกิดขึ้น
และความคิดที่ว่าหากโลกเรา ร่วมใจกันเป็นหนึ่งเดียวได้
ไม่ต้องยึดติดกับการเมือง ศาสนา แล้วหันมายืนหยัดร่วมกันเป็นหนึ่ง
ในความเป็นหนึ่งเดียวนั้น มุมมองของเราจะเปลี่ยนไป
เกี่ยวกับสันติสุขและความยั่งยืน
แนวคิดที่ว่าคนทั้งโลก ร่วมใจกันเป็นหนึ่งเดียว
คุณคิดว่าความคิดนี้เป็นอย่างไรครับ? การร่วมใจกันเป็นหนึ่งเดียว
เพื่อสันติสุข ของโลก
ผมว่านี่เป็นเรื่องที่น่ายกย่องชื่นชม หากใครก็ตามพยายามทำสิ่งนี้
เพื่อทำให้ผู้คนได้ตระหนักถึงความสำคัญ
“คิดถึงสันติสุข เข้าใจสันติสุข”
นั่นเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะมันไม่ได้เกิดขึ้นทุกวัน
แต่สันติสุขสำคัญกับมนุษย์คนหนึ่งแค่ไหน?
เพราะผมรู้สึกว่า สันติสุขเป็นสิ่งพื้นฐานมาก
สันติสุขอยู่ภายในตัวของมนุษย์ทุกคน
และเราต้องมองว่า ตัวเรานั้นเป็นแหล่งแห่งสันติสุข
นานมาแล้ว นั่นคือสิ่งที่โสคราตีสกล่าวไว้ จงรู้จักตัวคุณเอง
เขาน่าจะพูดอะไรก็ได้ เขาจะพูดอะไรก็ได้
“ไปปีนเขา เอาหินก้อนนั้นออก ตักน้ำให้หมดมหาสมุทร”
แต่เขาพูดว่า จงรู้จักตัวคุณเอง
และผู้คนก็พูดคุยถึงสิ่งนี้ แต่บางครั้งเขาก็ไม่ได้เข้าใจจริงๆ
ว่าการมองดูตัวคุณเองนั้น มีความหมายอย่างไร
การมองว่าเราเป็นแหล่งแห่งสันติสุข
เป็นแหล่งแห่งความชัดเจน เป็นแหล่งแห่งความเบิกบานใจ
ดังนั้น ใครก็ตามที่พยายามทำสิ่งนี้
คนที่ช่วยให้ผู้อื่นได้ตระหนัก ถึงความจำเป็นที่ต้องมีสันติสุขในชีวิต
และความสำคัญของสันติสุขในสังคมของเรา
นั่นเป็นสิ่งที่น่ายกย่องมากครับ
และเป็นเรื่องสำคัญจริงๆ ในสังคมของเรา
เราเดินทางไปรอบโลก เราพูดคุยถึงสันติสุข พยายามส่งเสริมสันติสุข
เราพยายามส่งเสริมวันแห่งสันติสุข
เรารู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องวันแค่วันเดียว
แต่เป็นการทำงานหลายเดือนมาก เพื่อให้คนได้ร่วมกิจกรรมในวันๆนั้น
เพื่อให้เขาได้ได้คิดถึงตลอดเวลา
วันเป็นเพียงแค่สัญลักษณ์ แห่งความคิดสร้างสรรค์ แรงใจให้คนมามีส่วนร่วม
เกิดอะไรขึ้นเมื่อผมโกรธ?
คืนก่อน ผมโมโหกับบางสิ่งที่ผมไม่ชอบ
ส่วนใหญ่ชีวิตผมก็สงบดี
การที่ผมควบคุมตัวเองไม่ได้นั้น มันบอกอะไรบ้างครับ?
แล้วคุณเคยเป็นแบบนั้นบ้างไหม?
สิ่งทีมันบอกคุณก็คือ คุณเป็นมนุษย์คนหนึ่ง
สำหรับต้นไม้แล้ว
มันใช้ความพยายามมาก เพื่อให้ลำต้นมันตั้งตรง
แต่เมื่อลมพัดมา มันก็ได้เรียนรู้ว่าต้องเอียงตัวไปมา
เพราะหากไม่ทำอย่างนั้น กิ่งก้านของมันต้องหักแน่
สำหรับผมแล้ว เรามีลักษณะหลายอย่าง
ใช่ครับ คุณเศร้าใจ
คุณมีความสุข คุณโมโห
นั่นไม่ใช่ประเด็น ความโกรธไม่ใช่ประเด็นหลัก
แต่คุณจะใช้ชีวิตของคุณ บนพื้นฐานของอะไรต่างหาก
คุณใช้ชีวิตร่วมกับสันติสุขอย่างแท้จริงไหม?
สันติสุขเป็นสิ่งพื้นฐานสำหรับคุณหรือไม่?
เพราะหากไม่แล้ว เมื่อพายุแห่งความโกรธมาถึง มันจะถอนรากถอนโคนคุณไปแน่
เพราะคุณไม่มีพื้นฐาน
แต่พื้นฐานเป็นสิ่งสำคัญ
การรู้สึกโกรธแล้วเข้าใจอะไรบางอย่างจากมัน นั่นไม่ใช่ปัญหา
การรู้สึกเศร้าใจ แล้วเข้าใจอะไรบางอย่าง นั่นไม่ใช่ปัญหา
เพราะผมคิดว่า หลายคนคิดว่า สันติสุขนั้นทำให้คุณไม่แยแสกับอะไรทั้งนั้น
เหมือนที่คนมองว่า คุณต้องนั่งบนภูเขา
ไม่สะทกสะท้านกับอะไรทั้งนั้น ที่เกิดขึ้นรอบตัวคุณ
ขอโทษด้วยครับ ไม่มีทางเป็นอย่างนั้น คุณยังเป็นมนุษย์อยู่!
ความรู้สึกต่างๆยังมีอยู่ในชีวิตของเรา แต่เราเลือกอะไร?
เราต้องเป็นคนเลือก เราเรียนรู้อะไรจากความโกรธของเราบ้าง?
หรือเราปล่อยให้ความโกรธ ขับเคลื่อนชีวิตเราไป
เราเข้าใจไหมว่าทำไมเรารู้สึกโกรธ?
แล้วจึงเตรียมตัวเราให้ดีขึ้น
หรือเราปล่อยให้ความโกรธ ความเศร้า ความท้อแท้
มากวาดล้างเราไป มาจัดการกับเรา
จุดเริ่มต้นการเดินทางของผมนั้นมาจาก ผมรู้สึกโมโหกับสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกนี้
ผมไม่เข้าใจว่าทำไม ผมถูกเหยียดหยามที่โรงเรียน
ผมไม่เข้าใจว่าทำไม โลกเราจึงเป็นแบบนี้
และการที่ผมโกรธทุกสิ่งรอบตัวผมนั้น
ผมอยากจะออกเดินทาง เพื่อสร้างวันแห่งสันติสุข และผมรู้ว่าทำไม่ได้แน่
เพราะผมคิดว่าผมจะทำไม่ได แล้วผมจะชี้นิ้วได้ว่า
มนุษย์เราไม่ได้ตั้งใจ ที่จะมาร่วมกัน แม้แค่วันเดียว
แต่แน่นอน ผลอีกอย่างกลับเกิดขึ้นแทน และแน่นอนมันสำเร็จแน่
ผมจะได้โกรธน้อยลง และผมรู้สึกอยากช่วยมากกว่าเมื่อก่อน
และมันก็น่าสนใจเหมือนกัน
ผมได้ยินที่คุณพูดว่า คุณเปลี่ยนความโกรธเป็นพลังเพื่อสิ่งดีๆได้
เช่นเดียวกับที่ใช้มัน เพื่อการทำลายล้าง
และคุณบอกว่าไม่เป็นไร
หลายคนโกรธ
แล้วใช้มันไปในทางที่ผิด แล้วทำทุกสิ่งที่ไม่ดี
ลองดูสิครับว่าเกิดอะไรขึ้นในโลกนี้ มีหลายคนที่...
ลองดูเด็กทารกสิครับ เด็กทารกอยากรู้สึกดี
เด็กทารกอยากจะมีความสุข
แล้วทันใดนั้นเอง เขาก็อยู่ในสถานการณ์ที่ไม่มีความสุข
เด็กใช้ความโกรธนั้น เพื่อบอกกับแม่
“มีบางอย่างไม่ดีตรงนี้ ฉันไม่ชอบ จัดการด้วย”
แล้วแม่ก็มาดู แล้วทำอะไรก็แล้วแต่
“หิวหรือเปล่า ผ้าอ้อมเปียกหรือเปล่า”
และเมื่อทุกอย่างเรียบร้อย
เด็กก็เงียบ
เด็กจะเงียบ
ทำไมเราไม่เรียนรู้สิ่งพื้นฐานจากทารกบ้าง?
ที่ว่า ใช่ อาจมีบางอย่างทำให้เราโกรธ เหมือนที่คุณรู้สึก
“โลกเราต่อสู้กันเองอยู่ตลอดเวลา และนั่นทำให้ฉันโกรธ”
คุณเอาความโกรธ แล้วเปลี่ยนมันไปในทางที่ดี
ตอนนี้ คุณได้เห็นอีกด้านหนึ่ง ที่คุณไม่เคยเห็นมาก่อน
และนั่นเป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมมาก
นั่นเป็นการต่อสู้ ใช่ไหมครับ เหมือนกับสันติสุข...
บางครั้งผมเองก็รู้สึกว่า ผมต้องต่อสู้เพื่อสันติสุข
และผมอยากรู้ว่า คุณคิดอย่างไรกับสิ่งที่ผมพูดนี้?
เหมือนกับกะลาสีเรือ เหมือนกับกัปตันเรือลำเล็กบนทะเลกว้างใหญ่
ที่มีลมพายุแรงและมีลูกเรือเพียงเล็กน้อย ไม่มีเวลาให้คุณรู้สึกเพลิดเพลิน
“ใช่ คุณต้องดึงใบเรือขึ้นเร็วๆ ไม่อย่างนั้นเรือจะล่ม”
และบางครั้ง อย่างตอนที่จัดกิจกรรม Peace One Day ตอนที่ลงมือทำ
ทุกอย่างต้องรวดเร็ว
ใช่ เพราะเราไม่มีเวลา
แต่บางครั้ง ผมก็รู้สึกว่า นี่ผมกำลังต่อสู้กับอะไรอยู่
คุณพยายามเดาว่า คนอื่น...
คุณต้องได้ผลลัพธ์ที่ดี และบางครั้งคนอื่นๆ...
เขาอาจไม่อยากได้ผลแบบนั้น ไม่ว่าเหตุผลจะเป็นอะไรก็ตาม
คุณต้องคอยจัดการสิ่งต่างๆ ให้ผ่านพ้นสถานการณ์นั้นให้ได้
ซึ่งในที่สุด คนก็หยุดยิงในอัฟกานิสถาน
การเดินทางนั้นเกิดขึ้นในระยะเวลาสามปี เพื่อให้สิ่งนี้เกิดขึ้นในอัฟกานิสถาน
ทุกคนรวมถึงกลุ่มตะลิบัน หยุดต่อสู้ เด็กๆหลายล้านคน...
ใครๆก็บอกว่า “ใช่ๆๆๆๆ”
นั่นเป็นขั้นตอนในการทำงาน และเป็นการต่อสู้
คุณว่าที่ผมทำนั้นเป็นอย่างไรบ้าง? สันติสุขต้องมีการต่อสู้บ้างบางครั้งไหม?
-ก็... -เพื่อสร้างมันขึ้นมา
แน่นอน มันก็อาจเกิดขึ้นได้
แต่ขอให้เรามองดูที่พื้นฐานของมัน
ในความคิดของผม และผมก็คิดทบทวนมากเหมือนกัน
เกือบ 40 ปีที่ผมพยายามพูดคุยกับผู้คน
และสิ่งที่ผมเข้าใจ คือเรื่องเรียบง่ายอันหนึ่ง
หากคุณพยายามจะสร้างสันติสุข โดยไม่ได้รู้สึกถึงสันติสุข
มันจะเกิดปัญหาแน่
หากพื้นฐานหลักเป็นสันติสุข สันติสุขจะเกิดขึ้นเอง
มันจะเกิดขึ้นเอง
แต่หากพื้นฐานไม่มีสันติสุข
แล้วคุณพยายามจะสร้าง
นั่นจะเป็นเรื่องที่ยากมากๆ
ผมจึงพยายามนำสารแห่งสันติ ที่ว่าสันติสุขนั้นอยู่ภายในตัวคุณ
ผมเรียกว่านี่เป็นสารของผม แต่จริงๆแล้วไม่ใช่สารของผม
หลายคนได้พูดมาแล้ว “สันติสุขอยู่ภายในตัวคุณ ค้นหาภายในตัวคุณ
ค้นหาภายในตัวคุณ แล้วพบกับสันติสุขนั้น”
เพราะหากคนไม่พบสันติสุขในตัวเขาเองแล้ว
การพยายามจะสร้างสิ่งต่างๆ ที่สะท้อนสันติสุขออกมาก็จะเป็นเรื่องยาก
สันติสุขต้องอยู่ในพื้นฐาน
จากนั้น คุณก็ไม่ต้องกังวล ว่ามันจะออกมาเป็นอย่างไร
สันติสุขจะเกิดขึ้นเอง
ผมพูดกับผู้คนตลอด โดยเฉพาะกับคนอายุน้อย
สื่อการศึกษาที่เรามีตอนนี้ แปลเป็นหกภาษา และใช้ใน 197 ประเทศ
และนั่นก็เป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับผม การสร้างแรงบันดาลใจและทำให้เขามีพลัง
เพื่อขับเคลื่อนตามวิสัยทัศน์ ในการสร้างโลกที่เป็นหนึ่งเดียวและยั่งยืน
และมอบเครื่องมือแก่เขาเพื่อทำสิ่งนั้น มอบเครื่องมือแก่เขาเพื่อให้เขาเป็นผู้สร้างสันติสุข
เมื่อผมพูดคุยกับคนอายุน้อย เขาได้ดูภาพยนตร์ การเดินทางที่เกิดขึ้น
พวกเขาบอกผมว่า “ทำไมคุณไม่เคยคิดหยุดทำ”
ผมเองก็อยู่ในนิวยอร์กในตอนที่มีการก่อการร้าย “ทำไมตอนเดือนกันยายน คุณหยุดทำสิ่งนี้ไหม”
“อะไรทำให้คุณทำต่อ” เหมือนเขาจะบอกว่า “สันติสุขเป็นไปไม่ได้”
คุณคิดหรือไม่ว่าปัญหาหนึ่ง ที่มนุษย์มีอยู่ตอนนี้
คือความรู้สึกไม่เชื่อของคน ว่าเขาเปลี่ยนแปลงโลกนี้ได้”
และเขาต้องเข้าใจ เมื่อคุณต้องมีส่วนร่วมด้วยตัวเอง
และหากเราทำสิ่งนี้กันทั้งโลก เราจะเปลี่ยนโลกได้ นั่นเป็นปัญหาไหม
-แน่นอนครับ -คนไม่มีความเชื่อที่จะเปลี่ยนแปลงโลกนี้?
ใช่ เพราะความรับผิดชอบ ในการเปลี่ยนแปลงโลกไม่ได้อยู่ที่เขา
มันไปอยู่กับอะไรสักอย่าง ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล
หรือเทวดาที่ลงมาจากฟ้า
-เขาคิดอย่างนั้น -เขาคิดอย่างนั้น ใช่ครับ
เขาจึงไม่ได้มองว่าตัวเขาอยู่ในนั้น ว่า ใช่ เขาสร้างความเปลี่ยนแปลงได้
แต่ที่จริง พวกเขาสร้างความเปลี่ยนแปลงได้
และแค่เขาได้รับรู้ นั่นก็เป็นผลมหาศาลแล้ว
ว่า ใช่ คุณเป็นส่วนสำคัญในจักรกลนี้
ที่จะทำให้สันติสุขเกิดขึ้นบนโลกนี้
คุณไม่ได้อยู่ห่างจากสิ่งนี้
คุณไม่ใช่แค่คนรับฟังข่าวสาร
“ใช่ วันนี้โลกมีสันติสุข ขอบคุณมาก”
ไม่! คุณเป็นส่วนหนึ่ง ที่ทำให้มันเกิดขึ้นได้
และไม่สำคัญว่าคุณจะเป็นใคร
ไม่สำคัญว่าคุณจะเป็นใคร
และเราให้ความสำคัญกับเยาวชนมาก
ซึ่งก็เป็นเรื่องสำคัญ เพราะพวกเขาเป็นอนาคตของเรา
แต่ผมก็อยากเห็นพลัง ของผู้คนที่ไม่ใช่เด็ก
อาจจะเป็นคนรุ่นปู่ย่าตายายของเขา
บางทีอาจจะเหลือเวลาแค่สามวัน ที่จะอยู่บนโลกใบนี้
แต่เขาตระหนักได้
ว่าเขาเป็นส่วนหนึ่งของขั้นตอน ที่จะทำให้สันติสุขเกิดขึ้นมาได้
ผมอยากให้ทุกคนมีส่วนร่วม ผมอยากให้เยาวชนมีส่วนร่วม
อยากให้คนที่จะสอนเยาวชนมีส่วนร่วม -สำคัญมากนะครับ
เพราะหากเขาไม่เข้าใจตัวเขาเองแล้ว
เขาจะสอนอะไรแก่เยาวชน?
ทั้งเยาวชนและคนที่จะสอนเยาวชนด้วย
รวมเอานักธุรกิจ รวมเอารัฐบาลชาติต่างๆ
รวมเอาคนยากจน รวมเอาคนร่ำรวย
รวมถึงคนที่คิดว่า ไม่น่าจะเกี่ยวกับเขา!
ผมอยากให้ทุกคนมีส่วนร่วม!
ผมอยากรวมถึงคนที่เราเคยพูดว่า
“คุณทำสิ่งไม่ดีไว้ คุณต้องถูกล้อมด้วยกำแพงสี่ด้าน”
เพราะพวกเขาก็ต้องออกจากที่นั่นด้วย แล้วอย่างไรต่อล่ะ?
-ใช่ครับ -ผมอยากให้ทุกคนมามีส่วนร่วม!
นี่เป็นข่าวดีและผมอยากจะบอก ให้คนรู้ครั้งแล้วครั้งเล่า
เหมือนที่คุณ ผม ทุกๆคน ต้องจดจำครั้งแล้วครั้งเล่า
-สันติสุขเกิดขึ้นได้ -สันติสุขเกิดขึ้นได้ ใช่ครับ
และบางที สักวันหนึ่งมันจะติดหูผู้คน
และมันก็ติดหูจริงๆ และที่คุณพูดนั้นก็จริง
เราจึงมีแรงบันดาลใจและมีพลัง และพยายามทำมันทุกๆวัน
และที่จริงแล้ว มีอีกหลายคนทั่วโลกที่ทำอย่างนี้
มันเป็นไปได้ มันได้ผลจริง คนเราให้อภัยกันได้
คนเราหยุดสู้รบกันได้ แม้คุณจะบอกว่าไม่ได้ แต่พวกเขาหยุดได้
-ใช่ครับ แน่นอน! -และเราก็ต้องเชื่อ
และมันเป็นไปได้อย่างแน่นอน ผมอยากเห็นมันเกิดขึ้นในตอนที่เรายังมีชีวิตอยู่
แน่นอน มันเป็นขั้นตอน เป็นการเดินทาง
-เรื่องนี้เราเห็นเหมือนกัน -ใช่ ใช่ ใช่ครับ แน่นอน
และผมมั่นใจว่าคนที่ดูก็คงเห็นด้วย ความท้าทาย
คือการที่เราเปิดรับความคิดนี้ ว่าแต่ละคนสามารถเปลี่ยนโลกนี้ได้
และหากเราร่วมมือกันเป็นหนึ่งเดียว และทำสิ่งนั้น มันจะเกิดขึ้น!
-แต่ เราทุกคน เราทุกคน -เราทุกคน
ไม่ว่าคุณจะเป็นคุณทวด หรือเด็กประถม
เราต่างก็เป็นส่วนหนึ่ง
เราต้องยอมรับว่าสันติสุขเกิดขึ้นได้ ว่าเราเปลี่ยนโลกนี้ได้
เรายกระดับความเข้าใจ เกี่ยวกับสิ่งที่เราเผชิญนี้ได้
ผมได้ไปในที่ที่มีความขัดแย้ง เกือบทุกที่ในโลก
และไป 107 ประเทศในปีที่ผ่านมา และก็เช่นเดียวกับคุณ
แต่ไม่ว่าผมจะไปที่ไหนก็ตาม จะเป็นอัฟกานิสถาน ซูดานหรือโซมาเลีย
ผมไม่เคยเห็นใครต่อสู้ ผมเห็นผู้คนที่งดงาม
มีความปรารถนา กล้าหาญและมีความหวัง
-ใช่ -ทุกที่ที่คุณไป คือสันติสุข
แน่นอนผมเข้าใจว่า มีหลายคนที่เผชิญความลำบาก
และนั่นก็เป็นเรื่องน่าเศร้า และผมก็อยากให้มันจบลง
แต่ที่จริง สงครามที่ใหญ่ที่สุด ที่มนุษย์เราเผชิญคือหมัด ไม่ใช่ปืน
ความรุนแรงที่เลวร้ายที่สุดที่เกิดขึ้นทุกวันนี้ เกิดขึ้นภายในครอบครัว
ใช่ครับ คุณได้ไปในที่ที่มีความขัดแย้ง
และในตอนที่คุณพูดนั้น ผมก็คิดว่า “คุณรู้ไหมว่าความขัดแย้งที่ใหญ่ที่สุดอยู่ตรงไหน?”
ตรงนี้ นี่คือจุดเริ่มต้นของความขัดแย้ง
นี่คือความขัดแย้งจุดใหญ่
และมนุษย์ทุกคนบนโลกนี้
สามารถแบกเอา ดินแดนแห่งความขัดแย้งนี้ไปด้วย
อยู่ข้างบน
และนำเอาดินแดนแห่งสันติสุข
ที่อยู่ภายในหัวใจของเราทุกคน
เลือกเอา! เลือกเอา!
และคนเช่นคุณ ที่เดินทางไปพบผู้คน ให้เขาได้เลือก
เลือกสันติสุข
ใช่ครับ ผมทราบ นั่นเป็นเรื่องตื่นเต้น ตื่นเต้นมาก
และผมว่าการให้การศึกษา แก่เยาวชนก็น่าสนใจมาก
เกี่ยวกับสันติสุขนี้
และปลูกฝังความรู้สึกที่ว่า “คุณคือผู้สร้างสันติสุข
และมันก็เป็นเรื่องสิ่งที่อยู่ในนี้
และคุณคุณมีทางออกเสมอ ระหว่างเพื่อน ครอบครัวของคุณ
ทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้นได้ ถ้ามันเกิดขึ้นในชุมชนได้
มันก็ทำให้ชุมชนดีขึ้น ซึ่งแน่นอน จะเปลี่ยนโลกนี้ได้”
และนี่คือสิ่งที่ผมเห็น สันติสุขทำให้คนตื่นเต้นมาก
คนเข้าใจว่าสันติสุข จะนำความมั่งคั่งมาให้
เราก้าวไปข้างหน้าพร้อมกันได้ นี่ไม่ใช่ความฝันที่เป็นไปไม่ได้
นี่เป็นความฝันที่เป็นจริงได้อย่างยิ่ง
หากเราทำสิ่งเลวร้ายกับคนอื่นได้
เราก็สร้างสิ่งงดงามแก่คนอื่นได้ด้วย เพราะมันเป็นเพียงอีกด้านหนึ่งเท่านั้น
และใช่ครับ เราควรตื่นเต้นกับเรื่องนี้
ทุกคน ทุกคน
ใช่ครับ เมื่อเราทุกคนเข้าใจว่า เราคือผู้สร้างสันติสุขให้โลกนี้
ปัญหาไม่ได้อยู่ตรงนั้น ปัญหาอยู่ตรงนี้
และหากเราแก้ปัญหาในตัวเราได้ รอบตัวเราได้ เราทุกๆคน
เราก็เปลี่ยนแปลงโลกนี้ได้ตลอดไป
-ใช่ครับ -ใช่ครับ!
ผมรู้สึกดีมากครับที่ได้พบคุณ รู้สึกยินดีอย่างยิ่ง
ผมเคยได้ยินคุณพูดมาก่อน
และผมก็รู้จักเกี่ยวกับคุณ
แต่สิ่งที่ผมชอบมาก ก็คือ เหมือนกับอัศวินเจได
ในสตาร์วอร์ ที่มีดาบเลเซอร์
ผมทึ่งมากที่คุณเข้าใจได้อย่างดี ว่าสันติสุขคืออะไร
คุณขับเครื่องบินไปทั่วโลก คุณมีเครื่องมือที่ยอดเยี่ยม
ทั้งหมดเพื่อเผยแพร่ถ้อยคำแห่งสันติ
คุณต้องเป็นนักรบเพื่อสันติสุข ที่ยอดเยี่ยมมากแน่
เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้พบคุณครับ
ผมขอขอบคุณที่ร่วมแบ่งปันกับผม
และผมมั่นใจว่า คนที่ดูรายการนี้คงรู้สึกเช่นเดียวกัน
ด้วยความยินดีครับ เจเรมี่ ที่ได้พูดคุยกบคุณ
และผมก็หวังว่า ผมคงไม่ใช่นักรบคนเดียว
มนุษย์ทุกคนบนโลกนี้ ก็เป็นนักรบเพื่อสันติสุขได้เช่นกัน
-ดูแลสุขภาพด้วยครับเปรม ขอบคุณมาก -ขอบคุณครับเจเรมี ด้วยความยินดี
หลังจากที่ได้พูดคุยกับเปรม ราวัต ผมมีพลังอย่างเหลือเชื่อ
เหมือนกับว่าผมได้พบกับ ผู้สร้างสันติสุขที่ยิ่งใหญ่คนหนึ่ง
ผมได้พบกับผู้ชายที่ทุ่มเททั้งชีวิต เพื่อเสริมพลังแก่ผู้คน
ผู้ชายแห่งสันติสุข
เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้พบกับคนเช่นนั้น แน่นอนครับ เป็นเกียรติอย่างยิ่ง
ยอดเยี่ยมมากครับ ผมรู้สึกโชคดีมากๆ
เขาต้องทำให้คนทึ่งได้แน่นอน เหมือนกับเจได
คุณเข้าใจที่ผมพูดไหม ว่าเขาเป็นเจไดตัวจริง
น่าสนใจมากๆ ทั้งตื่นเต้นและสนุกมาก
เป็นช่วงเวลาที่ดีมากในชีวิตของผม
เยี่ยมมาก
-ยินดีมากครับ ดูแลสุขภาพด้วย -ครับ ขอบคุณมาก
-เป็นเกียรติอย่างมาก -ขอบคุณครับ
คุณจะสร้างสันติสุขร่วมกับใคร? www.peaceoneday.org
คุณจะสร้างสันติสุขร่วมกับใคร? www.peaceoneday.org
รับชมฉบับเต็มได้ที่ wopg.org/peacemakers