Tip:
Highlight text to annotate it
X
ฉันติดใจเจ้าของชิ้นนี้จังเลย
จริงๆแล้วฉันก็หมกหมุ่นกับข้าวของทุกๆอย่างของฉันเลยล่ะ
คุณเคยสงสัยไหมคะว่าสิ่งของที่เราซื้อมามีที่มาอย่างไร
และมันจะไปที่ไหนเวลาเราโยนมันทิ้ง
ฉันอดสงสัยไม่ได้จนต้องตามไปค้นดูค่ะ
ตำราบอกเอาไว้ว่า ข้าวของต่างๆเคลื่อนย้ายผ่านระบบที่ต่อเนื่องกัน
ตั้งแต่การสกัด การผลิต การจัดจำหน่าย การบริโภค และ การกำจัด
เราเรียกทั้งหมดนี้ว่า เศรษฐกิจวัตถุ ฉันจึงตามเข้าไปดูระบบนี้ให้ใกล้ขึ้น
จริงๆแล้ว ฉันใช้เวลากว่า 10 ปี เดินทางไปทั่วโลก
สำรวจ ติดตาม ที่มาและที่ไปของวัตถุเหล่านี้
รู้ไหมคะว่าฉันพบอะไร สิ่งที่เราเห็นไม่ใช่เรื่องราวทั้งหมดของเศรษฐกิจวัตถุนี้หรอกค่ะ
มีหลายอย่างที่หายไปจากคำอธิบายแบบทั่วๆไป
ถ้ามองผ่านๆ ก็ดูเหมือนว่าไม่มีปัญหาอะไรเลย
แต่ในความเป็นจริงแล้ว ระบบนี้กำลังอยู่ในวิกฤติค่ะ
เหตุผลที่ทำให้ระบบนี้อยู่ในวิกฤติเนื่องจาก มันเป็นระบบเส้นตรง
และโลกที่เราอยู่นั้นมีขอบเขตจำกัด
และเราไม่สามารถใช้ระบบเส้นตรงนี้บนโลกที่มีขอบเขตจำกัดไปได้ตลอดอย่างแน่นอน
ทุกๆขั้นตอนในระบบนี้มีปฏิสัมพันธ์กับโลกในความเป็นจริงที่เราอาศัยอยู่
มันไม่ได้เกิดขึ้นบนกระดาษเปล่าค่ะ
ระบบนั้นได้เชื่อมโยงและสัมพันธ์กับสังคม วัฒนธรรม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม
และตัวระบบเส้นตรงนี้เองได้กระแทกกับขอบเขตจำกัดของโลกเราไปตลอดทาง
ขอบเขตจำกัดที่เรามองไม่เห็นในแผนผังนี้ เพราะมันเป็นแผนผังที่ยังไม่สมบูรณ์
ดังนั้นเราลองมาทบทวนกันใหม่ว่ามีอะไรที่ขาดหายไปในระบบบ้าง
สิ่งสำคัญที่สุดที่หายไปจากระบบที่เราเห็นนี้ คือ ผู้คน ใช่แล้วค่ะ....ผู้คน
ผู้คนซึ่งใช้ชีวิตและทำงานหาเลี้ยงชีพอยู่ในระบบเส้นตรงนี้
และผู้คนบางคนมีความสำคัญมากกว่าคนอื่นๆ
บางคนมีสิทธิมีเสียงในระบบมากกว่า คนพวกนี้เป็นใครน่ะหรือ
เอาล่ะ คนกลุ่มแรก รัฐบาล
ทีนี้ เพื่อนของฉันบอกว่า เราควรใช้รถถังเป็นสัญลักษณ์แทนรัฐบาล
ซึ่งนั่นก็ถูกต้องในหลายๆประเทศ และในอเมริกาก็มีแนวโน้มว่าจะเป็นเช่นนั้น
ดูจากการที่รัฐบาลนำเงินภาษีกว่า 50 เปอร์เซ็นต์แบ่งเป็นงบประมาณทางการทหาร
แต่ฉันเลือกที่จะใช้รูปคนเป็นสัญลักษณ์
เพราะฉันยังเชื่อในคำกล่าวที่ว่า
รัฐบาลนั้นเป็นของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน
หน้าที่ของรัฐบาลคือการ ปกป้อง ดูแล ทุกข์สุขของพวกเรา นั่นคืองานของรัฐบาล
คนกลุ่มถัดมาคือบรรษัท
เหตุผลที่บรรษัทดูตัวใหญ่กว่ารัฐบาล
ก็เพราะว่ามันใหญ่กว่ารัฐบาลจริงๆ
ในอันดับ 100 หน่วยเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลกนั้น 51 อันดับคือบรรษัท
และเมื่อบรรษัทเติบโตขึ้นทั้งในแง่ของขนาดและอำนาจ เราได้เห็นความเปลี่ยนแปลงบางอย่างเกิดขึ้นกับรัฐบาล
รัฐบาลดูจะคอยดูแลและห่วงใยการดำเนินธุรกิจของบรรษัท
ให้กิจการดำเนินไปอย่างราบรื่น มากกว่าจะดูแลพวกประชาชนอย่างเราๆเสียอีก
เอาล่ะ เรามาดูกันต่อว่ามีอะไรอีกที่หายไปจากรูปข้างบนนี้
เราจะเริ่มจากการสกัด
ซึ่งเป็นคำศัพท์ที่สวยหรูของการแสวงหาประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ
ซึ่งก็เป็นคำศัพท์ที่สวยหรูของการผลาญทำลายโลก
กิจกรรมที่เกี่ยวข้องนั้นก็ได้แก่ การทำลายป่าไม้ ระเบิดภูเขา เอาแร่ธาตุมาถลุงใช้
ใช้น้ำในแหล่งน้ำ และกำจัดสัตว์ต่างๆออกไป
และจุดนี้เองที่ระบบของเรากำลังชนกับขีดจำกัด
ทรัพยากรกำลังจะหมดโลก เพราะเราใช้ข้าวของมากเกินไป
ฉันรู้ว่าไม่มีใครอยากฟังเรื่องนี้ แต่มันเป็นความจริงที่เราต้องแก้ไข
แค่ภายในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา
เราได้บริโภคและทำให้หนึ่งในสามของทรัพยากรธรรมชาติท้ังหมดสูญสิ้นไป
เราทั้งตัด ทำเหมือง ขนส่งทรัพยากร ล้างผลาญโลกอย่างรวดเร็ว
นั่นมีค่าเท่ากับเราได้ทำลายระบบน้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า อันเป็นการเกื้อกูลกันระหว่างคนกับธรรมชาติ
ในอเมริกาบ้านของฉัน เรามีพื้นที่ป่าเหลือน้อยกว่า 4 % ของพื้นที่ป่าดั้งเดิม
แหล่งน้ำตามธรรมชาติกว่า 40 % ไม่สามารถดื่มกินได้
แต่ปัญหาของเราไม่ได้จบแค่เราผลาญทรัพยากรมากเกินไปเท่านั้น
แต่เราได้ใช้มันไปมากกว่าส่วนที่เราควรจะได้ใช้ คนอเมริกันนั้นเป็นเพียง 5 เปอร์เซ็นต์ของคนทั้งโลก
แต่เราบริโภคและสร้างขยะให้โลกถึง 30 เปอร์เซ็นต์ของการใช้ทรัพยากรทั้งหมด
ถ้าเราทุกคนบริโภคในอัตราเดียวกันกับคนอเมริกัน เราต้องไปหาโลกมาเพิ่มให้ได้ 5 ใบด้วยกัน
ปัญหาอยู่ที่ไหนรู้ไหมคะ? เรามีโลกแค่ใบเดียวเท่านั้น
ดังนั้นประเทศของฉันจึงหาวิธีง่ายๆในการแก้ปัญหาทรัพยากรจำกัด โดยการไปแย่งเอาของคนอื่นมา
นี่คือประเทศโลกที่สามค่ะ
ซึ่งบางคนก็บอกว่าเป็นคำที่ไว้เรียกของของเราที่บังเอิญไปอยู่ในดินแดนคนอื่น
มันหมายถึงอะไรน่ะหรือ? ผลาญให้ราบ ใช้ให้เรียบเหมือนเดิมยังไงล่ะ
75% ของแหล่งทำการประมง เป็นการทำการประมงที่เกินกว่าปริมาณที่ธรรมชาติจะรับได้
80 %ของป่าไม้ดั้งเดิมของโลกได้สูญสิ้นไป
แค่เฉพาะในป่าอเมซอน ต้นไม้จะถูกโค่นถึง 2000 ต้นในทุกๆ 1 นาที
นั่นเทียบได้เท่ากับ 7 สนามฟุตบอลทีเดียว
แล้วผู้คนที่อาศัยอยู่ที่นั่นล่ะ
ตามที่พวกคนข้างบนนี่กล่าวไว้ คนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เหล่านี้ไม่ใช่เจ้าของทรัพยากร
แม้จะใช้ชีวิตอยู่ในพื้นที่มาหลายชั่วอายุคนก็ตาม พวกเขาไม่ได้เป็นเจ้าของปัจจัยการผลิต
แล้วก็ยังจับจ่ายใช้สอยซื้อหาข้าวของไม่มากซักเท่าไหร่ และในระบบนี้
หากคุณไม่ได้เป็นเจ้าของอะไรหรือซื้อสิ่งของอะไรมากมายนัก คุณก็ไม่มีค่าอะไรมากมายเช่นเดียวกัน
ในลำดับต่อไป วัตถุดิบก็จะเข้าสู่กระบวนการ "การผลิต" สิ่งที่เกิดขึ้นในขั้นตอนนี้คือการใช้พลังงาน
ใช้พลังงานเพื่อผสมสารเคมีที่มีพิษเข้ากับวัตถุดิบจากธรรมชาติ เพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ปนเปื้อนสารพิษ
ทุกวันนี้มีสารเคมีสังเคราะห์กว่า 100,000 ชนิดถูกใช้ในการอุตสาหกรรม
มีเพียงไม่กี่ชนิดเท่านั้นที่ได้รับการทดสอบถึงผลกระทบที่อาจะเกิดกับสุขภาพของมนุษย์
และไม่มีชนิดใดเลยที่ได้รับการทดสอบว่าสารนั้นๆจะก่อให้เกิดผลข้างเคียงใหม่จากการทำปฏิกิริยากับสารเคมีอื่น
ที่ผสมปนเปกันอยู่ในชีวิตประจำวันของเรา
ดังนั้นเราจึงไม่ทราบถึงผลกระทบทั้งหมดที่อาจจะเกิดกับสุขภาพและสิ่งแวดล้อมจากสารเคมีเหล่านี้
แต่เรารู้อย่างหนึ่งว่า "ใส่สารพิษเข้า ได้สารพิษออก"
ตราบใดที่เรายังใส่สารพิษเข้าสู่ระบบการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมของเรา
เราก็ได้จะได้รับสารพิษนั้นๆในข้าวของที่เราซื้อ
เข้าบ้าน เข้าที่ทำงาน เข้าโรงเรียนของเรา และ...ใช่ค่ะ...ร่างกายของเรานั่นเอง
ตัวอย่างเช่น BFR หรือสารหน่วงไฟประเภทโบรมีน
มันเป็นสารที่เราใช้ใส่ในสิ่งของต่างๆ เพื่อให้มันทนไฟ สารพวกนี้มีพิษร้ายแรง
มันเป็นพิษต่อระบบประสาท นั่นหมายถึงมันจะทำลายสมองของเรา แล้วเราจะเอามันมาใช้ได้ยังไง
ทั้งๆที่รู้ เราก็ยังใส่มันเข้าไปในคอมพิวเตอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า โซฟา ที่นอน หมอนมุ้ง
จริงๆแล้ว เราเอาหมอนของเราจุ่มสารพิษที่เป็นอันตรายต่อระบบประสาท
และนำมันกลับบ้านมาหนุนหัวนอนเป็นเวลากว่า 8 ชั่วโมงทุกๆคืน
โดยส่วนตัว ชั้นรู้สึกว่า
เรามีศักยภาพมากพอที่จะหาวิธีไม่ให้หัวของเราติดไฟได้ในเวลานอน
สารพิษเหล่านี้สะสมในห่วงโซ่อาหาร ตกค้างเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆในร่างกายของเรา
คุณทราบไหมคะว่า อาหารอะไรที่อยู่ในลำดับบนสุดของห่วงโซ่อาหาร
ที่มีระดับการปนเปื้อนของสารพิษที่สูงที่สุดและหลากหลายชนิดสารพิษที่สุด น้ำนมของมนุษย์ยังไงล่ะคะ
นั่นหมายความว่า เราได้มาถึงจุดที่สมาชิกตัวเล็กที่สุดของเรา นั่นก็คือเด็กทารก
จะได้รับสารอันตรายในปริมาณที่สูงที่สุดที่จะได้รับตลอดชีวิตจากการกินนมแม่
เป็นการละเมิดที่ไม่น่าเชื่อเลยใช่ไหมคะ
การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ควรเป็นขั้นตอนการดูแลทารกขั้นพื้นฐานที่สุดของมนุษย์
มันควรจะศักดิ์สิทธ์และปลอดภัย เพราะนมแม่ดีที่สุดสำหรับทารก
และแม่ทุกคนก็ควรจะเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ต่อไป โดยเรามีหน้าที่ต้องปกป้องกิจกรรมนี้ รัฐบาลและบรรษัทก็เช่นกัน
ชั้นนึกว่าพวกเค้ากำลังดูแลและเฝ้าระวังให้เราซะอีก
และแน่นอนที่สุด คนที่ได้รับผลกระทบจากสารเคมีที่เป็นพิษมากที่สุด
ก็คือคนงานในโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งส่วนหนึ่งนั้นเป็นสตรีในวัยเจริญพันธุ์
พวกเธอเหล่านี้กำลังทำงานอยู่กับสารพิษที่เป็นอันตรายต่อระบบสืบพันธุ์ สารก่อมะเร็ง และสารพิษอื่นๆ
ถึงตอนนี้ ฉันขอถามทุกคนนะคะว่า
มีผู้หญิงในวัยเจริญพันธุ์คนไหนที่อยากทำงานในสภาวะที่เสี่ยงกับการเสียสุขภาพเช่นนี้
นอกจากคนที่ไม่มีทางเลือก และนั่นเป็น "ความสวยงาม" ของระบบนี้นั่นเอง
ความเสื่อมโทรมของสิ่งแวดล้อมและความถดถอยของเศรษฐกิจท้องถิ่นในประเทศโลกที่สามนี้
เป็นสิ่งที่ประกันว่าจะต้องมีคนจำนวนหนึ่งที่ไม่มีทางเลือกอยู่ในประเทศเหล่านี้อย่างแน่นอน
ในหนึ่งวัน คนกว่า 2 แสนคนทั่วโลก ย้ายถิ่นฐาน
ออกจากสถานที่และสิ่งแวดล้อมที่ค้ำจุนพวกเขามาจากรุ่นสู่รุ่น
เข้ามาอยู่ในเมืองใหญ่ ในสลัม หางานทำ ไม่ว่างานนั้นจะต้องสัมผัสกับสารพิษมากแค่ไหน
ตอนนี้คุณคงเห็นแล้วใช่ไหมคะว่า ไม่ใช่แค่ทรัพยากรเท่านั้นที่ถูกผลาญไปในระบบนี้
ผู้คนก็เช่นเดียวกัน ชุมชนทั้งชุมชนก็ถูกทำลายด้วยเช่นกัน
ใช่แล้ว "ใส่สารพิษเข้า ได้สารพิษออก"
สารพิษหลายอย่างที่ถูกนำมาใช้ในระบบ และผ่านโรงงานออกมาในรูปผลิตภัณฑ์
ออกมาในรูปของกากอุตสาหกรรมและเป็นมลพิษต่อสิ่งแวดล้อมอย่างมาก
ภาคอุตสาหกรรมของสหรัฐอเมริกายอมรับว่า มีการปล่อยสารเคมีที่เป็นพิษกว่า 1.8 ล้านตันต่อปี
ซึ่งอาจจะมากกว่านั้น เนื่องจากนี่เป็นเพียงตัวเลขที่พวกเขายอมรับเท่านั้น
และนั่นก็คือขีดกำจัดอีกอันหนึ่ง เพราะว่า อึ๊ยยยยย
ใครจะอยากจะดมสารพิษตั้งปีละ 1.8 ล้านตันต่อปีล่ะ แล้วพวกเค้าทำยังไงน่ะเหรอ
ก็ย้ายโรงงานสกปรกทั้งหลายแหล่ไปไว้ต่างประเทศซะ ไปสร้างมลพิษในแผ่นดินของคนอื่นไงล่ะ
แต่น่าประหลาด กระแสลมก็ได้พัดพาเอามลพิษทางอากาศจำนวนมากนั้นหวนกลับมาหาเราอยู่ดีนั่นแหละ
ต่อมา อะไรหรือที่เกิดขึ้นหลังจากทรัพยากรเหล่านี้ถูกเปลื่ยนเป็นผลิตภัณฑ์
มันก็จะถูกเคลื่อนมาที่ตรงนี้่ เพื่อทำการจัดจำหน่ายต่อไป
การจำหน่ายสินค้าหมายความถึงการขายสินค้าขยะปนเปื้อนสารพิษเหล่านี้ให้เร็วที่สุดเท่าที่ทำได้
เป้าหมายคือ ทำราคาให้ต่ำ ทำให้ผู้คนซื้อสินค้า และทำให้สินค้าไหลออกได้เรื่อยๆ
เขาทำให้ราคาสินค้าต่ำได้ยังไงน่ะเหรอคะ ก็จ่ายค่าแรงให้พนักงานน้อยๆ
และลดผลประโยชน์ต่างๆของลูกจ้างเช่นประกันสุขภาพภาพให้น้อยลง เป็นการผลักต้นทุนออกไปนอกบรรษัท
ซึ่งหมายถึงต้นทุนที่แท้จริงของการผลิตไม่ได้ถูกนับรวมในราคาสินค้า
ในอีกนัยหนึ่งคือ เราไม่ได้จ่ายเงินซื้อสินค้าตามราคาที่แท้จริงของมัน
ฉันเอาเรื่องนี้กลับไปคิดในวันต่อมาค่ะ
ขณะที่ฉันเดินไปทำงานและเกิดอยากจะฟังข่าวไปด้วย
ฉันเลยเดินเข้าไปในร้านขายวิทยุ
และพบกับวิทยุสีเขียวน่ารักเครื่องนึง ราคา 4.99 ดอลลาร์ (ประมาณ 160 บาท)
ขณะกำลังเข้าคิวรอจ่ายเงิน ฉันก็เกิดสงสัย
ว่าเป็นไปได้อย่างไรที่เงินแค่ 4.99 ดอลลาร์
จะสามารถรวมต้นทุนทั้งหมดที่เกิดขึ้นจากการผลิตวิทยุเครื่องนี้ได้จริงๆหรือ เหล็กอาจจะถลุงมาจากเหมืองในแอฟริกาใต้
ใช้น้ำมันที่ขุดเจาะในอิรัก พลาสติกถูกผลิตในประเทศจีน
และถูกประกอบในโรงงานที่ชายแดนเม็กซิโกโดยแรงงานเด็กอายุ 15 ปี
เงิน 4.99 ดอลล่าร์ไม่พอจ่ายเงินค่าชั้นวางวิทยุเหล่านี้ในร้านด้วยซ้ำ
ไม่พอแม้แต่จ่ายค่าจ้างให้กับพนักงานในร้านที่มาช่วยฉันเลือกสินค้า
หรือจ่ายค่าขนส่งทั้งทางเรือและทางบกจากแหล่งผลิตสินค้ามาถึงที่ร้านนี่
นั่นทำให้ฉันเข้าใจว่าฉันไม่ได้เป็นคนจ่ายค่าวิทยุหรอก อ้าว แล้วใครล่ะที่เป็นคนจ่าย?
คนพวกนี้ต่างหากที่จ่ายค่าวิทยุให้กับฉัน ด้วยการสูญเสียทรัพยากรธรรมชาติ
คนพวกนี้จ่ายให้ฉัน โดยการสูญเสียอากาศที่บริสุทธิ์ ที่นำไปสู่อัตราการเพิ่มขึ้นของการป่วยเป็นหอบหืดและมะเร็ง
เด็กๆในคองโกจ่ายด้วยอนาคตของพวกเขา เด็กๆกว่า 30 % ในคองโก
ต้องออกจากโรงเรียนไปทำงานในเหมืองที่โคลแทน
เพื่อเหล็กที่นำมาใช้ทำวิทยุราคาถูกอันนี้ซึ่งเป็นสินค้าใช้แล้วทิ้งเลย
อีกทั้งผู้คนตรงนี้ ยังคงต้องจ่ายค่าเบี้ยประกันสุขภาพของตนเอง
ตลอดเส้นทางของระบบเส้นตรงที่เราพูดถึงนี้ ผู้คนมากมายต้องจ่ายเพื่อให้ฉันได้ซื้อวิทยุในราคา 4.99 ดอลลาร์
และรายจ่ายเหล่านั้นไม่ได้รับการบันทึกหรือปรากฎในบัญชีรายจ่ายใดๆเลย
นั่นคือความหมายของงการที่ฉันบอกว่า เจ้าของบริษัทได้ผลักภาระต้นทุนที่แท้จริงออกไปภายนอกบริษัทของเขา
และจากนั้น เรื่องราวของสิ่งของก็ได้เดินทางมาถึง "ลูกศรทองคำ" คือการบริโภค
การบริโภคนี้เป็นกิจกรรมที่เป็นหัวใจของระบบที่เรากำลังพูดถึงนี้ เป็นเครื่องจักรที่คอยขับเคลื่อนให้ระบบดำเนินไปได้
มันมีความสำคัญมากเสียจน พวกเขาเหล่านี้ต้องปกป้องลูกศรนี้ก่อนสิ่งอื่นใด
นั้นเป็นเหตุผลว่า หลังเหตุการณ์ 19 กันยายน ในขณะที่ชาวอเมริกากำลังช๊อค
และประธานาธิบดีบุชควรจะแนะนำประชาชนที่กำลังเสียขวัญ
ให้ร่วมกันแสดงความเสียใจ สวดภาวนา ให้เชื่อมั่นในความหวัง หรือให้ทำอะไรบางอย่างที่สมควรทำ เปล่าเลยเขาบอกให้ไปจับจ่ายใช้สอย!บริโภค!
เราชาวอเมริกันได้กลายเป็นชนชาติแห่งการบริโภคไปเสียแล้ว อัตลักษณ์ของเราคือการเป็นผู้บริโภค
ไม่ใช่แม่ , คุณครู , หรือเกษตกร แต่เป็นผู้บริโภค
คุณค่าของผู้คนในระบบก็ถูกวัดและแสดงออกมา
จากปริมาณการจับจ่ายใช้สอยที่ช่วยเอื้อหนุนลูกศรแห่งการบริโภคนี้นั่นเอง แล้วเราก็บริโภคกันอย่างจริงจังจริงๆเสียด้วย
เราซื้อของ ซื้อของ ซื้อแล้วก็ซื้ออีก สินค้าถูกจัดจำหน่ายและทำให้ระบบเศรษฐกิจวัตถุนี้เคลื่อนไหวแล้วดำรงอยู่ได้
ลองเดาดูสิคะว่าในบรรดาสิ่งของที่เราซื้อไป มีกี่เปอร์เซ็นต์ที่เรายังใช้อยู่หลังจากหกเดือนผ่านไป
50%?20%? ไม่เลยค่ะ 1% เท่านั้น 1% แค่นั้นเองค่ะ!! ซึ่งนั่นหมายความว่า 99 % ของสิ่งของ
ที่เราได้เก็บเกี่ยว สกัด แปรรูป และขนส่ง 99% ของข้าวของเหล่านี้
จะกลายเป็นขยะในเวลาแค่ 6 เดือน เราจะดูแลโลกกันได้อย่างไร
ถ้าเราผลาญใช้วัตถุในอัตราที่รวดเร็วเช่นนี้ แต่ก่อนก็ไม่ได้เป็นแบบนี้นะคะ
ปัจจุบันคนอเมริกันบริโภคมากเป็น 2 เท่าเมื่อเทียบกับ 50 ปีที่แล้ว
ลองถามคุณย่าคุณยายของเราดูสิคะ ในสมัยของท่าน การรู้จักดูแลรักษา การคิดค้นริเริ่ม และความมัธยัสถ์เป็นคุณสมบัติที่ได้รับการยกย่อง
แล้วการบริโภคแบบนี้มันเกิดขึ้นได้ยังไงกัน? มันเกิดขึ้นเองไม่ได้หรอกค่ะ จริงๆแล้วมันถูกออกแบบมาให้เป็นเช่นนี้
หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ไม่นาน คนพวกนี้ (รัฐบาลและบรรษัท) พยายามคิดหาทางกระตุ้นเศรษฐกิจ
นักวิเคราะห์การค้าปลีก วิคเตอร์ เลอโบวได้สาธยายทางออก
ที่จะมาเป็นบรรทัดฐานของระบบโดยรวม
เขากล่าวว่า " ระบบเศรษฐกิจของเราที่มีประสิทธิภาพในการผลิตมากมายนั้น ได้เรียกร้องให้เราเปลี่ยนการบริโภคเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินชีวิต
เปลี่ยนการซื้อและการใช้สิ่งของต่างๆให้เป็นพิธีกรรม เพื่อเติมเต็มความพึงพอใจของจิตวิญญาณ
และความเป็นตัวตนของเราจากการบริโภค
เราจะเป็นต้องมีข้าวของเพื่อบริโภค เผาผลาญ หามาทดแทน และโยนมันทิ้งไป และเรายังต้องทำมันในอัตราที่เร็วขึ้นเรื่อยๆอีกด้วย"
ประธานที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจของประธานาธิบดีไอเซน ทาวเวอร์ ได้กล่าวว่า
"เป้าหมายสูงสุดด้านเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา คือ การผลิตสินค้าเพื่อผู้บริโภคให้มากยิ่งขึ้น"
ผลิตสินค้าให้มากขึ้นงั้นเหรอ?
นี่คือจุดมุ่งหมายสูงสุดของเราหรือ? ไม่ใช่การบริการด้านสุขภาพ,ส่งเสริมการศึกษา การคมนาคมที่ปลอดภัย
การเจริญเติบโตอย่างยั่งยืน หรือแม้กระทั่งความยุติธรรม แต่เป็นการผลิตสินค้าให้บริโภคกันมากขึ้นอย่างนั้นเหรอคะ?
เขาจะทำให้เรากระโจนเข้าร่วมวง การบริโภคอย่างกระตือรือร้นนี้ได้อย่างไรนะหรือ
กลยุทธ์ที่ใช้ได้ผลอย่างชะงัด 2 อย่าง คือ การวางแผนให้ล้าสมัย กับ การมองให้ล้าสมัย
การวางแผนให้ข้าวของล้าสมัย คือ การออกแบบสินค้าให้กลายเป็นขยะ
มันหมายถึงการออกแบบให้สินค้าให้ใช้งานไม่ได้ และไร้ประโยชน์ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
เพื่อเราจะได้เขวี้ยงมันทิ้งไป และซื้อข้าวของใหม่มาใช้แทน
ที่เห็นแน่ๆ ว่าเป็นสินค้าที่ใช้แล้วต้องทิ้งเลย ก็เช่น บรรดาถุงหรือถ้วยกาแฟพลาสติก
แต่เดี๋ยวนี้ข้าวของชิ้นใหญ่ขึ้น เช่น พวกไม้ถูพื้น ซีดี กล้อง หรือกระทั่งเตาบาร์บีคิว ก็เป็นของใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้งซะหมดเลย คอมพิวเตอร์ก็เช่นกัน
เคยสังเกตุกันไหมคะว่า เวลาที่คุณซื้อคอมพิวเตอร์
ว่าเทคโนโลยีสมัยนี้เปลี่ยนแปลงไปรวดเร็วขนาดไหน บางทีซื้อมาใช้แค่ 2 ปี
คอมพิวเตอร์ของคุณก็เริ่มมีปัญหาซะแล้ว ฉันสงสัยมากเลยค่ะเกี่ยวกับเรื่องนี้
ฉันเลยลองเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ดูว่ามีอะไรข้างในบ้าง
ชั้นพบว่าชิ้นส่วนที่เปลี่ยนไปทุกๆปี เป็นแค่ชิ้นส่วนเล็กๆ ตรงมุมเท่านั้นเองค่ะ
แต่ว่าคุณเปลี่ยนแค่ชิ้นส่วนเล็กๆนั่นไม่ได้หรอกนะคะ เพราะว่าแต่ละรุ่นถูกออกแบบมาให้มีรูปร่างแตกต่างกัน
ก็เลยต้องโยนทิ้งแล้วซื้อใหม่กันทั้งเครื่องเลยล่ะค่ะ
ฉันได้อ่านหนังสือเกี่ยวกับการออกแบบอุตสาหกรรมในช่วงทศวรรษ 1950
ซึ่งเป็นยุคเฟื่องฟูของการออกแบบให้สินค้าล้าสมัยอย่างรวดเร็ว นักออกแบบทั้งหลายคุยเรื่องนี้กันอย่างเปิดเผยเลยล่ะ
ว่าจะออกแบบสินค้าอย่างไรให้พังเร็วที่สุด
แต่ยังรักษาความเชื่อถือจากผู้บริโภค
เพื่อให้พวกเขาไปซื้อสินค้ามาใช้ใหม่ นี่มันเป็นการจงใจทำชัดๆเลย
แต่ว่าข้าวของก็ยังไม่พังเร็วทันใจ ที่จะทำให้ลูกศรแห่งการบริโภคนี้พุ่งต่อไปได้
จึงต้องมีการ "มองให้ล้าสมัย" เพิ่มเข้าไปด้วย
การมองให้ล้าสมัย ก็คือ การสร้างแรงจูงใจให้เราโยนข้าวของทิ้งไปที่ยังใช้การได้ดี
จะทำได้ยังไงน่ะหรือคะ? ก็เปลี่ยนหน้าตาสินค้าซะใหม่
ดังนั้น เวลาคุณใช้สินค้าที่ซื้อมาประมาณ 2-3 ปีที่แล้ว
ทุกคนก็จะบอกได้ว่า คุณไม่ได้เพิ่งจะซื้อมา หรือคุณใช้สินค้าตกยุคเสียแล้ว
และในเมื่อคุณค่าของคนในระบบ คือการสนับสนุนการบริโภคสินค้าใหม่ๆ คุณก็จะรู้สึกละอายใจที่ใช้ของเก่าตกยุคยังไงล่ะ
เหมือนที่ฉันใช้เจ้าคอมพิวเตอร์สีขาวตัวเก่า
เจ้าคอมพิวเตอร์ตัวเบ้อเริ่ม ที่อยู่บนโต๊ะทำงานฉันมาตั้ง 5 ปี ในขณะที่เพื่อนร่วมงานของฉันเพิ่งซื้อคอมพิวเตอร์มาใหม่
จอเครื่องบางเฉียบ เงาแว๊บ
ดูลงตัวสวยงามกับคอมพิวเตอร์รุ่นใหม่ แถมเข้ากับโทรศัพท์มือถือ ที่เสียบปากกาของเธออีกด้วย เท่ห์สุดๆไปเลย!
เธอดูเหมือนกำลังบังคับยานอวกาศเลยล่ะค่ะ
ขณะที่ฉันรู้สึกเหมือนกำลังจิ้มเครื่องซักผ้าบนโต๊ะทำงาน
แฟชั้นก็เป็นตัวอย่างที่ดีของการมองให้ตกยุคเช่นกันค่ะ เคยสงสัยในแบบรองเท้าส้นสูงของสาวๆ ที่ขยันเปลี่ยนรูปทรงไปเรื่อยๆไหมคะ
จากแบบอ้วนหนา เป็นผอมเรียว เป็นอ้วนหนา แล้วก็ผอมเรียว กลับไปกลับมา
มันไม่ได้เปลี่ยนเพราะเค้าถกเถียงกันเรื่องส้นรองเท้าแบบไหนจะดีต่อสุขภาพสาวๆหรอกค่ะ
จริงๆแล้วคือถ้าคุณใส่รองเท้าส้นอ้วน ในปีที่คนอื่นๆเค้าใส่รองเท้าส้นเรียวกัน มันแปลว่าคุณไม่ได้ส่งเสริมลูกศรแห่งการบริโภค
และเท่ากับว่าคุณไม่มีคุณค่าต่อสังคมเท่ากับ ผู้หญิงที่ใส่รองเท่าส้นเรียวที่ยืนอยู่ข้างๆคุณ
หรือผู้หญิงที่อยู่ในโฆษณา ทั้งหมดนี้ก็เพื่อให้เราซื้อรองเท้าใหม่ไปเรื่อยๆยังไงล่ะคะ
โฆษณาและสื่อมีบทบาทที่สำคัญมากในเรื่องนี้
ชาวอเมริกันแต่ละคน ตกเป็นเป้าหมายของโฆษณา 3,000 ครั้งต่อวัน
เราเห็นโฆษณาต่อวันเป็นจำนวนมากกว่าโฆษณาที่คนเมื่อ 50 ปีที่แล้วเห็นตลอดชีวิตเสียอีก
ถ้าคิดดีๆแล้ว เป้าหมายของโฆษณาเหล่านี้ไม่ใช่อะไร นอกจากทำให้เราไม่พอใจกับสิ่งที่เรามีอยู่
ดังนั้นกว่า 3,000 ครั้งต่อวัน เราถูกพร่ำบอกว่า ผมเราดูไม่ดี ผิวเราไม่สวย
เสื้อผ้าเราก็ดูไม่เข้าท่า เฟอร์นิเจอร์ก็ผิดแบบ รถของเราก็ไม่เท่ห์ แล้วตัวเราเองก็เป็นคนผิด
แต่ทุกอย่างแก้ไขให้ถูกต้องได้ ถ้าเราออกไปจับจ่ายซื้อของ
สื่อยังช่วยปกปิดสิ่งที่เกิดขึ้น ตรงนี้ แล้วก็ ตรงนี้
ทำให้ภาพของเศรษฐกิจวัตถุที่เราเห็นมีเพียงหนึ่งเดียว คือการจับจ่ายซื้อของ
การสกัด การผลิต และการกำจัดข้าวของต่างๆ ถูกเบียดบังให้เป็นกระบวนการที่อยู่นอกสายตาของเรา
เอาล่ะ ตอนนี้ในอเมริกา เรามีข้าวของมากมายแบบที่เราไม่เคยมีมาก่อน
แต่อันที่จริงจากการสำรวจ สถิติระบุว่าระดับความสุขโดยรวมของชาติกำลังลดลง
ความสุขโดยรวมของชาติอยู่ที่จุดสูงสุดในช่วงปีทศวรรษ 1950 ก็เป็นช่วงเดียวกับที่กระแสการบริโภคแบบลืมหูลืมตานี้ได้เริ่มเป็นที่แพร่หลาย
อืมมมม...เป็นความบังเอิญที่น่าสนใจอยู่เหมือนกันนะคะ
ฉันคิดว่าฉันรู้ค่ะว่าเพราะอะไร เรามีข้าวของมากขึ้น
แต่เรามีเวลาให้กับสิ่งที่ทำให้เรามีความสุขอย่างแท้จริงน้อยลง
นั่นก็คือ เพื่อน ครอบครัว เวลาพักผ่อน เราทำงานหนักแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
นักวิเคราะห์บางคนบอกว่า เรามีเวลาพักผ่อนน้อยกว่าสมัยศักดินานู่นเสียอีก
แล้วเชื่อไหมคะว่า
เราใช้เวลาพักผ่อนที่มีอยู่น้อยนิดนั้นทำอะไร
ดูทีวี แล้วก็ชอปปิ้งยังไงล่ะคะ
ในอเมริกา เราใช้เวลาซื้อของเป็น 3-4 เท่า
3-4 เท่าเมื่อเปรียบเทียบกับเพื่อนของเราในยุโรป! เราอยู่ในสถานการณ์ที่ตลกสิ้นดี
สถานการณ์ที่วันๆเราก็ออกไปทำงาน อาจจะทำสองที่ด้วยซ้ำ
กลับบ้านมาเราก็หมดเรี่ยวแรง ล้มตัวลงนอนดูทีวี ในทีวีก็ดันบอกว่า "คุณนี่มันแย่จริงๆ ห่วยมาก"
แล้วคุณก็ต้องเดินออกไปซื้อของเพื่อให้รู้สึกดีขึ้น
แล้วก็ต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อมาจ่ายค่าของที่ซื้อมา
เมื่อเหนื่อยล้าจากการทำงานมากขึ้น ก็กลับมานั่งเหนื่อยดูทีวี ทีวีก็ไล่ให้เราไปเดินห้างอีก
จนเราวิ่งวนอยู่ในวัฎจักรของการทำงาน ดูทีวี และการบริโภค เหมือนหนูติดจั่น แต่เราสามารถหยุดวงจรนี้ได้
ในที่สุดแล้ว เกิดอะไรขึ้นกับข้าวของเยอะแยะที่เราซื้อมา
ในอัตราการบริโภคที่รวดเร็วแบบนี้ บ้านคงไม่มีที่พอให้เก็บของทั้งหมดแน่ๆ
ถึงแม้ว่าบ้านของเราจะใหญ่ขึ้น
จากบ้านของเราในช่วงปีทศวรรษ 1970 ก็ตาม ของทั้งหมดก็เลยต้องลงถังขยะไปตามระเบียบ
ทั้งหมดนี้จึงพาเรามาถึงขั้นตอนการกำจัด
นี่เป็นขั้นตอนที่เรารู้จักดีที่สุดในเศรษฐกิจวัตถุ ก็เพราะเราต้องลากถังขยะออกไปทิ้งเองยังไงล่ะคะ
เราแต่ละคนในอเมริกาทิ้งขยะ วันละกว่า 2 กิโลกรัม
นั่นมากเป็นสองเท่าของปริมาณที่เราเคยทิ้งเมื่อ 20 ปีที่แล้ว
ของทั้งหมดนี้จะถูกเอาไปทิ้งถมกันในหลุมขยะหลุมใหญ่
ถ้าเราโชคไม่ดี ขยะก็จะถูกเผาก่อนเอาไปฝังลงดิน
ไม่ว่าจะเป็นการกำจัดวิธีไหน ก็จะก่อมลพิษในอากาศ ในดิน ในน้ำ และแน่นอนมันจะเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วย
การเผาขยะเป็นวิธีการกำจัดขยะที่เลวร้ายมากๆ
ยังจำสารพิษที่ถูกใช้ในขั้นตอนการผลิตได้ไหมคะ
การเผาขยะ จะทำให้สารพิษเหล่านั้นถูกปล่อยออกมาในอากาศ
ที่แย่กว่านั้น สารพิษใหม่ที่เกิดขึ้นจากการเผาขยะดันมีพิษร้ายแรงยิ่งกว่า ตัวอย่างเช่น สารประเภทไดอ๊อกซิน
ไดอ๊อกซินเป็นสารที่มนุษย์สร้างขึ้น และเป็นที่รู้กันในหมู่นักวิทยาศาสตร์ว่า มีพิษร้ายแรงที่สุด
และเตาเผาขยะนี่แหละเป็นแหล่งผลิตไดอ๊อกซินอันดับหนึ่ง
นั่นหมายความว่าเราจะหยุดแหล่งสร้างมลพิษที่ร้ายแรงที่สุดได้
ด้วยการหยุดเผาขยะ เราจะหยุดกันวันนี้เลยก็ได้
ทีนี้มีบางบริษัทไม่อยากจะมายุ่งเกี่ยว กับขั้นตอนการกำจัดขยะโดยการทิ้งลงหลุม หรือเผา
เขาเหล่านั้นเลยส่งออกขยะไปทิ้งที่อื่นซะเลย แล้วการนำกลับมาใช้ใหม่ล่ะ ช่วยอะไรได้ไหม
ได้ค่ะ มันช่วยลดปริมาณขยะทางฝั่งนี้
และลดแรงกดดันที่จะทำลายทรัพยากรเพื่อการผลิตทางฝั่งนี้ค่ะ
ถูกต้อง ถูกต้อง ถูกต้องนะคะ! เราควรนำข้าวของของเรากลับมาใช้ใหม่ แต่นั่นยังไม่พอ
การนำกลับมาใช้ใหม่ยังไม่เพียงพอกับการแก้ไขปัญหา ด้วยสาเหตุ 2 ประการค่ะ
ข้อแรก ขยะที่ทิ้งจากบ้านของเราเป็นเพียงส่วนเล็กน้อยมากๆค่ะ เมือเทียบกับปริมาณทั้งหมด
ในทุกๆถังขยะ 1 ถังที่เราลากไปทิ้ง
มีข้าวของที่กลายเป็นขยะไปแล้วในขั้นตอนการสกัด การผลิต การขนส่ง และนั่นเกิดขึ้นก่อนที่สินค้าจะถึงมือเราด้วยซ้ำ
ขยะทั้งหมดเกิดขึ้นเพื่อผลิตขยะที่เรากำลังจะลากไปทิ้งแค่ถังเดียวเอง
ดังนั้นถึงแม้ว่าเราจะสามารถนำขยะในบ้านเรากลับมาใช้ได้ 100 %
เราก็ยังเข้าไม่ถึงแก่นแท้ของปัญหา อีกอย่างหนึ่ง ขยะหลายชนิดก็ไม่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้
อาจเป็นเพราะมีสารพิษปนอยู่มากเกินไป หรือถูกออกแบบมาไม่ให้นำกลับมาใช้ใหม่ตั้งแต่ต้น
เหมือนกล่องน้ำผลไม้ที่เราคุ้นเคย ที่มีแผ่นกระดาษ โลหะ และพลาสติก
ทุกอย่างถูกอัดแน่นติดกัน จนแยกประเภทขยะเพื่อนำไปใช้ใหม่ไม่ถูก
คุณก็เห็นแล้วว่า ระบบนี้กำลังวิกฤต ตลอดเส้นทางเราต้องเผชิญกับขีดจำกัดมากมาย
จากการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ จนถึง ระดับความสุขที่ลดลง เห็นได้ชัดว่าระบบนี้ใช้ไม่ได้ผลจริงๆ
แต่ข้อดีของปัญหาทั้งหมดทั้งปวงนี้
คือเราสามารถเข้าไปแทรกแซงเพื่อแก้ไขได้ในหลายๆจุดเลยล่ะคะ
เรามีคนที่ทำงานตรงนี้เพื่ออนุรักษ์ป่าไม้ ตรงนี้เพื่อการผลิตที่สะอาดไร้มลพิษ
คนที่ทำงานเพื่อสิทธิของแรงงาน เพื่อการค้าที่เป็นธรรม
เพื่อการบริโภคที่มีจิตสำนึก หยุดการฝังขยะในดิน หยุดการเผาขยะ
และที่สำคัญมาก คือการเอารัฐบาลกลับมาเป็นของประชาชน
เพื่อให้เป็นรัฐบาลโดยประชาชน เพื่อประชาชนอย่างแท้จริง
งานทั้งหมดนี้มีความสำคัญอย่างใหญ่หลวง แต่จะเห็นผลชัดเจนก็ต่อเมื่อ
เรามองเห็นความเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กันในระบบ เมื่อเราเข้าใจภาพรวมของมัน
เมื่อใดที่ประชาชนในระบบที่กระจัดกระจายกันอยู่สามารถรวมตัวกันได้ เราจะสามารถจัดระเบียบระบบเส้นตรงนี้เสียใหม่
ให้เป็นระบบที่ไม่ผลาญทรัพยากรทั้งทางธรรมชาติและทรัพยากรมนุษย์มากอย่างที่เคยเป็น
เพราะว่าสิ่งที่เราจะต้องทิ้งไป คือความคิดแบบเก่าๆที่ต้องทิ้งสิ่งของไปเรื่อยๆ
ในปัจจุบัน มีแนวคิดใหม่ที่เกิดขึ้น เศรษฐกิจที่ตั้งอยู่บนความยั่งยืนและความเสมอภาค
ได้แก่ เคมีสีเขียว โลกไร้ขยะ อุตสาหกรรมการผลิตแบบปิด
พลังงานหมุนเวียน การส่งเสริมเศรษฐกิจท้องถิ่น
แนวคิดใหม่ๆนี้ได้เกิดขึ้นแล้ว บางคนบอกว่าแนวคิดพวกนี้เป็นเรื่องในอุดมคติ ไม่มีทางเป็นจริงได้
ฉันว่าพวกที่ห่างไกลความเป็นจริงคือคนที่ยึดติดกับแนวคิดเก่าๆพวกนั้นต่างหาก
ได้แต่เพ้อฝัน เพ้อเจ้อชัดๆเลยล่ะ
จำได้ไหมคะว่า เส้นทางการดำเนินชีวิตแบบเก่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นเอง แล้วก็ไม่ใช่แรงโน้มถ่วงโลกซะหน่อย ที่เราจะต้องทนอยู่กับมัน
คนสร้างมันขึ้นมา แล้วเราก็เป็นคนเหมือนกัน ดังนั้น มาช่วยกันสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆกันเถอะนะคะ