Tip:
Highlight text to annotate it
X
ก่อนที่เราจะพูดคุยกันต่อ
เกี่ยวกับเรื่องที่พูดกันไว้ เมื่อสี่ครั้งที่แล้ว...
...เราสงสัย และคุณก็คงต้องเคย ถามตัวคุณเองด้วย...
...ว่าทำไมพวกเราที่มาชุมนุมกันที่นี่ และเคยฟังมาแล้วหลายปีดีดัก...
...ทำไมเราจึงไม่เปลี่ยนแปลง...
...อะไรคือสาเหตุรากเหง้า ที่ทำให้เราไม่เปลี่ยนแปลง
มันมีเพียงสาเหตุเดียว หรือว่ามีหลายสาเหตุ
เรารู้ว่าโลกภายนอกนั้น แบ่งแยกออกเป็นส่วนๆ มากขึ้น...
...รุนแรงมากขึ้น บ้าคลั่งมากขึ้น...
...คนกลุ่มหนึ่ง ต่อสู้กับอีกกลุ่มหนึ่ง...
...พลังงานทั้งมวลที่โลกมี...
...ไม่อาจเอามาแบ่งปัน ให้แก่คนทั้งโลกใช้ร่วมกันได้...
...คุณก็รู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น
แล้วความสัมพันธ์ของเรา ต่อเรื่องนั้น...
...หรือต่อโลกหรือต่อตัวเราเอง เป็นอย่างไร
เราแตกต่างจากทั้งหมดนั้นหรือเปล่า หากเป็นเช่นนั้น ผมขอถามว่า...
...หากเราแตกต่าง เรานั้นแตกต่าง อย่างสิ้นเชิงจากโลกรอบๆ ตัวเราไหม
บรรดาคุรุที่ชิงดีชิงเด่นกัน ศาสนาที่แข่งขันกัน...
...แนวความคิดที่ไม่ลงรอย ขัดแย้งกันและอื่นๆ...
...เราจะต้องทำอะไรร่วมกัน เพื่อเปลี่ยนแปลงตัวเราเอง
ผมขอถามด้วยความจริงจังที่สุด...
...ว่าทำไมเราจึงดำรงชีวิต เช่นที่เป็นอยู่...
...มีชีวิตอยู่ในบรรดาอุดมคติ ในความหยิ่งผยองอันคับแคบไร้สาระ...
...รวมทั้งเรื่องโง่เขลาทั้งหลาย ที่เราสั่งสมไว้...
...ทำไมเราถึงยังเป็นอยู่อย่างนี้
เรากลัวการเปลี่ยนแปลงใช่ไหม...
...เราไม่ปรารถนาหรือไม่ได้ตั้งใจ ค้นหาวิถีชีวิตซึ่งแตกต่างออกไปใช่ไหม
กรุณาถามคำถามเหล่านี้ กับตัวคุณเอง
ผมถามคำถามเหล่านี้เพื่อคุณ ไม่ใช่เพื่อตัวผม
เพราะเหตุใดกันแน่
อะไรคือสาเหตุหลัก ของความเสื่อมถอยในจิตใจมนุษย์...
...ซึ่งทำให้เกิดการกระทำ ที่แตกแยกและเสื่อมถอย
คุณเข้าใจไหม
ทำไมจิตใจมนุษย์ จึงกลายเป็นจิตใจที่คับแคบ ไม่เปิดกว้าง...
...ไม่ได้นำทุกสิ่งทุกอย่างมารวมกัน และปฏิบัติการจากความเป็นทั้งหมด...
...แต่กลับดำรงอยู่ใน อาณาบริเวณเล็กๆ แคบๆ ของตัวเอง
อะไรคือรากเหง้า ของจิตที่แบ่งแยกจนคับแคบนี้
คิดดูดีๆ ต่อไปอีกครับ ขอให้เราพูดคุยเรื่องนี้กันอีกหน่อย
เมื่อวันก่อนคุณถามว่า "ทั้งๆ ที่ฟังคุณพูดมาสี่สิบห้าสิบปีแล้ว...
...ทำไมฉันจึงไม่เปลี่ยนแปลงเลย
มีการเปลี่ยนแปลงหรือปรับปรุงบ้าง ก็เพียงเล็กๆ น้อยๆ...
...เช่น ฉันอาจจะไม่เป็น พวกชาตินิยมแล้ว...
...ไม่สังกัดองค์กรศาสนาใดๆ อีกต่อไป...
...ไม่สังกัดนิกาย หรือขึ้นกับคุรุใดๆ อย่างฉาบฉวย...
...หรือเข้าร่วมกิจกรรมประหลาดๆ ที่ทำๆ กันอยู่
แต่ลึกๆ แล้วเรายังคงเหมือนเดิม ไม่มากก็น้อย
บางทีอาจจะละเอียดอ่อนขึ้น การเอาตัวเองเป็นใหญ่ลดลงเล็กน้อย...
...อาจจะก้าวร้าวน้อยลง ได้รับการขัดเกลามากขึ้น รู้จักยอมมากขึ้น...
...คำนึงถึงคนอื่นมากขึ้นอีกนิดหน่อย แต่รากเหง้ายังคงอยู่
คุณเคยสังเกตสภาพนี้บ้างไหม เพราะเหตุใดหรือ
เรากำลังพูดถึงการถอนรากเหง้านั้น ทิ้งไปให้สิ้นซาก...
...ไม่ได้พูดเรื่องการจัดการ กับส่วนย่อยๆ และกิ่งก้านสาขา
แต่เรากำลังพูดถึง...
...การขุดรากเหง้าแท้ๆ ของการเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางสำคัญ...
...ทั้งในระดับที่สำนึกรู้ และไม่สำนึกรู้
นั่นเป็นเพราะเราต้องอาศัย กาลเวลาใช่ไหม กรุณาสืบค้น
กาลเวลา เช่น "ให้เวลาฉันหน่อย"
แต่ทว่ามนุษย์มีอยู่ มาเป็นเวลาหลายล้านปีแล้ว...
...รากเหง้านั้นก็ยังไม่ถูกขุด รื้อถอนทิ้งไป
กาลเวลาไม่ได้ช่วยแก้ปัญหานี้เลย
ถูกต้องไหม
กรุณาให้ใจของคุณกับเรื่องนี้
วิวัฒนาการอันเป็นกระแสแห่งกาลเวลา ก็แก้ปัญหานี้ไม่ได้
แม้ว่าเราจะมีการคมนาคมที่ดีกว่าเดิม มีห้องน้ำที่ดีกว่าเดิมและอื่นๆ...
...แต่โดยแก่นแท้แล้ว...
...มนุษย์ก็ยังเป็น เหมือนอย่างที่เคยเป็นเมื่อล้านปีก่อน
ถ้าเราตระหนักในเรื่องนี้ จะเห็นว่าน่าเศร้าทีเดียว
และถ้าเราจริงจัง ไม่ใช่จริงจังเฉพาะที่นี่ ในเต็นท์นี้เท่านั้น...
...แต่จริงจังในชีวิตแต่ละวัน ไปตลอดชีวิต
คุณไม่เคยถามเลยหรือว่า...
...การกระทำที่เห็นแก่ตัว รวมทั้งปัญหาทั้งหมดของมันจะยุติลงได้ไหม
ถ้าคุณตั้งใจถามจริงๆ และถ้า เราตระหนักถึงเรื่องกาลเวลาและความคิด...
...ซึ่งเราได้สืบค้นไป เมื่อวันก่อนว่า...
...กาลเวลาและความคิดนั้นเหมือนกัน...
...มันเป็นกระบวนการเดียวกัน...
...ทั้งความคิดและเวลา ไม่เคยแก้ปัญหานี้ได้
แต่นั่นเป็นเครื่องมือ เพียงอย่างเดียวที่เรามี
และดูเหมือนเราก็ไม่เคยตระหนักว่า...
...เครื่องมืออันนั้น ซึ่งเป็นกระบวนการของความคิด...
...ไม่ว่าจะอย่างไรก็จำกัด...
...กระบวนการคิด ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้เลย
แต่เราก็ยังคงติดตรึง อยู่กับการใช้เครื่องมืออันนั้น
เรายังยึดเครื่องมืออันเก่าอยู่
ถูกต้องไหม
ความคิดได้สร้าง ปัญหาต่างๆ เหล่านี้ขึ้นมาใช่ไหม
ซึ่งเห็นได้อย่างชัดเจน
ไม่ว่าจะเป็นปัญหาของชนชาติ ปัญหาต่างๆ ที่เกิดจากสงคราม...
...ปัญหาศาสนา ทั้งหมดนั้น เป็นกระบวนการของความคิดซึ่งจำกัด
และความคิดนั่นเอง ที่สร้างศูนย์กลางนี้ขึ้นมา
ถูกต้องไหม ชัดเจนนะ
และดูเหมือนว่าเรายังไม่สามารถ หาเครื่องมือใหม่มาใช้ได้
ถูกต้องไหม
เรายังค้นไม่พบเครื่องมือใหม่
เนื่องจากเรายังไม่กล้าทิ้ง เครื่องมือเก่าไป...
...และยังใช้มันอยู่ แล้วเราก็หวังจะค้นพบเครื่องมือใหม่ๆ
คุณตามทันไหม
คุณจะต้องปลดปล่อยบางสิ่งออกไป เพื่อที่จะค้นพบสิ่งใหม่
ถูกต้องไหม
ถ้าคุณเห็นหนทางทอดยาวไปสู่ยอดเขา...
...แต่มันก็ไม่ได้นำคุณ ขึ้นไปสู่ที่นั่น คุณย่อมจะต้องสืบสวนดูใหม่
คุณจะไม่ยึดติดกับหนทางนั้น
ดังนั้นเราจึงถามว่า...
...มันเป็นอะไรไปหรือ ทำไมมนุษย์ถึงได้โง่เง่าเสียเหลือเกิน
พวกเขาทำสงครามกัน แบ่งแยกชนชาติกัน แบ่งแยกศาสนาและอื่นๆ...
...และพวกเขาก็ยังดำรงชีวิต อยู่ในความโศกเศร้า...
...ความขัดแย้ง การชิงดีชิงเด่น การทะเลาะวิวาท...
...เป็นทุกข์กันอยู่ คุณตามทันไหม
แล้วอะไรเล่า จะทำให้มนุษย์ทิ้งเครื่องมือไป...
...และมองหาเครื่องมือใหม่มาแทน
คุณเข้าใจไหม มองหาเครื่องมืออันใหม่
เป็นเพราะเราขี้เกียจใช่ไหม หรือว่าเราขลาดกลัว
หรือถ้าฉันทิ้งเครื่องมืออันเก่าแล้ว
คุณจะรับประกันได้ไหม ว่าฉันจะได้อันใหม่
คุณเข้าใจไหม
ซึ่งนั่นหมายความว่า เราดำรงชีวิตด้วยความคิดอันจำกัดนี้...
...และเราก็คิดว่า เราได้ค้นพบความมั่นคงในนั้น...
...จึงกลัวที่จะปล่อยมันไป...
...แต่คุณจะค้นพบ เครื่องมืออันใหม่ได้...
...ก็ต่อเมื่อมีการทิ้งของเก่า ไปแล้วเท่านั้น
ชัดเจนนะ
ดังนั้นเราจึงถามว่า นั่นเป็นเพราะความกลัวใช่ไหม
เพราะคุณจะสังเกตเห็นว่า มีคุรุจำนวนมากมายทั่วโลก...
...ต่างก็รับประกันในความมั่นคงว่า "จงทำสิ่งนี้ หรือ ทำตามนี้...
...หรือฝึกฝนอย่างนี้ แล้วในที่สุด เธอจะได้รับอะไรบางอย่าง"
นั่นคือรางวัล คือสิ่งตอบแทน
คำมั่นสัญญาว่าจะได้รับรางวัล มีแรงดึงดูดใจบางอย่าง...
...รวมทั้งความหวังที่คุณจะได้พบ ในความมั่นคงปลอดภัยนั้น
แต่เมื่อคุณตรวจสอบมัน ละเอียดขึ้นอีกหน่อย โดยไม่เชื่ออะไรง่ายๆ...
...ไม่รับเอาสิ่งที่คนอื่น พูดมาทั้งดุ้น...
...แล้วคุณก็จะเห็น อย่างแจ่มแจ้งว่า...
...รางวัลก็คือปฏิกิริยาตอบสนอง ต่อการลงโทษ คุณเข้าใจไหม
เพราะว่าเราถูกฝึกถูกหัดมาด้วย แนวความคิดเรื่องการให้รางวัล...
...และการลงโทษ การได้และการเสีย
ถูกต้องไหม เรื่องนี้เห็นได้ชัดเจน
ดังนั้นเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกลงโทษ...
...ซึ่งหมายถึง ความเจ็บปวด ความเศร้าโศกและอะไรทำนองนั้น...
...เราจึงแสวงหารางวัลและหวังว่า จะค้นพบอะไรบางอย่างที่มีความมั่นคง...
...มีสันติสุข หรือ ความสุขในนั้น
แต่เมื่อคุณสืบค้นเข้าไปแล้ว คุณกลับไม่พบมัน
บรรดาคุรุหรือพระ อาจจะให้คำมั่นสัญญาไว้
แต่มันก็เป็นเพียงแค่คำพูด
ใช่ไหม
ดังนั้นในฐานะที่เราเป็นมนุษย์ เราจะสืบค้นปัญหานี้ร่วมกันได้อย่างไร...
...ว่าเป็นไปได้หรือไม่ ที่จะขจัดความเห็นแก่ตัว...
...การถือเอาตนเป็นสำคัญ...
...ซึ่งเต็มไปด้วยพิษร้ายนี้ ทิ้งไปให้สิ้นซาก
ถูกต้องไหม
ผมไม่ทราบว่าแม้แต่คำถามนั้น คุณเคยถามบ้างไหม
เมื่อใดที่คุณถามคำถามนั้น...
...แสดงว่าคุณเริ่มฉลาด ขึ้นบ้างแล้วเล็กน้อย
โดยธรรมชาติ
ดังนั้นในเช้าวันนี้ เราจะพิจารณาปัญหานี้ร่วมกัน
เป็นการคิดใคร่ครวญร่วมกัน
ไม่ใช่ผมบอกคุณ และคุณก็ยอมรับหรือปฏิเสธ...
...แต่ร่วมกันค้นหาว่า กระบวนการของอัตตา...
...ตัวตนนี้สามารถยุติลงได้ไหม
คุณสนใจไหมที่จะค้นหาร่วมกัน
ไม่ครับ อย่าพูดว่าสนใจ… หรือพยักหน้า
เพราะปัญหานี้สำคัญมากจริงๆ
ขณะที่อยู่ในเต็นท์นี้ คุณอาจจะถูกผู้พูดกระตุ้นหรือปลุกเร้า...
...แต่ผมหวังว่าคงไม่เป็นเช่นนั้น
แต่คุณอาจจะถูกปลุกเร้า ก็เลยค่อนข้างตื่นเต้น แล้วพูดว่า...
..."ใช่ ฉันเห็นด้วยกับคุณ เราต้องทำสิ่งนี้"
แต่เมื่อคุณออกจากปรัมนี้ไป...
...คุณก็ลืมเรื่องนี้หมด แล้วดำเนินชีวิตแบบเดิมๆ
ดังนั้นขอให้แต่ละคน ต่างปล่อยวางอคติส่วนตัวของคุณ...
...วางบรรดาคุรุ และข้อสรุปต่างๆ ของคุณ...
...แล้วเรามาตรวจสอบปัญหานี้ด้วยกัน
ในการตรวจสอบคุณจะต้องเป็นอิสระ
ถูกต้องไหม ชัดเจนใช่ไหม
คุณจะต้องเป็นอิสระที่จะตรวจสอบ...
...คุณจะต้องเป็นอิสระจากอุปสรรคต่างๆ ที่มาขวางกั้นการตรวจสอบของคุณ
สิ่งที่ขวางกั้นก็คืออคติของคุณ ประสบการณ์ของคุณ ความรู้ของคุณ...
...หรือความรู้ของคนอื่น สิ่งเหล่านั้นเป็นอุปสรรคขัดขวาง...
...คุณจึงไม่สามารถตรวจสอบ หรือคิดร่วมกันได้
ถูกต้องไหม
อย่างน้อยที่สุดก็ให้เข้าใจเรื่องนี้ ในระดับที่ไตร่ตรองเอาด้วยเหตุผล
ผู้พูดไม่มีปัญหาเหล่านี้ สักปัญหาเดียว
...เพราะเขาไม่มีอคติ หรือความเชื่อใดๆ อยู่เลย
จึงจบ หมดปัญหา
ต่อเมื่อคุณ ก็อยู่ในสถานะเดียวกันกับผู้พูด
เราจึงจะเข้าใจกัน บรรจบกันได้
ดังนั้นขอให้เรามาตรวจสอบ พิจารณาและคิดพินิจร่วมกัน
มาคิดพินิจด้วยกัน เกี่ยวกับปัญหาที่ว่า...
...ทำไมมนุษย์ทั่วทั้งโลก จึงยังคงเห็นแก่ตัวอยู่...
..ทั้งๆ ที่รู้ถึงปัญหาต่างๆ ที่ตามมา รู้ถึงความสับสน ความทุกข์ยาก...
...และความเศร้าโศกที่เกิดจากมัน แต่พวกเขาก็ยังยึดถือมันอยู่เช่นนั้น
ถูกต้องไหม
ทีนี้เรามาถามว่า มันเป็นเพราะความอยากใช่ไหม
คุณรู้นะว่าความอยากคืออะไร
เราถามว่าความอยากคือรากเหง้า ของความเห็นแก่ตัวนี้ใช่ไหม
ความอยากคืออะไร
เราทุกคนอยากได้อะไรต่างๆ มากมาย...
...เช่น อยากพ้นทุกข์ อยากได้ความสุข อยากให้ดูดี...
...อยากให้โลกมีสันติสุข อยากเติมเต็มให้ตัวเอง...
...และหลีกเลี่ยงจากความคับข้องใจ...
คุณเข้าใจไหม
มนุษย์ทั้งมวล ต่างถูกความอยากผลักดันอยู่
คุณตามทันไหม
เรากำลังถามว่านั่นคือสาเหตุ รากเหง้าอันหนึ่งของชีวิตที่เห็นแก่ตัว...
...ที่มาพร้อมกับความสับสน และความทุกข์ยากของมันใช่ไหม
และบรรดาศาสนาทั่วทั้งโลก พากันบอกว่า...
...คุณต้องกดข่มความอยากเอาไว้
ถูกต้องไหม
คุณต้องบวชเป็นพระ รับใช้พระเจ้า...
...และเพื่อที่จะบรรลุถึงสิ่งสูงสุด คุณจะต้องไม่มีความอยากอยู่เลย
คุณเข้าใจไหม
นี่เป็นคำสั่งสอนซ้ำๆ ซากๆ มาตลอด...
...ของบรรดาผู้ที่ในโลกนี้ เรียกกันว่าศาสนิก
และเมื่อปราศจากความเข้าใจ...
...ว่าโครงสร้างและธรรมชาติ ของความอยากคืออะไร...
พวกเขาจึงตั้งอุดมคติว่า การจะรับใช้หลักการสูงสุด...
...หรือพระพรหมในอินเดีย หรือพระเจ้า หรือพระคริสต์ในโลกของคริสเตียน...
...หรือนิกายรูปแบบต่างๆ ที่ไร้สาระที่แตกแยกกันออกมา...
...ก็คือต้องกดข่ม ควบคุม และต้องอยู่เหนือความอยาก
ถูกต้องไหม
ทีนี้เราจะมาร่วมกันสืบค้นว่า ความอยากคืออะไร
เมื่อคุณตรวจสอบว่า ความอยากคืออะไร...
...กรุณาตั้งใจฟัง เมื่อคุณตรวจสอบ หรือวิเคราะห์ว่า ความอยากคืออะไร...
...คุณกำลังใช้ความคิด เป็นเครื่องมือในการวิเคราะห์
ซึ่งนั่นเป็นการกลับเข้าไปสู่ห้วงอดีต คุณตามทันไหม
ดังนั้นคุณกำลังใช้ เครื่องมืออันเก่า...
...ซึ่งคือความคิดที่จำกัด และมองเข้าไปในอดีตทีละก้าวขั้น...
...ซึ่งเป็นกระบวนการวิเคราะห์ทางจิต
ทั้งหมดนี้คุณตามทันไหม
แต่การตรวจสอบความอยากนั้น...
...คุณจะต้องเห็นมันจริงๆ ในขณะนั้น ไม่ใช่ย้อนกลับไปหาอดีต
คุณเข้าใจที่ผมพูดไหม
กรุณาสืบค้นไปด้วยกันกับผมอีกหน่อย
คุณจะต้องเข้าใจจุดนี้อย่างแจ่มแจ้ง
กระบวนการวิเคราะห์ทางจิต โดยการทบทวนตรวจสอบตัวเอง...
...เป็นการย้อนถอยหลังกลับไปอดีต โดยหวังว่าจะค้นพบสาเหตุได้
ถูกต้องไหม
ซึ่งการทำเช่นนั้น คุณต้องใช้ความคิดเป็นเครื่องมือ
ถูกต้องไหม
แต่ความคิด เป็นเครื่องมือเก่าอันจำกัด...
...และคุณกำลังใช้เครื่องมือเดิมๆ มาค้นหารากเหง้าของความอยาก
แต่เรากำลังพูดถึงอะไรบางอย่าง ที่แตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง
กรุณาใส่ใจกับเรื่องนี้สักนิด
เรากำลังบอกว่า การวิเคราะห์ไม่ว่าจะโดยตัวเราเอง...
...หรือวิเคราะห์โดยผู้เชี่ยวชาญ ไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย...
...นอกจากคุณจะเป็นโรคประสาทอ่อนๆ หรืออะไรทำนองนั้น...
...ซึ่งการวิเคราะห์อาจจะช่วยได้บ้าง
บางทีพวกเราทั้งหมด อาจจะเป็นโรคประสาทอ่อนๆ กันบ้าง
ทีนี้เราพูดว่า ให้เฝ้าสังเกต ดูธรรมชาติของความอยาก
อย่าไปวิเคราะห์มัน แค่เฝ้าสังเกตดูเฉยๆ
คุณเข้าใจความแตกต่างไหม
ที่พูดนี้ชัดเจนไหม
ผมจะอธิบายให้คุณฟัง
คุณเห็นไหมว่าจะต้องอธิบาย กันทุกสิ่งทุกอย่าง ซึ่งไม่ดีเลย
คุณไม่กระโดดเข้าไปหามัน แล้วบอกว่า "ฉันเข้าใจแล้ว"
แต่เท่าที่คุณพูดก็คือ "อธิบายให้ฟังหน่อย แล้วฉันจึงจะเข้าใจ
จงอธิบายกระบวนการทั้งหมด ของความอยาก...
...เลือกใช้คำพูดที่ถูกต้อง อธิบายให้ตรงที่สุด แล้วฉันจึงจะเข้าใจ"
สิ่งที่คุณเข้าใจก็คือ ความแจ่มแจ้งของคำอธิบาย...
...หรือความชัดเจนในระดับคำพูด...
...แต่นั่นไม่ได้ทำให้คุณสังเกต กระบวนการของความอยากได้อย่างสมบูรณ์
คุณเข้าใจที่พูดนี่ไหม
ฉะนั้นคุณจะหยุดการวิเคราะห์ แต่มาเฝ้าสังเกตดูเฉยๆ ได้ไหม
คุณเข้าใจไหม จับสาระสำคัญได้แล้วใช่ไหม
เราสื่อสารเข้าใจกันไหมนี่
เราสามารถบรรยายถึงความงดงาม ของภูเขา หิมะสีขาว ท้องฟ้าสีคราม...
...ความสง่างาม น่าเกรงขาม และความบรรเจิดของมัน...
...อีกทั้งหุบเขา แม่น้ำ ลำธารและดอกไม้...
...และพวกเราส่วนมากก็พอใจกับคำบรรยาย
เราไม่พูดว่า "ลุกขึ้น ฉันจะปีนไต่ขึ้นไปและค้นหาให้พบ"
เรากำลังสืบค้นเรื่องของความอยาก อย่างระมัดระวัง...
...ไม่ใช่การสอบสวนย้อนหลังกลับไป...
...โดยหวังว่าจะค้นพบ ธรรมชาติของความอยาก
คุณเข้าใจไหม
แต่โดยการตื่นตัว มองดูมันร่วมกันจริงๆ
ว่าความอยากคืออะไร มองดูมันด้วยตัวคุณเอง
เรากำลังมองดูร่วมกันว่า ความอยากคืออะไร
คุณอยากได้เสื้อผ้า ชุดที่คุณเห็นในตู้โชว์
มีการตอบสนองเกิดขึ้น
คุณชอบสีสัน ชอบรูปทรง...
...หรือความทันสมัยของมัน ความอยากจึงพูดว่า "ไปเลย ไปซื้อ"
ดังนั้นในขณะนั้น เกิดอะไรขึ้นจริงๆ หรือ
ซึ่งไม่ใช่การวิเคราะห์ แต่เป็นการเฝ้าสังเกตดูจริงๆ...
...ดูปฏิกิริยาที่เกิดขึ้น เมื่อเห็นเสื้อผ้าชุดนั้นในตู้โชว์...
...และการตอบสนองต่อปฏิกิริยานั้น
คุณตามทันไหม
คุณติดตามอยู่ใช่ไหม
กรุณาอย่าเพิ่งหลับนะ!
คุณเห็นเสื้อผ้าชุดนั้น คุณชอบสี...
...ชอบสไตล์ที่ทันสมัย เกิดอะไรขึ้นตรงนั้นหรือ
คุณเฝ้าดูอยู่ เกิดความรู้สึกขึ้น
ใช่ไหม
เมื่อเกิดผัสสะ คุณสัมผัสมัน จากนั้นความอยากก็เกิดขึ้น...
...เมื่อความคิดสร้างมโนภาพของคุณ ในเสื้อผ้าชุดนั้น
ถูกต้องไหม คุณเข้าใจที่พูดนี้ไหม
มีการเห็น เกิดความรู้สึก ทางประสาทสัมผัส มีการสัมผัส...
...จากนั้นความคิดก็จินตนาการว่า คุณสวมเสื้อผ้าชุดนั้น...
...แล้วความอยากก็เกิดขึ้น
ที่พูดนี้คุณตามทันไหม
ไม่ ไม่ใช่ติดตามผม แต่ติดตามความเป็นจริงของกระบวนการนี้
ผมเพียงแต่ให้คำอธิบายหรือคำพูด...
...แต่เรากำลังพูดถึง ปฏิกิริยาตอบสนองที่เกิดขึ้นจริงๆ...
...คือเมื่อเห็น เมื่อสัมผัส เมื่อเกิดความรู้สึกทางประสาทสัมผัส...
...ความคิดสร้างภาพ ว่าคุณสวมชุดนั้นขึ้นมา...
...แล้วความอยากจึงเกิดขึ้น
คุณเข้าใจไหม คุณเข้าใจที่พูดนี้หรือยัง
เป็นความเข้าใจของคุณ ไม่ใช่ของผม
ผมยังไม่เข้าใจ
เอาล่ะ ค่อยๆ ติดตาม ตั้งใจฟังนะครับ
ในขณะที่ความคิดสร้างมโนภาพขึ้น จากมโนภาพนั้น ความอยากจึงเกิดขึ้น
ถูกต้องไหม คุณเข้าใจกระบวนการนี้ไหม
กรุณาทำความเข้าใจเรื่องนี้ โอ! ผมเหนื่อยจัง
ผมเบื่อการอธิบาย!
ผมจะยังยกตัวอย่างเสื้อผ้าชุดนั้น หรือเสื้อเชิ้ต
คุณเห็นว่าเกิดการรับรู้ สิ่งที่อยู่ในตู้โชว์ ก็คือการเห็น...
...เป็นการตอบสนองทางจักษุประสาท...
...จากนั้นก็เดินเข้าไปในร้าน จับดูเนื้อผ้า...
...จากนั้นความคิดก็พูดว่า "ถ้าฉันได้เป็นเจ้าของ มันก็ยอดไปเลย"
และจินตนาการว่าคุณสวมใส่ชุดนั้นอยู่
นั่นเป็นช่วงขณะที่ความอยากเกิดขึ้น
ถูกต้องไหม
คุณเห็นกระบวนการนี้ เกิดขึ้นจริงๆ ไหม...
...ไม่ใช่เห็นจากการอธิบายของผม
ชัดเจนไหม ที่ว่าตัวคุณเอง เฝ้าดูสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น
ทีนี้คำถามก็คือ (กรุณาสืบค้นเข้าไปอย่างถี่ถ้วน)...
...ทำไมความคิดจึงสร้างมโนภาพ...
...ว่าคุณเป็นเจ้าของเสื้อเชิ้ต หรือเสื้อผ้าชุดนั้น...
...แล้วจากนั้นก็ไขว่คว้ามัน
ขอให้เฝ้าดู
พินิจพิจารณาดู สืบค้น ใช้สมองของคุณค้นหาดู
เมื่อคุณเห็นเสื้อเชิ้ต สีน้ำเงินตัวหนึ่ง
จากนั้นคุณก็เดินเข้าไปดูใกล้ๆ และจับต้องมัน สัมผัสดูเนื้อผ้า...
...แล้วความคิดก็เข้ามา และพูดว่า "ดูดีจัง"
ตอนนี้คำถามที่เกิดขึ้นก็คือ
ความคิดสามารถหยุดตัวมันเอง ไม่สร้างมโนภาพขึ้นมาได้ไหม
คุณเข้าใจคำถามของผมไหม
ผมจะค่อยๆ อธิบาย ค่อยๆ สืบค้นลงไป
เรากำลังตรวจสอบ กระบวนการทั้งหมดของความอยาก...
...เพราะเราถามว่า ความอยากคือรากเหง้าแท้ๆ...
...ของการดำเนินชีวิต ด้วยความเห็นแก่ตัว...
...ของการยึดเอาตนเองเป็นศูนย์กลาง ความสำคัญใช่ไหม
และจากนั้นเราถามว่า มันใช่ความอยากไหม
แล้วเราก็ถามว่า ความอยากคืออะไร
และผู้พูดคัดค้านเต็มที่ ต่อการกดข่มความอยากเอาไว้...
...เพราะเหตุว่าการกดข่ม แก้ปัญหาไม่ได้
เขายังบอกอีกว่า อย่าวิ่งหนีความอยากโดยเข้าไปอยู่วัด...
...อย่าไปตั้งสัจจะอธิษฐาน และทำอะไรต่อมิอะไร...
...เพราะนั่นเป็นเพียงการหลีกหนี
แต่สิ่งที่เราบอกก็คือ ขอให้ตรวจสอบความอยากมองดูมัน...
...ไม่ใช่โดยการวิเคราะห์ แต่เฝ้าสังเกตดูมันเฉยๆ ในขณะที่มันเกิดขึ้น
การเฝ้าดูทำให้เห็นการตอบสนองทางตา ต่อชุดหรือเสื้อเชิ้ตสีน้ำเงิน...
...เกิดการสัมผัสเชื่อมโยง ภายในจิตใจ...
...การเข้าไปในร้าน การจับต้องเนื้อผ้า...
...จากนั้นความคิดก็สร้างมโนภาพ และความอยากก็เกิดขึ้น
ต่อเมื่อความคิดสร้างมโนภาพ ขึ้นมาเท่านั้น ความอยากจึงเกิดขึ้น
มิเช่นนั้นแล้วมันก็ไม่เกิดขึ้น ตอนนี้พวกคุณเข้าใจตรงนี้หรือยัง
ถูกต้องไหม
ดังนั้นความอยากจึงเกิดขึ้นและเบ่งบาน ณ ขณะที่คุณสร้างมโนภาพขึ้น...
...หรือความคิดสร้างมโนภาพขึ้นมา
เช่น คุณเคยมีประสบการณ์ที่มีความสุข ไม่ว่าจะเป็นกามารมณ์หรืออะไรก็ตาม
และความคิดก็สร้างมโนภาพขึ้นมา และคุณก็ไขว่คว้าหาประสบการณ์นั้น
อย่างหนึ่งอยู่ในรูปแบบ ของความพึงพอใจ...
...อีกอย่างก็คือการเคลื่อนไหว ของความอยากที่ขัดแย้งกันเอง
ถูกต้องไหม
เช่นคุณอยากได้เสื้อผ้าชุดนั้น...
...หรืออยากประสบความสำเร็จ อย่างยิ่งใหญ่และอื่นๆ
คุณสามารถเฝ้าดูความเป็นจริงนี้...
...ที่ในขณะซึ่งความคิดสร้างมโนภาพ ความอยากก็เกิดขึ้นมาได้ไหม
คุณตื่นรู้ต่อภาวะนี้ไหม
คุณเห็นขณะที่มันเกิดขึ้นจริงๆ ไหม...
...ว่าความคิดสร้างความอยาก ที่ไขว่คว้าจะไปให้ถึงเป้าหมาย...
...โดยผ่านการคิด จินตนาการขึ้นมาอย่างไร
ถูกต้องไหม
คุณกำลังนั่งอยู่ตรงนั้น
และเฝ้าดูความเป็นจริงนี้เกิดขึ้น ด้วยตัวคุณเองจริงๆ หรือไม่
เห็นได้ชัดเจนว่ามันง่ายมาก
ใช่ไหม
จากนั้นก็เกิดคำถามว่า เป็นไปได้ไหมที่ความคิดจะไม่สร้างมโนภาพ
นั่นคือประเด็นสำคัญ คุณเข้าใจไหม
ผมกำลังทำให้เรื่องนี้ ยุ่งยากอย่างยิ่งหรือไม่
ผมขออนุญาตเสนอแนะว่า...
...ให้เครื่องมืออันใหม่ เป็นสิ่งที่จับต้องได้ดีไหม
เดี๋ยวก่อนครับ ขอให้ผม พูดจบก่อนแล้วเราค่อยถาม
ผมขออนุญาตพูดให้จบก่อนได้ไหม
แล้วหลังจากนั้น คุณจึงถามคำถาม ถ้ายังมีเวลาพอ...
...เราจะมีการสนทนากันอีกห้าครั้ง หลังจากจบการบรรยายทั้งหมด
จากนั้นคุณจึงค่อยโจมตีผมด้วยคำถาม (หัวเราะ)
ดังนั้นขอให้อดทนจนกว่าจะถึงตอนนั้น
เรามาถึงจุดที่ว่า ตัวคุณเอง เฝ้าดูการผุดโผล่ขึ้นมาของความอยาก
ใช่ไหม
มีการรับรู้ การเห็น การสัมผัส และเกิดความรู้สึกทางประสาทสัมผัส
เมื่อถึงตรงนั้น ความอยากยังไม่เกิดขึ้น
มันเป็นเพียงแค่ปฏิกิริยา
คุณตามทันไหม
แต่ ณ ขณะที่ความคิดสร้างมโนภาพขึ้นมา วัฏจักรทั้งหมดก็เริ่มต้น
คุณเห็นกระบวนการทั้งหมดนี้ไหม
ถ้าคุณเห็นมันอย่างแจ่มชัดแล้ว ก็จะเกิดคำถามขึ้นมาว่า...
...เพราะเหตุใดความคิด จึงสร้างมโนภาพขึ้นมาเสมอๆ
คุณเข้าใจคำถามของผมไหม ทำไม
เมื่อคุณเห็นเสื้อเชิ้ตสีแดง สีน้ำเงิน สีขาว หรือสีอะไรก็ตาม...
...ก็เกิดความชอบ หรือไม่ชอบขึ้นมาในทันทีทันใด
แสดงว่าความคิดเคยมีประสบการณ์มาก่อน เช่น ความชอบหรืออื่นๆ
ดังนั้นคุณจะสังเกตดูเสื้อเชิ้ต หรือชุดสีน้ำเงินในตู้โชว์...
...และตระหนักได้ ถึงธรรมชาติของความคิด...
...และเห็นอีกด้วยว่า ณ ขณะที่ความคิด โผล่เข้ามา ปัญหาจึงเริ่มต้นขึ้น
ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องชุด หรือเสื้อเชิ้ตสีน้ำเงิน เรื่องเพศรสของคุณ...
...ประสบการณ์ทางเพศของคุณ มโนภาพ รูปภาพ ความคิดทำทั้งหมดนั้น
หรือมโนภาพที่ว่าคุณมีตำแหน่ง...
...มีสถานะภาพ หรือ หน้าที่การงาน
คุณตามทันไหม ดังนั้นนั่นแหละคือความอยาก
ดังนั้นคุณจะสามารถเฝ้าดู โดยไม่เกิดความอยากอันเร่งเร้าขึ้นได้ไหม
คุณเข้าใจคำถามของผมไหม สืบค้นเข้าไปแล้วคุณจะเห็น
คุณทำได้
นั่นคือเครื่องมืออันใหม่ ซึ่งก็คือการเฝ้าสังเกตดู
จากนั้นความอยากมีความมั่นคงปลอดภัย ก็เหมือนกัน
เข้าใจไหม
...ความมั่นคงในรูปของบ้านหลังใหญ่ๆ บ้านหลังเล็กๆ...
...บัญชีในธนาคารซึ่งอาจจะจำเป็น...
...รวมทั้งความมั่นคงที่ความอยาก ได้สร้างขึ้นมาเกี่ยวกับตัวเอง...
...มโนภาพเกี่ยวกับตัวคุณเอง และปฏิบัติการเติมเต็มให้กับมโนภาพนั้น...
...ซึ่งเกี่ยวโยงกับความคับข้องใจ มากมายหลายชนิด...
...และถึงแม้ว่าจะมีความคับข้องใจ หรือความขัดแย้ง...
...หรือความทุกข์ยากเพียงไรก็ตาม ความอยากก็ยังคงไล่ไขว่คว้าอยู่ดี...
...เพราะเหตุว่าความคิด จะสร้างมโนภาพ...
...ที่เกี่ยวโยงกับความรู้สึกตื่นเต้น ทางประสาทสัมผัสอยู่เสมอ
ถูกต้องไหม ผมไม่รู้ว่าคุณเห็นอย่างนี้ไหม
จากนั้นเราจึงขอถามคำถามต่อไปว่า...
...ความอยากเป็นสาเหตุ ของความกลัวหรือไม่
เราแสวงหาความมั่นคง โดยผ่านความอยาก...
...และการเติมเต็ม ให้แก่ความอยากนั้น...
...เช่นในเรื่องพระเจ้า ซึ่งเกี่ยวข้องกับจิตใจ
(ผมไม่อยากจะพูดถึง เรื่องที่ไม่น่ารื่นรมย์นี้ต่อไป)...
...และโดยที่เราไม่รู้ตัว เราอาจจะตระหนักอยู่ในใจลึกๆ ว่า...
...สิ่งต่างๆ ที่เราได้ลงทุนไปนั้น...
...หรือที่ความอยากได้ลงทุนไปนั้น ไม่มีคุณค่าใดๆ เลย
และการที่มันไม่มีคุณค่าใดๆ เลย คุณจึงกลัว
คุณเข้าใจไหม คุณตามทันไหม
อีกอย่างเพราะว่า เราไม่ได้กำลังวิเคราะห์ความกลัวอยู่
การวิเคราะห์เป็นเกมเก่าๆ ที่โง่เขลา
เรากำลังเฝ้าดู ความเป็นจริงของความกลัว
และเมื่อมันเกิดขึ้นมา ก็เฝ้าดู และถามว่า รากเหง้าของมันคืออะไร
ซึ่งไม่ใช่การค้นพบรากเหง้าของมัน โดยการวิเคราะห์...
...แต่โดยการเฝ้าดูเท่านั้น คุณจึงค้นพบรากเหง้า
คุณเข้าใจไหม
คุณตามทั้งหมดนี้ทันไหม
ดูเหมือนว่าคุณจะสงสัยอยู่นะ
ผมกำลังจะสืบค้นเข้าไปในเรื่องนี้
มนุษย์ยอมรับ และมีชีวิตอยู่ด้วยความกลัว
ทั้งภายนอกและภายในจิตใจ
...ทางภายนอกก็เช่น กลัวความรุนแรง กลัวจะได้รับบาดเจ็บ และอื่นๆ
ทางภายในก็เช่น กลัวว่าจะทำตัว ไม่สอดคล้องเข้ากับแบบแผน...
...กลัวความคิดเห็นของผู้คน กลัวว่าจะไม่ประสบผลสำเร็จ...
...กลัวว่าจะไม่ได้อย่างที่ต้องการ และอื่นๆ...
...ซึ่งคุณรู้ดี เป็นเรื่องทางจิตใจ
เราจึงขอถามตามความเป็นจริงว่า...
...คุณสามารถเฝ้าดู ความเป็นจริงนั้น...
...โดยที่จิตไม่เข้าไป คิดวิเคราะห์มัน...
...แต่เฝ้าดูการเคลื่อนไหวทั้งหมด ของความกลัวอย่างที่มันเป็นอยู่ได้ไหม
คุณเข้าใจไหม
คุณเหนื่อยหรือยัง
เหลืออีกสิบนาที! อดทนหน่อยนะ
เพราะคุณเห็น มันจึงเป็นไปได้...
...ที่จะเป็นอิสระอย่างสิ้นเชิง จากความกลัว
อย่ายอมรับคำพูดของผม เพราะมันเป็นชีวิตของคุณ...
...ไม่ใช่ชีวิตของผม คุณต้องค้นหาคำตอบเอง
ดังนั้นคุณต้องถามว่าความกลัวคืออะไร
รากเหง้าของความกลัว อยู่ในความอยากใช่หรือไม่
ขอให้สืบค้นเข้าไปช้าๆ อย่าเพิ่งปฏิเสธว่าไม่ใช่ ขอให้สืบค้นเข้าไป
เราเคยพูดไปแล้วว่า...
...ความอยากก็คือการที่ความคิด สร้างมโนภาพขึ้นมา...
...และไขว่คว้าไปตามมโนภาพนั้น...
...ซึ่งอาจจะได้หรือไม่ได้ดั่งใจ ตามมโนภาพนั้น
คุณตามทันไหม
ถ้าหากได้ดั่งใจ ก็ไม่มีความกลัว...
...หรืออย่างน้อยที่สุด ก็อาจจะมีเคราะห์ร้ายอย่างอื่นเกิดขึ้น
แต่ถ้าไม่ได้สมดังใจอยาก...
...ก็จะเกิดความคับข้องใจและความกลัว ว่าไม่สามารถได้ตามอยากนั้น
คุณเข้าใจไหม
ผมหมายถึงการเติมเต็ม ให้ได้ตามความอยากในเรื่องทางเพศที่ซับซ้อน...
...และดูเหมือนว่า ตอนนี้โลกเพิ่งจะค้นพบ...
...และพูดถึงมันกันมาก เรื่องความสำส่อนและทำนองนั้น
ดังนั้นเราจึงถามว่า ความกลัวคือผลิตผลของความอยากหรือไม่
ความอยากก็คือการสร้างมโนภาพขึ้นมา และการเติมเต็มให้แก่มโนภาพนั้น
ถูกต้องไหม
กรุณาตั้งใจฟัง
หรือว่าความกลัวเป็นส่วนหนึ่ง ของกาลเวลาใช่ไหม
คุณเข้าใจไหม ความกลัวคือ การเคลื่อนไหวของกาลเวลาใช่ไหม
ถ้าเช่นนั้น ความอยากและกาลเวลา คือสาเหตุของความกลัวใช่หรือไม่
คุณเข้าใจไหม โอ!พระเจ้า
ผมจะอธิบายช้าๆ ค่อยๆ เคลื่อนไปช้าๆ นะ
ความอยากคือการเคลื่อนไหวของความคิด พร้อมกับมโนภาพของมัน
นั่นคือการเคลื่อนไหวของความคิด สร้างมโนภาพขึ้นมา...
...และการเคลื่อนไหวของมโนภาพนั้น ก็คือกาลเวลา ถูกต้องไหม
ไม่ถูกหรือ
ไม่ใช่เวลาตามนาฬิกาที่เป็นไปตามลำดับ แต่เป็นกาลเวลาของจิตใจ
เราจึงถามว่ากาลเวลา คือสาเหตุของความกลัวเช่นเดียวกันใช่ไหม
กาลเวลาของความอยาก อา...ผมเข้าใจแล้ว
คุณเข้าใจไหม
กาลเวลาที่ความอยากสร้างขึ้น และความคิดสร้างความอยากขึ้นมา...
...ความคิดก็คือกาลเวลาเช่นเดียวกัน
ดังนั้นความคิดและความอยาก จึงเป็นสาเหตุของความกลัว
คุณเห็นอย่างนั้นไหม
เช่นผมกลัวว่าคุณอาจจะทำอะไรผม
ผมกลัวว่าคุณอาจจะทำร้ายจิตใจผม
ผมกลัวว่าสุนัขตัวนั้นจะกัดผม
แต่ในขณะที่สุนัขกำลังกัดนั้น กาลเวลายุติลง
คุณเข้าใจไหม มันแค่ว่าสุนัขอาจจะกัดผม
ผมได้สร้างมโนภาพขึ้นมา หรือความคิดสร้างมโนภาพขึ้นมา...
...ว่าสุนัขกัด ซึ่งเป็นกาลเวลาในอนาคต
ทั้งหมดนี้คุณตามทันไหม
ดังนั้นความอยากจึงมีอนาคตของมัน และเวลาก็คืออนาคต...
...เป็นเรื่องอดีต ปัจจุบัน และอนาคต
ดังนั้นคำถามก็คือ ความคิดสามารถตระหนักรู้ได้ไหม...
...ว่าการเคลื่อนไหวของมันเอง สร้างความกลัวขึ้นมา
คุณเข้าใจไหม ความคิดตระหนักรู้ ถึงธรรมชาติของมันเอง
เมื่อมันตระหนักรู้ว่า...
...ธรรมชาติของมัน เป็นตัวปฏิบัติการสำคัญของความกลัว...
...แล้วจะเกิดอะไรขึ้น
จากนั้นก็มีแต่สิ่งที่กำลังเกิดขึ้น อยู่จริงๆ เท่านั้น
ผมสงสัยว่าคุณจะเห็นอย่างนั้นไหม กรุณาตามมาครับ!
เพราะมันคงจะควรค่า ถ้าเราสามารถคิดในเรื่องนี้ร่วมกัน
จากนั้นคุณจะออกจากเต็นท์นี้ไป...
...โดยเข้าใจถึงการเคลื่อนไหว ของความกลัว...
...และตระหนักรู้ ถึงธรรมชาติของความอยาก...
...และธรรมชาติของความคิดอันจำกัด...
...ที่สร้างกาลเวลาขึ้นมา ซึ่งก็คือความกลัว
คุณเข้าใจไหม คุณตระหนักรู้หรือยัง
หรือว่าคุณเพียงแต่ยอมรับ คำพูดเท่านั้นใช่ไหม
คุณเข้าใจไหม
ถ้าคุณตระหนักรู้ในเรื่องนี้ ปัญหาก็จบ
ไม่มีคุรุ ไม่มีพระเจ้า หรือสิ่งไร้สาระทั้งหมดนั้นอีกต่อไป
ผมฟังมาเรื่อยๆ แต่ความคิดของผมไม่ยอมหยุด...
ไม่ใช่ มันไม่ใช่ประเด็นปัญหาว่า ความคิดหยุดลง
ไม่ใช่ อย่าเพิ่งพูดถึงความคิดหยุด อีกซักครู่เราจะถกเรื่องนั้นกัน...
...เมื่อเราพูดถึงสมาธิ ถ้าคุณสนใจ
การหยุดความคิดไม่ใช่ประเด็น
ผมกำลังถามว่า ตัวความคิดเอง ตระหนักรู้ถึงสิ่งที่มันกำลังทำอยู่หรือไม่
รู้ว่ามันได้สร้างความอยากขึ้นมา
และการเติมเต็มให้แก่ ความอยากนั้นคือกาลเวลา
และกระบวนการนั้นพัวพันกับความกลัว
และความคิดก็ยังได้สร้าง สิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นอีกด้วย
เช่น ผมเคยเจ็บปวด...
...ผมหวังว่าจะไม่ต้องเจ็บปวดอีก ซึ่งเป็นเรื่องในอนาคต
ดังนั้นความคิดจึงสร้างอนาคตขึ้นมา
ถูกต้องไหม
และอนาคตกาลก็คือธรรมชาติแท้ๆ ของความกลัว
ผมไม่แน่ใจว่าคุณเข้าใจหรือเปล่า!
ยกตัวอย่างเช่น ถ้าหากผมตายในทันทีทันใด...
...ย่อมไม่มีความกลัวเกิดขึ้น
ถ้าหากผมหัวใจวายอย่างฉับพลัน...
...ตายไป ย่อมไม่มีความกลัวเกิดขึ้น
แต่ถ้าหัวใจของผมอ่อนแอ ผมคิดว่าอาจจะตาย ซึ่งเป็นเรื่องในอนาคต
อนาคตกาลคือการเคลื่อนไหว ของความกลัว เข้าใจไหม
ขอให้เห็นความจริงของมัน ไม่ใช่ข้อสรุปของคุณ...
...ไม่ใช่พูดว่า "ใช่ ฉันเห็นมัน" แต่เห็นสัจธรรมของมัน
จากนั้นสัจธรรมก็จะทำงานเอง โดยที่คุณไม่ต้องทำอะไรเลย
ถ้าคุณเห็นสัจธรรมนั้น และสัจธรรมนั้นก็คือความเป็นจริง...
...จากนั้น ความคิดก็พูดว่า "เข้าใจแล้ว ฉันจบแล้ว"
เพราะความคิดไม่สามารถปฏิบัติการ ต่อความเป็นจริงได้
มันจะปฏิบัติการต่ออะไรบางอย่าง ที่ไม่ใช่ความเป็นจริง
ดังนั้นหลังจากที่คุณได้ฟังถ้อยคำ พล่ามเพ้อมากมายนี้แล้ว...
...คุณตระหนักรู้ถึงธรรมชาติ ของความกลัวแล้วหรือยัง
เห็นความจริงแท้ของมัน
ถ้าหากคุณเห็นความจริงแท้ๆ ของมันจริงๆ ความกลัวก็หายไป
มันไม่ใช่เรื่องที่คุณจะไป ควบคุมความคิด
คุณนั่นแหละคือความคิด คุณเข้าใจไหม
นี่คือการถูกครอบงำ อันน่าประหลาดอย่างหนึ่งของเรา...
...ที่ว่าคุณแตกต่างจากความคิด...
...จึงทำให้คุณบอกว่า "ฉันจะควบคุมความคิด"
ถ้าหากเราแตกต่างจากความคิด...
แต่เมื่อคุณตระหนักว่า ตัวความคิดนั้นคือ "ตัวฉัน"...
...และความคิดนั้นสร้างอนาคตขึ้นมา ซึ่งก็คือความกลัว...
...และเห็นความเป็นจริงของมัน...
...ไม่ใช่เห็นโดยการคิดเอา อย่างเป็นเหตุเป็นผล...
...เพราะคุณไม่สามารถเห็นความเป็นจริง ด้วยการนึกคิดเอา
คุณอาจจะเข้าใจคำอธิบาย อย่างแจ่มแจ้งด้วยการขบคิด...
...แต่นั่นไม่ใช่การเห็นความเป็นจริง
ความจริงแท้ๆ คือความเป็นจริงที่ว่า...
...อนาคตกาลหรือการเคลื่อนไหวทั้งหมด ของอนาคตกาล...
...ก่อกำเนิดความกลัวขึ้นมา
ทีนี้คุณเคยได้ยิน ได้ฟัง เรื่องนี้มาก่อน...
...ในวิถีทางที่อาจจะแตกต่างออกไป...
...ด้วยคำอธิบายที่ต่างกัน และในโอกาสต่างๆ กัน...
...แต่คุณก็มาชุมนุมกันที่นี่อีก...
...และในเช้าวันนี้คุณก็ได้ยินได้ฟัง การอธิบายอย่างแจ่มแจ้ง...
...ซึ่งไม่ใช่การวิเคราะห์
และคุณเป็นอิสระ จากความกลัวแล้วหรือยัง
นั่นเป็นการทดสอบ
ถ้าคุณยังคงกลัวอยู่ คุณจะพูดว่า...
..."ฉันกลัวนั่น...นี่" และอะไรทำนองนั้น...
...แสดงว่าคุณไม่ได้ฟังจริงๆ...
ขอให้เราพูดเรื่องนี้กันต่อ ในวันพฤหัสบดี...
...หรือวันมะรืนนี้ตอนเช้าได้ไหม
ได้ไหม