Tip:
Highlight text to annotate it
X
สวัสดี นี่คือครูแอนเดอสันกับวิดีโอพอดแคสเรื่องระบบภูมิคุ้มกัน ในพอดแคสนี้
ครูจะเริ่มด้วยเรื่องทางประว้ติศาสตร์สักหน่อย ภาพสวยๆพวกนี้มาจากเอกสาร
Florentine Codex ที่มีความหนาเป็นพันๆหน้า ใช้เวลาเขียนมากกว่า 45 ปี
โดยนายคนนี้ หรือพระ (friar) คนนี้ เอ้า คือเป็นผลงานของแกที่มาจากการศึกษาเรื่องอารยธรรมแอสเทค (Aztec) ว่ามีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร
ในช่วงสมัยที่แกมีชีวิตอยู่ ก็มีการแปลเป็นภาษาอังกฤษ และถ้าพวกเราสนใจ
ก็หาอ่านเพิ่มเติมได้ในวิกีพีเดีย น่าสนใจมาก เราจะได้เห็นพิธีกรรมต่างๆของกลุ่มคนพวกนี้
ซึ่งแกได้อธิบายไว้เป็นอย่างดี รวมถึงเรื่องน่าเศร้าอันนึงเกี่ยวกับ
การระบาดของอีสุกอีใสที่สร้างความเสียหายอย่างหนักต่อพวกแอสเทคนี้ เป็นเหตุสำคัญประการนึงที่ทำให้สเปนสามารถ
เอาชนะพวกนี้ได้ เพียงเพราะพวกแอสเทคไม่เคยมีภูมิคุ้มกันอีสุกอีใสมาก่อน เป็นเรื่องที่เราจะมาว่ากันในตอนนี้
โคยทั่วไแล้วไม่ว่าจะเป็นการติดเชื้อในลักษณะใด แม้แต่การติดเชื้อไวรัสก็ตาม
ก็จะมีเชื้อซึ่งในรูปนี้สมมติให้เป็นไวรัส ที่สามารถบุกเข้าไปอยู่ข้างในเซลล์ได้
แล้วก็แอบเข้าไปใช้กลไกภายในเซลล์นั่นแหละ ทำการก็อปปี้ตัวเอง ออกมาเยอะแยะ
ไปหมด มากเข้า มากเข้า ในที่สุดก็สามารถทำลายเซลล์ลงได้ แล้วก็
แพร่กระจายออกไปยังเซลล์ข้างเคียงอื่นๆ ดูน่ากลัวมาก อีกตัวอย่างเช่นตอนที่เราติดหวัด
สิ่งที่เกิดขึ้นคือเซลล์ของเราเองนั่นแหละกำลังตั้งหน้าตั้งตาผลิตไวรัส แล้วก็แพร่กระจายออกไป
ยังเซลล์อื่นๆมากมาย นี่ถ้าไม่ได้ระบบภูมิคุ้มกัน เราก็คงหนีไม่พ้นที่จะต้องถูกทำลายโดยไวรัสชนิดต่างๆ
ที่มีอยู่รอบตัวเรา ..ตกลงก็คือเรามีการป้องกันนั่นเอง ครูชอบตัวอย่างเรื่องการป้องกันปราสาท
ที่จะยกมาให้ดูกันนี่ ตกลงมีปราสาทก็ต้องมีระบบการป้องกัน ตอนที่เรากำลังจะสร้างปราสาท เราก็ต้องคิด
วิธีการป้องกันปราสาทของเราขึ้นมาสักสองสามอย่าง แรกสุดก็ต้องป้องกันตนเองจากภายนอก
การมีคูเมืองจึงเป็นเรื่องดี แล้วก็จะต้องมีกำแพงเมืองใหญ่ๆหน่อย
ไม่ให้ใครต่อใครบุกเข้ามาได้ง่ายๆ และดูแล้วปราสาทอันนี้ก็ใช้ได้ นื่องจากมีน้ำ
ล้อมรอบ แล้วเราก็ยังจะต้องมีทหาร ในกรณีที่มีใครบุก
มาที่ประตู จะได้ยิงซะด้วยธนู หรือเอาน้ำมันร้อนๆราดลงไปซะ แต่ถ้าเกิดพวกนี้
จะทำลายกำแพงเมืองลงหรือฝ่าเข้ามาได้ เราก็ต้องสามารถที่จะต่อสู้ต่อไปได้ด้วย แต่บางทีนั้น
สิ่งที่สำคัญที่สุดในการป้องกันปราสาทก็คือเรื่องการข่าว
เราต้องมีสายลับที่ถูกส่งออกไปยังพื้นที่โดยรอบ ทำหน้าที่รวบรวมข่าวสารข้อมูลต่างๆ ว่ามีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นบ้าง
แล้วก็จะต้องมีความสามารถในการจำแนกแยกแยะศัตรูได้ทันท่วงทีที่มีการบุกรุกเกิดขึ้น เอาละ ครูจะเลิกใช้ตัวอย่าง
ปราสาทนี้ละ แล้วจะหันมาพูดเรื่องระบบภูมิคุ้มกันของเรา ที่จริงก็เป็นการทำงานอย่างเดียวกัน
เกิดขึ้นในร่างกายเรานั่นเอง เหมือนในปราสาทนั่นแหละ มาเริ่มจากตรงนี้ .. อะไรล่ะที่ป้องกันเราจาก
การติดเชื้อ กำแพงปราสาทของเราก็คือผิวหนังของเรานั่นเอง ผิวหนังของเราจะให้การปกป้อง
ด้วยการทำตัวเป็นด่านกั้น เราก็จะมีด่านกั้นที่เป็นเซลล์
เซลล์ที่ตายแล้วอยู่ด้านบนสุด มีเคราติน (keratin) อยู่ด้านบนสุด แล้วก็จะมีสภาพ
pH ที่ต่ำมาก ทำให้ยากที่แบคทีเรียจะอาศัยอยู่ได้ แล้วก็จะยังมี
สารเคมีอยู่บนผิวหนังด้วย คอยทำหน้าที่กำจัดไวรัสบางประเภท
นอกจากนี้เราก็ยังมีแบคทีเรียหลากหลายประดามี เบียดเสียดยัดเยียดกันอยู่บนผิวหนังเรานั่น เป็นกลวิธีอันนึงที่ช่วยปกป้องเรา
จากแบคทีเรียประเภทอื่นที่เราไม่รู้จัก เรามีสิ่งที่เรียกว่าแบคทีเรียพวกดี (normal flora) อาศัยอยู่
บนผิวของเราด้วย .. ทั้งหลายทั้งปวงนี้ก็คือสิ่งที่เป็นปราการป้องกันการติดเชื้อของเรานั่นเอง กระนั้นก็ตาม วันดีคืนดี
ก็เป็นไปได้ว่าจะเกิดช่องโหว่รูรั่วขึ้นมาบ้าง บางคราวก็เกิดมีดบาดมือ เข็มตำนิ้ว อะไรทำนองนั้น
เป็นช่องทางของการบุกรุกเกิดขึ้นได้ เหมือนกับฝ่ายตรงข้ามสามารถ
ฝ่ากำแพงเข้ามาได้ แล้วเราทำไง ก็จับอาวุธขึ้นสู้ เมื่อมีการติดเชื้อขึ้น โดยมากก็
เริ่มจากการปล่อยสารเคมีบางตัวที่ทำให้ร่างกายเตรียมพร้อมกับเหตุดังกล่าว ที่นี้ถ้าการติดเชื้อ
ยังมีต่อไปเรื่อยๆ อย่างเช่นในกรณีของวัยรุ่นที่เป็นสิว ซึ่งง่ายๆ
สิวก็คือการติดเชื้อในรูขุมขนนั่นเอง ก็เลยกลายเป็นที่ที่แบคทีเรีย
เข้ามาใช้เป้นที่อาศัยอยู่ แล้วเราทำงัย เราก็สู้ด้วย
อุดมันซะ (ปิดล้อม) ก็เกิดการบวมขึ้น จากนั้นก็อาจจะใช้ความร้อนเข้าช่วย โดยหลักๆก็
อาจจะส่งกองกำลังเข้าไป อาจเป็นพวกเม็ดเลือดขาว เพื่อ
เข้าไปจับพวกเชื้อโรคเหล่านั้นกินเสีย วิธีการก็เริ่มจากการเข้าไป
มองหาอะไรก็ตามที่ดูแล้วไม่ใช่สิ่งที่ควรจะอยู่ในร่างกายแล้วก็จับกินซะ อะไรที่ว่านั้น
เราเรียกกันว่าแอนติเจน เป็นหน้าที่หลักของเม็ดเลือดขาวที่จะต้องคอยมองหา
ว่าแอนติเจนพวกนี้ ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของร่างกายเรา ก็เลยเข้าไปจับกิน
พอแอนติเจนถูกกลืนเข้าไปแล้ว เซลล์เม็ดเลือกขาวก็จะหลั่งไลโซโซมกับเอนไซม์ออกมาย่อยกำจัดมันเสีย ออกบ่อยครั้งที่ยังกินไม่ทัน ก็จะเห็น
แอนติเจนพวกนี้ยังติดอยู่ที่ผิวเม็ดเลือดขาวอยู่ แต่ในที่สุดก็ไม่รอดอยู่ดี ส่วนรูปนี้ก็คือภาพจริง
ของเซลล์เม็ดเลือดขาว เราก็จะเห็นว่ามันกำลังพยายามจับไวรัสหรือแบคทีเรียกินอยู่
ทั้งสองข้าง ก็นับว่าทำงานใช้ได้ แต่ก็ยังมีอีกเรื่องนึงให้คิด คือว่าไอ้เม็ดเลือดขาวนี่มันจะเข้าจู่โจมอะไรก็ตาม
ที่มันนึกว่าไม่ใช่ของร่างกายเรา ทีนี้เกิดอยู่มาเราไปเอาหัวใจใครเขามาใช้ พูดถึงเรื่อง
การปลูกถ่ายหัวใจน่ะ ไอ้เจ้าเม็ดเลือดขาวพวกนี้ก็จะยังเข้าโจมตีหัวใจใหม่นี้เช่นกัน ฆ่าได้
เป็นฆ่า ว่างั้นเถอะ เราก็เลยต้องมีที่เขาเรียกว่าการตอบสนองภูมิต้านทานเฉพาะ (specific immune response)
การตอบสนองภูมิต้านทานเฉพาะนี่จะเป็นคล้ายๆกับสายลับ ที่อยู่ตรงนี้นี่คือแอนติเจนอีกแระ แอนติเจนนี่ก็
จะมีโปรตีนเฉพาะอยู่ตามผิวหน้าของมัน การที่จะสู่กับแอนติเจนพวกนี้เราจะใช้ที่เรียกว่าแอนติบอดี
กลายเป็นที่มาว่าแอนติเจนก็คือตัวการที่ทำให้เกิดแอนติบอดีนั่นเอง หรือพูดให้ชัดก็คือมันทำให้เกิด
การก่อตัวของแอนติบอดีขึ้น แล้วแอนติบอดีคืออะไรล่ะ? แอนติบอดีเป็นโปรตีนที่ผลิต
โดยร่างกายของเรา โดยทั่วไปจะมีหน้าตาคล้ายๆกัน มองคล้ายๆตัว Y นี่
มีรูปร่างเป็นตัว Y อย่างนี้ เราสามารถผลิตออกมาได้อย่างเกือบจะไม่จำกัด ไม่ว่าจะเป็นจำนวน หรือชนิดก็ตาม
แต่สิ่งสำคัญจริงๆจะอยู่ที่ส่วนปลายของตัว Y นี่ มันจะมีรูปร่างไม่เหมือนกัน กล่าวคือ
เราอาจจะมีบางอันมีรูปร่างอย่างนี้ แล้วก็จะมีรูปร่างอย่างเดียวกัน
ที่อาจจะมองเห็นเป็นอย่างนี้ แล้วก็มีรูปร่างเหมือนกัน
อย่างนี้ เราเลยมีตัว Y ที่ส่วนปลายมีรูปร่างต่างๆกัน
ซึ่งแต่ละอันนั้น จะถูกผลิตขึ้นมาเพื่อสนองตอบต่อการติดเชื้อแบบนึง เพราะงั้น
แอนติบอดีก็จะเข้าไปต่อกันพอดีกับแอนติเจน พอต่อกันได้แล้วก็เป็นอันว่าแอนติเจนนั้นถูกหมายหัวไว้แล้วเพื่อบอกให้
เม็ดเลือดขาวล็อคเป้าได้โดนง่าย ลองนึกภาพ
ว่าถ้าเรามีแอนตีบอดีอันนึงตรง อีกอันตรงนี้ แล้วก็อีกอันตรงนี้
คงทำงานกันลำบากน่าดู เพราะงั้นเมื่อเราได้ภูมิต้านทานอันนึงขึ้นมาแล้ว ภูมิต้านทานเฉพาะ
หรือการตอบสนองของภูมิต้านทานเฉพาะอย่าง ก็คือว่าเรามีความสามารถในการผลิตแอนตีบอดีสำหรับอันเฉพาะนั้น
นี่คือเหตุผลที่อธิบายว่าพอเราเป็นหวัดครั้งนึงแล้ว เราจะไม่เป็นหวัดชนิดนั้นอีก (แต่ก็ยังเป็นอยู่ดี แต่คนละชนิดกัน ว่างั้นเถอะ - ผู้แปล)
ตกลงเกิดอะไรขึ้นกับกระบวนการอันนี้? มัทำงานอย่างไร? มันก็เริ่มจากที่เราเรียกว่าลิมโฟไซต์ (lymphocytes)
ลิมโฟไซต์เป็นเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดนีง โดยทั่วไปมีจะมีอยู่สองประเภท
ก็มีเม็ดเลือดขาวชนิด B แล้วก็มีเม็ดเลือดขาวชนิด T ซึ่งเดี๋ยวจะว่ากันในรายละเอียด
เอาละ เม็ดเลือดขาวชนิด B นี่ ผลิตขึ้นที่ไขกระดูก ทำหน้าที่แบบที่เรียกว่าเป็น
การตอบสนองแบบฮิวโมรอล (humoral response) .. คำอธิบายเพิ่มเติมของตัวนี้จะตามมาทีหลังในวิดีโอนี้
ฮิวโมรอลหมายถึง"อยู่ในของเหลว" หรือใน "humers" ในร่างกายเรา นั่นคือหมายความรวมไปถึงเลือด
น้ำเหลือง ในท่อน้ำเหลือง ในของเหลวระหว่างเซลล์ (interstitial fluid) สรุปว่าการตอบสนองแบบฮิวโมรอล
ก็คืออย่างที่ครูอยากจะให้เราจำง่ายๆว่า เป็นตอนที่เกิดมีไวรัสหลุดเข้ามาใน
ของเหลวในร่างกาย แล้วเม็ดเลือดขาวชนิด B ก็จะผลิตแอนตีบอดี
วิธีการทำงานเป็นยังงัย? ก็เริ่มจากตรงที่เราจะมีเซลล์ B เซ่อๆซ่าๆ อยู่อันนึง แล้วเซลล์นี้ก็จะเริ่มเรียนรู้รูปร่าง
ของแอนติเจน เดี๋ยว.. กำลังจะเล่าให่เห็นถึงวิธีการทำงานของมันเดี๋ยวนี้แล้ว สิ่งหลักๆที่มันจะทำ
ก็คือมันจะผลิตแอนติบอดี สิ่งที่เซลล์เม็ดเลือดขาวแบบ B จะทำก็คือการผลิต
แอนติบอดีเฉพาสำหรับแอนติเจนตัวนี้ออกมา นั่นก็คือถ้าเรา
การติดเชื้อไวรัสอันนึง สมมติว่าเป็น A1 เราก็จะผลิตแอนตีบอดี
สำหรับแอนติเจนเฉพาะสำหรับแอนติเจนอันนี้ แล้วเราก็ยังผลิตเซลล์ที่เรียกว่า memory B เซลล์ขึ้นมาเป็น
ภูมิคุ้มกันที่ใช้ได้ไปจนตลอดชีวิต นั่นคือบทบาทของเซลล์เม็ดเลือดขาวแบบ B ... ทีนี้พวกเราอาจสงสัย
ว่าถ้าพวกนี้กำจัดไวรัสที่เข้ามาในร่างกายเราแล้ว แล้วเซลล์เม็ดเลือดขาวแบบ T ล่ะ ทำอะไร
เซลล์แบบ T นัันจะมีการทำงานโต้ตอบแบบ cell mediated response .. หมายความว่าไง?
ก็หมายความว่ามันจะมองหาเป้าหมายแล้วก็ตรงเข้ากำจัดเซลล์ภายในร่างกายเราที่ได้ติดเชื้อไปแล้ว
ทีนี้ เซลล์แบบ T คืออะไร? สร้างขึ้นที่ไหน? พวกนี้สร้างขึ้นที่ต่อมไทมัส
ที่อยู่ตรงแถวๆกด้านบนของหัวใจ ทำหน้ที่ในการสร้าง
สิ่งที่เรียกว่าเซลล์นักฆ่าแบบ T หรือ เซลล์เม็ดเลือดขาวแบบ T พวกเซลล์นักฆ่านี้ก็คือเซลล์ T ที่ถูกปลุกขึ้นมาทำงานนั่นเอง
หน้าที่หลักของเซลล์พวกนี้ก็คือจะมองหาเซลล์ในร่างกายเราที่เกิดการติดเชื้อขึ้นแล้ว
บางทีอาจจะเป็นไวรัส แล้วมันก็จะเข้ามาล็อคที่เซลล์เหล่านี้เพื่อเริ่มการทำลายเซลล์ พูดง่ายๆว่ามันจะ
ทำลายเซลล์ภายในร่างกานเราเองที่ติดเชื้อไวรัสไปแล้ว แม้แต่เซลล์มะเร็งก็ด้วย
โดนฆ่าหมด เป็นอันว่ามันสร้างขึ้นที่ไทมัสและตายอยู่ในร่างกายเรานี่ละ
ก็เป็นว่าเซลล์แบบ T นี่มีหน้าที่สำหรับ mediated เซลล์ พวกนี้ คือว่ากำจัดเซลล์
ของเรา อันที่ติดเชื้อไปแล้ว ส่วนแบบ B ก็จะอยู่ในฮิวเมอร์ (ของเหลว) ในร่างกาย
และถ้าเราจะสรุปทุกสิ่งที่พูดมาทั้งหมด เราก็จะได้การตอบสนองแบบ humoral ตรงนี้
เซลล์อะไรที่ทำหน้าที่นี้? แนน่อน ก็คือเซลล์แบบ B
ส่วนอีกอันก็คือแบบ mediated ที่จะใช้เซลล์แบบ T และก่อนที่เราจะ
ว่าต่อไป ลองมาดูที่ด้านซ้ายนี่ คืออะไรล่ะ?
เราก็จะมีแอนติเจนที่กำลังถูกกินโดยเซลล์เม็ดเลือดขาว ที่กำลังย่อยแอนติเจนนี้เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
โดยมันจะทิ้งร่องรอยของมันไว้บนผิวเซลล์ แล้วเราก็มีสารเคมีที่เรียกว่า MHC2
ย่อมาจาก major histocompatibility complex 2 ทำหน้าที่ในการจำลองรูปร่างของแอนติเจนนี้
อยู่บนผิวของมัน จากนั้น สิ่งที่เรามีอยู่ตรงนี้ เป็นสิ่งที่มีความมาก เรียกว่า
เซลล์ผู้ช่วย T สิ่งที่เซลล์นี้ทำก็คือจะล็อคหรือจะ
กับรูปร่างของแอนติเจน โดยใช้โปรตีนที่เรียกว่า CD4 คอย
ดักจับรูปร่างของแอนติเจน เซลล์ผู้ช่วย T ทำหน้าที่ทั้งในการ
ตอบสนองแบบ humoral และ mediated มาดูกันว่า เซลล์ผู้ช่วย T
จะทำอะไร เซลล์ผู้ช่วย T จะบอกเซลล์แบบ B ว่ารูปร่างที่เป็นเป้าหมายนั้น มีลักษณะอย่างไร เพื่อจะได้
ผลิตแอนติบอดีออกมามากขึ้น เป็นการกระตุ้นการผลิตเม็ดเลือดขาว ออกมากำจัด
แอนติเจนที่อยู่ในของเหลวในร่างกายของเรา นี่คือการตอบสนองแบบ humoral
และเซลล์ผู้ช่วย T ก็ยังทำหน้าที่กระตุ้นการทำงานของเซลล์นักฆ่าแบบ T ด้วย สามารถฆ่า mediated เซลล์
อ้ออโทษที ฆ่าเซลล์ที่ติดเชื้อไวรัสแล้ว เพราะงั้นถ้าไม่มีเซลล์พวกนี้
หรือปราศจากเซลล์ผู้ช่วย T แล้ว เราคงมีชิวิตอยู่ไม่ได้ ที่แย่หน่อยก็คือเซลล์ผู้ช่วย T
เนี่ยะเป็นเซลล์ที่จะติดเชื้อไวรัส *** ในคนที่เป็นเอดส์ นี่จึงเป็นกรณีที่
ค่อนข้างแย่สักหน่อย เพราะถ้าไม่มี เซลล์ผู้ช่วย T แล้ว เราก็จะไม่สามารถรับมือแม้แต่กับการติดเชื้อธรรมตาได้
คือการติดเชื้อ *** นั้น ตัวเชื้อไม่ได้เป็นสาเหตุการตายโดยตรง แต่การตายนั้นมีสาเหตุมาจากการติดเชื้อธรรมดาที่เราควรจะต่อสู้ได้ในสภาพปกติ
ถ้าเป็นในสภาพปกติ .. ครูจะกลัมาอธิบายด้วยการ์ตูนอีกตรั้ง
ที่เห็นอยู่ตรงนี้ก็คือแอนติเจน จำได้มั้ย ตัวบุกรุก โดย
สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือมันจะถูกเซลล์เม็ดเลือดจับกิน ถูกกลืนเข้าไป
อยู่ข้างใน แล้วก็จะมีเอนไซม์ออกมาย่อยสลายเจ้าแอนติเจนนี้
ตัวมันถูกกำจัดไปแล้ว แต่ร่องรอยชิ้นส่วนบางอันจะถูกเก็บไว้ เป็นการ
เก็บ MHC ที่สำคัญๆ เป็นการจดจำรูปร่างลักษณะเอาไว้บนผิวเซลล์ แล้ว
ก็จะมีเซลล์ผู้ช่วย T เข้ามาทำอะไร? เซลล์ผู้ช่วยก็จะเข้ามา
เกาะจับตัวกับเซลล์เม็ดเลือดขาวนั้น แล้วจะจดจำรูปร่างลัษณะของแอนติเจนตัวดังกล่าว กลายร่างเป็น
เซลล์ผู้ช่วย T ที่ได้รับการกระตุ้นแล้ว ลองนึกกลับไปที่แผนภาพที่ผ่านมา
ขั้นตอนต่อไปคืออะไร? ก็อาจจะเป็นการกระตุ้นเซลล์เม็ดเลือดขาว แต่ที่สำคัญกว่านั้น
มันจะเปิดไปกระตุ้นการทำงานของเซลล์ B ได้เป็นเซลล์ B ที่พร้อมทำงานแล้ว ที่จะไปกระตุ้นการทำงานของ
เซลล์นักฆ่าแบบ T อีกทีนึง ทีนี้ก็จะเกิดการโคนนิ่งตัวเอง
ได้ออกมาเป็น เซลล์ B จำนวนมาก แล้วก็จะได้
เซลล์นักฆ่าแบบ T ที่พร้องใช้งานออกมาเยอะแยะเช่นกัน ทีนี้ลองดูที่ด้านบนนี่
ก็จะเป็นการตอบสนองแบบ humoral ส่วนด้านล่างก็จะเป็น
แบบ mediated สรุปก็คือเราสามารถต่อสู้กับแอนติเจนบริเวณ
ของเหลวในร่างกาย ด้วยการเข้าไปเกาะกับแอนตีบอดี เปิดทางให้เม็ดเลือดขาวเข้าไปกินมันได้ แล้วก็ย่อยสลายมันลงไป
เป็นการยั้บยั้งการทำงานของแอนติเจนบางส่วนด้วย แต่ถ้าเราดูที่ด้านล่างนี่ เซลล์นักฆ่าแบบ T
จะเข้าไปจับตัวกับเซลล์ในร่างกายของเราที่เกิดการติดเชื้อไปแล้ว
จากนั้นมันก็จะหลั่งเอนไซม์ออกมาทำลายเซลล์เหล่านั้นทิ้งไป
สรุปก็คือ เราทำลายพวกมันตรงบริเวณ humers หรือ
ของเหลวของร่างกาย แล้วก็กำจัดเซลล์ที่ติดเชื้อออกไป อันนี้ค่อนข้าง
ใช้เวลาหน่อย แต่นั้ก็คือปฏิกริยาการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันของเรา เฉพาะเจาะจงต่อแอนติเจนเป็นชนิดๆไป ถ้าหากเรายัง
ไม่เจอแอนติเจนอันนั้น ก็จะยังไม่มีการผลิตแอนติบอดีขึ้นมา คราวนี่
มาพูดถึงเรื่องหวัดกัน ครูกำลังเป็นหวัดพอดี สิ่งที่เกิดขึ้นคือเรา
เกิดไปติดเชื้อหวัดเข้าเริ่มที่ตรงนี้ เหล่าบรรดาไวรัสก็จะเริ่มเบ่งบานขยายพันธุ์แพร่อยู่ภายในร่างกายครูนี้
มันต้องใช้เวลาสักพักหนึ่ง กอ่นที่ร่างกายครูจะเริ่มสร้าง "ความจำ" เอ้ย โทษที เซลล์ B
กับเซลล์นักฆ่าแบบ T ก็เลยจะมีการทิ้งช่วงเวลาบ้างเล็กน้อย แต่ในที่สุดก็จะ
เกิดการผลิตแอนตีบอดีกับ T เซลล์ที่พร้อมทำงาน (ถูกกระตุ้นแล้ว) ออกมากันขนานใหญ่
ขึ้นมาในร่างกายของครู .. ช่วงเวลาตรงนี้แหละที่ครูจะเริ่มรู้สึกว่าเป็นหวัดแล้วนะ
แม้จะเป็นช่วงที่เราจะรู้สึกว่าเรากำลังเป็นหวัด (เพราะมีอาการ) แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆก็คือร่างกายของเรากำลัง
ต่อสู้เข่นฆ่าเหล่าบรรดาไวรัสทั้งหลาย ทีนี้สมมติว่าถ้าครูบังเอิญไปจ๊ะเอ๋กับ
หวัดชนิดอบ่างเดียวกันนี้อีกในภายภาคหน้า เป็นว่าเกิดจะต้องมีอันเจอะเจอกันอีกครั้ง แต่คราวนี้ เผอิญ
ครูมีแอนติบอดีอยู่ก่อนแล้ว ก็เลยสามารถที่จะผลิตซ้ำมันออกมาได้ขนานใหญ่ทันท่วงที เพราะว่ามี "ความจำ" นั่นเอง
เซลล์ B กับเซลล์นักฆ่าแบบ T นั้นก็จะไปไหนมาไหนอยู่ด้วยกันแถวๆนั้น ทำหน้าที่ต่อสู้จัดการกับ
การติดเชื้อก่อนที่เราจะรู้สึกว่ามีอาการเป็นหวัดด้วยซ้ำ และปรากฎการณ์อันนี้อาจจเกิดขึ้นได้ แม้ว่าเวลาจะผ่านไปเนิ่นนานเป็นปีแล้วก็ตาม
แล้วบรรดาเชื้อหวัดทั้งหลายจะทำประการใดดี? พวกมันก็มีทางออกโดยการ
ทำให้มีชนิดของหวัดมากมายหลายประเภท (ผ่านทางการกลายพันธุ์ - ผู้แปล) ครูคิดว่าพวกไรโนไวรัส (rhinoviruses) น่าจะมีเป็นร้อยๆแบบด้วยซ้ำ
พวกมันยังสามารถกลายพันธุ์ (นี่ไง) ซึ่งทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรูปร่างของแอนติเจน
ทำให้แอนตีบอดีอันเดิมใช้ไม่ได้ผลอีกต่อไป และทั้งหมดนี้ก็คือระบบภูมิคุ้มกัน
ซึ่งเราอาจจะมองได้ว่าก็คือการป้องกันเหล่าศัตรูให้พ้นออกไปจากตัวปราสาทของเรานั่นเอง
ทำให้อย่างน้อยเราก็มีความเข้าใจในเรื่องระบบภูมคุ้มกันนี้เพิ่มขึ้นอีกหน่อยนึง หวังว่าคงชอบกัน