Tip:
Highlight text to annotate it
X
สวัสดี ครูแอนเดอเสนกับวิดีโอในวันนี้ จะเป็นเรื่องของ เอพี ไบโอโลยีแลป (AP Biology labs)
ที่จริงแล้ว ครูจะเอามาสาธิตเฉพาะเจ็ดแลปแรกจากทั้งหมดสิบสามแลปในวิชา AP นี้
ครูจะไม่ลงไปจนถึงรายละเอียดทั้งหมด โดยพวกเราอาจจะดูวิดีโอนี้ตั้งแต่ต้นปี
เป็นการมองภาพรวมเพื่อการเตรียมการของทั้งปี หรือเราอาจจะดูในคืนก่อนที่จะ
มีการสอบ AP เป็นการทบทวนแลปทั้งหมดก็ได้ สิ่งนึงที่ควรรู้ไว้ก็คือ
ทางหลักสูตรได้มีการปรับปรุงเนื่อหาของแลป ให้มีลักษณะที่นำไปสู่การตั้งคำถามมากขึ้น นั่นคือ
แทนที่จะมีลักษณะคล้ายกับการเปิดตำราทำอาหารตามสูตร เขากลับพยายามที่จะดึงให้นักเรียนเป็นพ่อครัวเสียเอง รวมทั้ง
ยังจะต้องมีส่วนในการออกแบบการทดลองและเก็บข้อมูลด้วยตัวเอง
มาเริ่มกันที่แลปแรก เรื่อง Artificial Selection ในแลปนี้ วิธีที่ครูใช้สอนในห้องเรียน
คือครูจะใช้พืชโตเร็ว ให้นักเรียนเอามาปลูกกัน เป็นพืชพวก brassica ที่เจริญเติบโตได้เร็วมาก
มีวงจรอายุตั้งใช้เมล็ดปลูกไปจนต้นโตให้เมล็ดรุ่นใหม่ได้ในเวลาไม่ถึงเดือน
ก็จะมีการเลือกลักษณะที่เราต้องการจะให้มีการส่งต่อไปยังรุ่นต่อไป
ด้วยการใช้เครื่องมือที่เรียว่า Bee Stick ซึ่งทำจากผึ้งตายแปะไว้กับไม้
แล้วก็เอาไปใช้ผสมเกสรของดอกบนต้นนึงกับดอกอื่นจากคนละต้นกัน
ในแลปของครูก็จะทำอย่างนี้ จะมีการวัดส่วนสูง โดยหน่วยที่ใช้เป็นหน่วยมิลลิเมตร
ส่วนตรงนี้ก็จะเป็นจำนวนของต้นไม้ จำแนกตามความสูงต่างๆที่ปลูกได้ออกมา
ก็วางแผนว่าจะเริ่มทำแลปกันในวันไหน จากนั้น เราก็จะ
เลือกต้นที่สูงที่สุด เอามาใช้เป็นแม่พันธุ์สำหรับรุ่นถัดไป อันเป็นการเลือก
ลักษณะที่เราต้องการให้มีการถ่ายทอด เราก็จะเห็นได้ว่าในรุ่นที่สองเราก็จะได้
พืชที่มีความสูงโดยเฉลี่ยมากขึ้น ภายใต้การปลูกในช่วงเวลาเดียวกัน คิดว่าสิ่งที่ทำในการทดลองนี้ เป็นการคัดเลือกแบบไหน?
เป็นแบบที่เราเรียกว่า directional selection เป็นการดึงกราฟให้เลื่อนไปทางขวา
ที่จริงอาจจะไม่ต้องใช้ความสูงก็ได้ อีกลักษณะนึงที่ครูหลายๆ คนใช้ก็คือ
Trichomes ซึ่งเป็นเส้นขนเล็กๆ ตามลำต้น
เขาก็จะขยายพันธุ์เอากับเฉพาะต้นที่มีขนมากกว่าต้นอื่น เป็นอันสรุปงานในแลปแรก
งานอันที่สองจะเป็นเรื่องของ สมดุล Hardy-Weinberg ในชั้นเรียนที่ครูสอน ก็จะเริ่มด้วย
ปฏิบัติการลูกปัด โดยครูจะให้เอาลูกปัดมาสองสีอย่างละ 50 เม็ด เอามาใส่รวมกันเข้าลงไปในถ้วย
จากนั้นก็เขย่าถ้วย แล้วก็หยิบขึ้นมาทีละครั้ง ครั้งละสองลูก เป็นวิธีการที่เราเรียกว่าห้องหาคู่ (mating chamber)
เป็นวีธีเดียวกับที่เกิดขึ้นกับการกำหนดเพศในกลุ่มประชากร สิ่งที่เราจะสังเกตได้ก็คือ
สมดุลจะยังคงเดิม ตามความหมายของความสมดุล นั่นคือ ค่า p และ q ก็จะ
คงที่ตลอดการทดลอง สิ่งถัดไปที่เราจะทำก็คือการคัดเลือก
เช่นถ้าเราคัดเลือกเอาลักษณะด้อยปรากฎ (homozygous recessive เช่น rr แทนที่จะเป็น RR หรือ Rr หรือ rR) เพื่อกำจัดทิ้งไป
จากนั้นเราก็จะพิจารณาประชากรกลุ่มนี้ตามจำนวนที่เหลืออยู่ อีกอันนึงที่เราอาจจะดูด้วย
ก็คือ heterozygote advantage เป็นการพิจารณาความผันแปรของข้อมูล
แต่ตราบใดที่เรายังรักษาข้อจำกัด 5 ประการให้คงที่ไว้ได้ เริ่มตั้งแต่ การมีขนาดประชากรที่ใหญ่พอ
การจับคู่แบบสุ่ม จำกัดการกลายพันธุ์ ป้องกันการเคลื่อนของยีน และการคัดเลือกตามธรรมชาติ มันก็ควร
ที่จะยังมีค่าคงที่อยู่ ทีนี้ ในปีนี้ เขามีการเพิ่มเอาการวิเคราะห์ด้วยสเปรทชีทเข้ามาด้วย
นักเรียนของครูก็เลยทำสเปรทชีทอันนี้ขึ้นมา เพื่อใช้ในการเรียนรู้
เพิ่มเติมเกี่ยวกับสมดุล Hardy-Weinberg ครูจะมาที่ Excel อันนี้ดีกว่า เอาล่ะนี่ก็คือสเปรทชีทที่ว่า
ครูจะอธิบายว่าอะไรเป็นอะไรให้ฟัง นี่ก็คือค่าของ p และ q
ส่วนนี้จะเป็นเป็นเซลล์สืบพันธุ์ที่ถูกสร้างขึ้น ส่วนนี้ก็คือไซโกต และส่วนนี้ก็คือ
อัตราส่วนฟีโนไทป์ด้านล่างนี่ คราวนี้ ครูก็จะรันแบบจำลองนี้ (simulation) อีกครั้งนึง
ให้ครูเริ่มตรงนี้ คอยสังเกตดูตัวเลขในสเปรทชีทดู ก็จะมีการคำนวณ
ตัวเลขช่องเหล่านี้ซ้ำแล้วซ้ำอีก สิ่งที่เราจะได้ออกมาก็จะ
เริ่มที่ 0.5 และ 0.5 แล้วก็จะได้ค่าา p และ q สุดท้ายที่จะไม่เหมือนเดิม
มาลองดูกันว่าเกิดอะไรขึ้น? ดูว่าสเปรทชีนนี้ทำงานอย่างไร? ลองดูรายละเอียด
ของสูตรการคำนวณลึกลงไปสักหน่อยกัน ถ้าเราดูที่ช่องตรงนี้ ตรงช่องนี้เลย
ถ้าเราดูที่สมการตรงนี้ สิ่งที่มันทำก็คือการให้เลขสุ่มระหว่าง 0 กับ 1 ออกมา
เราลองเลือกตัวเลขที่ว่าออกมาสักตัวนึงกัน สมมติว่าเป็น 0.23 จากนั้น ก็เอาตัวเลขนี้
ซึ่งมีค่า 0.23 และถ้ามันน้อยกว่าค่าที่อยู่ตรงนี้คือ 0.5 นี่ เราก็จะใสค่า A ลงไป
แต่ถ้ามีค่ามากกว่า ก็จะใส่ค่า B ลงไป และเพราะว่า
ค่าพวกนี้ต่างก็มีโอกาสที่จะเกิดขึ้นได้เท่าๆกัน เราก็ควรจะได้ A หรือ B ประมาณอย่างละครึ่ง
แต่ทำไม่ค่าไม่เท่าเดิม? อันนี้คือการเคลื่อนของยีน เนื่องจากเรามีขนาดของข้อมูลไม่มาก จึงเกิดการเปลี่ยนแปลง
ทีนี้ลองเปลี่ยนค่าของข้อมูลไปเป็นค่าอื่น อย่างเอาสัก 0.1 แล้วค่านี้ก็ให้เป็น 0.9 แล้วดูว่าจะเป็นอย่างไร
ตอนนี้โอกาสที่จะมีค่าต่ำกว่า 0.1 ก็จะเป็นไปได้น้อยมาก
ก็เลยทำให่โอกาสที่จะได้ A น้อยลงไปมาก ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีเลย
ถ้าครูทำอย่างเดิมสองสามครั้ง เราก็จะเห็นการเปลี่ยนแปลงเช่นกัน
จะได้ค่าส่วนใหญ่เป็น B ก็จะเห็นว่าเราสามารถทำการทดลองที่น่าสนใจได้หลายอย่าง เราอาจจะตั้งค่าให้เป็น 0.5 และ 0.5
แล้วก็ลองรันโปรแกรมดูอีกครั้ง ว่าจะได้ค่า p และค่า q ออกมาเป็นอย่างไร แล้วก็ให้ค่านั้นเป็นของรุ่นต่อไป
เราสามารถลองทบทวนทำซ้ำได้หลายครั้งเท่าที่ต้องการ ทีนี้ ถามว่า
สเปรทชีทนี่ดียังงัย? ก็ดีตรงที่ช่วยให้เราสามารถทำแบบจำลองการทดลองต่างๆได้อย่างรวดเร็ว
เทียบกับการควักลูกปัดออกจากถ้วยแล้ว ก็จะเห็นว่าง่ายกว่ามากนัก เอาละ ทีนี้ก็ไปกันที่การทำงานที่ 3 กัน
งานที่ 3 นี่ก็คือการเปรียบเทียบดีเอ็นเอ .. ที่เห็นนี่เรียกว่า คลาโดแกรม (cladogram)
เป็นแผนภาพแสดงประวัติศาสตร์วิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตพวกนี้ ก่อนหน้านี้ เราเคยใช้
ลักษณะทางสัณฐานวิทยา (morphology) การศึกษารูปร่างอย่างเช่นโครงสร้างกระดูก อะไรพวกนั้น
แต่การใช้สัณฐานวิทยาไม่ค่อยมีความแม่นยำนัก เครื่องมือที่ดีกว่าก็คือการศึกษาดีเอ็นเอ
ดังนั้นการทำแบบจำลองในงานนี้ก็คือ เราจะหยิบเอายีนอะไรมาสักอันนึง
ในที่นี้ก็คือแอคทีน (actin) แล้วก็เอามาหานิวคลีโอไทด์ ดูกันโดยละเอียด สิ่งที่เราพยายามศึกษาก็คือ
ดูว่าเรามีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับสิ่งมีชีวิตอย่างอื่นมากน้อยเท่าใด ก็เอาเป็นว่าเราใช้แอคทีนจากมนุษย์มา
เราเปรียบเทียบมันกับสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ในฐานข้อมูล เพื่อเอามาสร้าง
แผนภาพ cladogram ที่แสดงให้เห็นว่าเรามีความเกี่ยวพันกับลิงชิมแปนซี กอลลิลา หรือแม้แต่แพนด้า มากน้อยเท่าไร
นั่นก็คือการวิเคราะห์โดยละเอียด อันถัดไป งานอันที่ 4 เซึ่งประกอบด้วยสามส่วนย่อย
เริ่มจากการศึกษาการแพร่และออสโมซีส ขั้นแรก ก็ต้องมาทำก้อนลูกบาศ์กกันก่อน โดยจะตัด
เป็นก้อนออกมา อาจจะใช้ก้อนน้ำตาลก็ได้ ส่วนที่เห็นนี่จะคล้ายกับ
ที่เราอาจจะเห็นในจานเพาะเชื้อ (petri dish) แล้วก็ใส่สารเคมี ฟีโนลเธลีน (phenolphthalein) เข้าไป
ฟีโนลเธลีนเป็นสารที่มีลักษณะโปร่งใส เพราะงั้นก้อนสี่เหลี่ยมของเราก็จะดูเป็นก้อนใสๆ
ออกสีน้ำเงิน แล้วก็เอาไปวางบนโซเดียมไฮดรอกไซด์ พอเอาไปวางบน
โซเดียมไฮดรอกไซด์แล้ว โซเดียมไฮดรอกไซด์ก็จะไปเจอเข้ากับฟีโนลเธลีน เมื่อมีการเปลี่ยนค่า pH
ฟีโนลเธลีน จะเปลี่ยนสีเป็นสีแดง และถ้าเราปล่อยไว้ข้ามคืน
สิ่งที่จะได้อกมาก็คือ ก้อนที่มีขนาดเล็กลง เล็กลง เล็กลง
โซเดียมไฮดรอกไซด์จะซึมเข้าไปในปริมาณที่เท่ากัน เนื่องจากมันแพร่เข้าไป
ในปริมาณที่เท่ากัน แต่ก้อนทางด้านนี้มีขนาดเล็กกว่า มันจึงแพร่เข้าไปถึงตรงกลางได้เร็วกว่า
ก็เลยยิ่งทำให้เล็กลงเข้าไปอีก คือมันทำให้การแพร่ไปตาส่วนต่างๆ
เป็นไปอย่างรวดเร็วกว่าก้อนขนาดใหญ่ งานถัดไปก็จะยังเป็นการวิเคราะห์เชิงปริมาณ
ในงานอันนี้เป็นการศึกษาการแพร่ เพราะงั้น เราก็จะเริ่มกันที่น้ำในปิกเกอร์
แล้วก็ IKI ซึ่งเป็นก้อนไอโอดีน ที่เห็นนี่เราก็จะมีน้ำกับ IKI จากนั้นก็
จะมีถุงไดอะไลซีส (dialysis) ซึ่งใส่น้ำเข้าไป แล้วก็มีแป้ง
แล้วก็มีกลูโคส ทีนี้เราก็มีวิธีที่จะใช้วัดว่ามีน้ำตาลหรือไปด้วยการใช้แถบวัด
เราเอาแถบวัดจุ่มลงไปในสารละลาย ถ้าเปลี่ยนสีก็แสดงว่ามีกลูโคส
อีกทีนะ เรามีอะไรบ้าง? แป้ง น้ำ กลูโคส แล้วทางด้านนี้ล่ะ? น้ำ กับ IKI
สิ่งนึงที่เราควรจะรู้ไว้ก่อนก็คือ ถ้าแป้งกับ IKI โคจรมาเจอกันเข้า
ก็จะเปลี่ยนเป็นสีฟ้าออกมา เราก็จะใส่พวกนี้ลงไปในปิกเกอร์
แล้วก็ปล่อยไว้อย่างนั้น สักประมาณชั่วโมงนึง สิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือ เปลี่ยนสีเป็นสีฟ้า
จากนั้น ครูก็บอกให้นักเรียนของครูเปรียบเทียบดูว่าอันไหนมีขนาดใหญ่กว่ากัน แล้วเรียงไปตามขนาด
อันไหนมีขนาดเล็กที่สุด? อันไหนใหญ่ที่สุด? มีอยู่ข้อนึงที่น่าสังเกตก็คือ
ถ้าเราจุ่มเทปวางไว้ตรงนี้ตอนเกือบเสร็จการทดลอง เราก็จะรู้ว่ามีกลูโคสอยู่หรือไม่
มาเริ่มกันที่กลูโคสก่อน กลูโคสนั้นอยู่ในถุงตั้งแต่แรก มีกลูโคสอยู่หลังจากนั้น
แล้วเราสังเกตอะไรได้บ้าง? เรารู้แน่ๆ ว่ามีกลูโคสออกมาข้างนอก แล้วก็ยังรู้แน่ๆ ว่า มันจะมีขนาดเล็กกว่า
รูของถุง ส่วนน้ำนั้น บอกยากสักหน่อย อาจจะต้อง
ชั่งน้ำหนักดูว่ามันออกมาบ้างหรือไม่ ที่เหลือก็คือแป้ง
แป้งเป็นโพลีแซคคาไรด์ ประกอบขึ้นมาจากโมเลกุลน้ำตาลหลายๆแบบ
ถ้ามันออกมาจากถุงได้ ทั้งปิกเกอร์ก็ควรจะกลายเป็นสีฟ้า แต่ก็ไม่เป็นอย่างนั้น
ส่วน IKI สามารถเข้าไปข้างในได้ เราก้เลยรู้ว่ามันมีขนาดเล็กกว่ารูผ่านของถุง
แต่ขนาดโมเลกุลของแป้งนั้นใหญ่กว่า เลยผ่านออกมาไม่ได้
ถัดไปก็จะเป็นเรื่องของการเก็บข้อมูล ซึ่งทำกันเป็นปกติในแลปที่มีการตั้งปัญหา
นักเรียนก็จะเอาแกนของหัวมันมา ใส่ลงไปใน
น้ำเชื่อมที่มีความเข้มข้นต่างๆ เราก็จะเห็นได้ว่า
เขาใส่ลงไปในค่าความเข้มข้นต่างๆ ไล่ไปจนถึง 1.0 โมลาร์
จากนั้นก็วัดค่าความเปลี่ยนแปลงหลังจากที่ปล่อยไว้ข้ามคืน
ก็จะพบว่า ในกรณีของค่าความเข้มข้นที่ 0.0 โมลาร์ คือไม่มีน้ำตาลเลย ส่วนแกนหัวมันนั้น ก็แน่นอนว่า
มวลจะต้องเพิ่มขึ้นบ้าง ส่วนทางด้านนี้ก็จะเป็น
แนวโน้มที่ลดลง เส้นอันนี้ก็จะเป็นเส้นแสดงแนวโน้มของข้อมูล สิ่งนึงที่จะเห็นตรงนี้ก็คือ
จุดที่เส้นตัดกัน อันจะเป็นจุดที่มีความเช้มข้นเท่ากับสภาวะรอบๆ
เป็นจุดที่สารจะเริ่มละลาย เป็นระดับความเข้มข้นของหัวมันเอง
งานถัดไป เป็นงานอันที่ 5 นั่นคือแลปการสังเคราะห์แสง แลปอันนี้จะเป็นแลปที่มีการตั้งคำถาม หรือตั้งสมมติฐานด้วย
เราก็จะเริ่มการทดลองด้วยการทำชิ้นส่วนจากใบไม้ (chads) จากการเจาะรู แล้วเอาส่วนที่หลุดออกมา มาทดลอง
เอาไปใส่ในกระบอกฉีดยาแล้วพยายามดึงอากาศออกให้มากที่สุด ทำให้ชิ้นใบไม้ที่เราได้มา
จะจมลงไปใต้ก้น เมื่อเราใส่ลงไปในปิกเกอร์ อีกอย่างนึงที่เราจะต้องใส่เข้าไปด้วย
ก็คือก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งได้จากการใช้โซเดียมไบคาร์บอเนตใส่ลงไป
เอาไปวางในที่ที่มีแสง เพื่อจะได้เกิดปฏิกริยาการสังเคราะห์แสงขึ้นได้
ทำให้เกิดการแยกน้ำ แล้วปล่อยกาซออกซิเจนออกมา
ฟองออกซิเจนจะสะสมต้วรวมกันเข้า พอมากพอก็จะลอยขึ้นมา
เราก็อาจจะจับเวลาว่ามันใช้เวลานานเท่าไร กว่าจะลอยขึ้นมาข้างบน
หรือไม่ก็อาจจะเอามาสัก 50 ชิ้น แล้วก็ดูว่า ใช้เวลาเท่าไร กว่าที่บางส่วนของมัน จะลอยขึ้นมา
นั่นเป็นการวัดอัตราการสังเคราะห์แสง ในชั้นเรียนของครู ครูจะให้นักเรียนเลือกเองว่าจะเอาอะไรเป็นตัววัด
อาจเป็นปริมาณของแสง ระยะทางจากแหล่งกำเนิดแสง อุณหภูมิก็ได้
สีของแสง ที่เราอาจจะฟิลเตอร์ออกมาก็ได้
ทั้งหมดนั้นก็คือกระบวนวิธีการในการทดลอง จากนั้น เราก็จะต้องมาศึกษาดูว่า ปัจจัยพวกนี้ มีผลต่อ
อัตราการสังเคราะห์แสงอย่างไร อันถัดไปก็คือแลปของการหายใจ ในแลปของการหายใจนั้น
เครื่องมือที่เราใช้ก็คือ respirometer ซึ่งเป็นหลอดแก้วปิดปลายทั้งสองด้าน
เพียงแต่ด้านบนจะต้องมีรูเปิด โดยที่จะต้องทำก็คือ
เราจะเอาทั้งหมดนี้ จุ่มลงไปในน้ำ แล้วมีอีกอย่างนึงที่ครูจะบอกก็คือ เราจะใส่โปแตสเซียมไฮดรอกไซด์
ลงไปด้วย โดยโพแทสเซียมไฮดรอกจะไปดูดกาซคาร์บอนไดออกไซด์ที่หลงเหลืออยู่ออกไป
และทำให้มันกลายเป็นของแข็ง เสร็จแล้วเราก็จะวางมันลงน้ำไป
โดยจะใส่อะไรสักอย่างนึงที่มีชีวิตลงไปด้วย ไม่ว่าเป็นถั่วที่กำลังงอก หรือหนอน
อันเป็นสิ่งที่เราจะใช้ศึกษาอัตราการหายใจของมัน สิ่งมีชีวิตพวกนี้ก็จะใช้สารอาหารต่างๆ
ภายในร่างกายของมัน แล้วก็เอาออกซิเจนมาใช้ในการสร้างพลังงาน ATP
เราจะพบว่า ในขณะที่มีการใช้ออกซิเจนไปในการหายใจ ก็จะมีการปล่อย
คาร์บอนไดออกไซด์ออกมาในปริมาณที่เท่ากัน แต่ในกรณีของเรา มันจะกลายเป็นของแข็งไปอย่างรวดเร็ว ปริมาตรภายใน
ก็จะน้อยลงเรื่อยๆ น้ำก็จะเริ่มเข้าไปแทนที่ เราก็จะสามารถอ่านค่าของปริมาณน้ำ
ที่ไหลเข้าไปในปิเปตนี้ได้ สามารถใช้เป็นวิธีในการวัดอัตราการหายใจ กราฟที่ออกมาจะมีลักษณะอย่างที่เห็น
แกนเวลาจะเป็นแกน x แล้วก็ทีการใช้ออกซิเจน หน่วยเป็นมิลลิลิตรในแกน y
ส่วนอันนี้เป็นการทดลองคร่าวๆ ในการศึกษาเปรียบเทียบระหว่างถั่วที่กำลังงอก
เทียบกับถั่วธรรมดา ที่ระดับอุณหภูมิต่างๆกัน สิ่งที่เราจะพบก็คือ เมื่อเราเพิ่มอุณหภูมิขึ้น
อัตราการหายใจก็จะเพิ่มไปด้วย เหตุผลก็คือโมเลกุลที่อยู่ในนั้น
จะเคลื่อนที่ไปมาด้วยความเร็วสูงขึ้น ทำให้มีแนวโน้มที่จะเกิดปฏิกริยาได้ง่ายขึ้นด้วย
ในกรณีของถั่วที่กำลังงอกนั้น ก็ยิ่งต้องการพลังงานมากขึ้นไปอีก เพื่อการเจริญเติบโต
ก็จะมีความต้องการออกซิเจนมากขึ้น เราก็จะเห็นอัตราการหายใจที่สูงขึ้นเช่นกัน
คงจำได้ว่า เราสามารถที่จะคำนวณหาค่าอัตราการหายใจจากค่าความชันของเส้นกราฟเหล่านี้
นั่นคือปริมาณของการใช้ออกซเจนในหน่วยมิลลิลตรต่อนาที ในกรณีของหนอนนั้น เราจะพบว่า
เนื่องจากมันเป็นพวกเอกโตเธอม (ectotherms - ไม่มีกลไกการควบคุมอุณหภูมิในร่างกาย) อัตราการหายใจจึงเปลี่ยนไปตามอุณหภูมิ
หนอนที่อยู่ในที่อุณหภูมิสูงกว่าจะหายใจเร็วมากขึ้น กรณีของเรา เราเป็นเอนโดเธอม (endotherm)
จึงมีการเปลี่ยนแปลงจากเหตุนี้ไม่มากนัก เนื่องจากร่างกายเรามีระบบควบคุมอุณหภูมิ
งานอันสุดท้ายในวิดีโอนี้ เป็นเรื่องของไมโอซีส ไมโตซีส
กรณีไมโตซีสเป็นการแบ่งนิวเคลียส (nuclei) ถ้าจะพูดให้เฉพาะเจาะจงหน่อย หรือบางทีเราก็หมายความเฉพาะแค่
การแบ่งเซลล์ออกเป็นสองเซลล์ที่มีลักษณะเหมือนกัน เป็นวิธีอย่างเดียวกับที่เซลล์ต่างๆ
ในร่างกายของเราแบ่งตัวเช่นกัน เราจะใช้รากหัวหอม ซึ่งที่เรากำลังดูอยู่นี้
ก็คือเซลล์ที่กำลังมีการไมโตซีสอยู่ เราจะมาอยู่ว่ามันอยู่ในขั้นไหนแล้ว
อันนี้ก็คือข้อมูลบางส่วนที่เราเอามานับจำนวนเซลล์ที่อยู่ในขั้น interphase, prophase,
metaphase, anaphase, telophase เรามาลองนับดูในนี้กัน อันนี้ก็คือ interphase,
interphase, interphase, interphase, interphase, prophase อันนี้ เพราะว่าเราเห็นมีโครโมโซม
interphase, interphase, interphase, interphase, interphase, prophase แล้วอันนี้ ก็เป็น
metaphase อยู่ทางด้านล่างนี่ ส่วนอันนี้จะเป็น anaphase คือกำลังมีการแยกตัวอยู่ อันทางด้านลางนี่
ส่วนอันนี้จะเป็น telophase อยู่ข้างล่างนี่ กำลังเริ่มมีการสร้างผนังเซลล์ใหม่
นี่คือการนับเซลล์ด้วยการใช้กล้องจุลทรรศน์ ส่วนนี่ก็คือข้อมูลในชั้นของเรา
และนี่คือแผนภูมิวงกลมที่ได้ สิ่งที่เห็นคือเวลาส่วนใหญ่จะเป็นช่วงของ interphase
และนี่ก็แสดงถึงวงจรจริงๆ ของเซลล์ด้วย ที่จะใช้เวลาส่วนใหญ่
ในช่วงการเจริญเติบโต การสร้างดีเอ็นเอ การแบ่งนิวเคลียส
แล้วก็ cytokinesis นั้น ไปอย่างรวดเร็ว ส่วนที่สองของงานนี้คือแลปไมโอซีส
ที่เห็นนี่เป็นเชื่อรา Sordaria มีสีเข้มและสีอ่อน ซึ่งจะเจริญเติบโตอยู่ด้วยกัน
เราก็จะเอาสปอร์จากทั้งสองอันนี้มาด้วยกัน ในรูปแบบ
ที่เรียกว่า parathecium สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือการปฏิสนธิที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว แล้วก็ไมโอซีส
แล้วก็จะจะสร้างสปอร์เหล่านี้ขึ้นมา สิ่งที่น่าสนใจก็คือ
ที่เราเห็นตรงนี้เลย การจัดเรียงสปอร์ สี่ต่อสี่ หรือสี่ต่อสี่ ไม่มีการสลับข้ามกันเกิดขึ้น
แต่ถ้าเราได้การจัดเรียงแบบสี่อันทางด้านนี้ มีการสลับข้ามกันเกิดขึ้น
นั่นคือสาเหตุของการมีสีผสม เราก็จะมาหาความถี่ของการสลับข้าม
ของการสลับข้าม ซึ่งบอกเราว่ามันห่างออกมาจากเซนโตรโครม (centromere) มามากน้อยเพียงใด
ทั้งหมดนี้ก็คือแลปเจ็ดอันแรก เดี๋ยวค่อยมาต่ออีกหกแลปที่เหลือ
ก็หวังว่าคงจะเป็นประโยชน์บ้าง